วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กฏทองการค้าของเถาจูกง

เถาจูกงเดิมคือ ฟ่านหลี่ กุนซือของเย่ว์อ๋องโกวเจี้ยนครับ หลงจากที่ช่วยเย่ว์อ๋อง
แก้แค้นแคว้นอู๋ได้แล้ว ก็ปลีกตัวมาทำการค้าขายจนร่ำรวย และแต่งตำราการค้าออกมาเล่มหนึ่งครับ
ตำราเล่มนี้ก็ได้รับการตกทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ชาวจีนนับถือฟ่านหลี่ หรือเถาจูกง
เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือการค้าเลยหละครับ

เนื้อหาใน หนังสือ กฏทองการค้าของเถาจูกง ก็สรุปได้สองส่วนนะครับคือ สิ่งที่ทำ กับที่ไม่ควรทำ

read more
12 หลักการที่พึงปฏิบัติ
1. ต้องดูคนให้เป็น หากรู้ว่าผู้ใดไว้วางใจได้ ก็จะช่วยให้หลีกเลี่ยงความเสียหายได้
2. ลูกค้าทุกคนคือคนสำคัญ ความพึงพอใจของลูกค้านำมาซึ่งการมาเยือนครั้งต่อไป อีกทั้งชักชวนลูกค้าใหม่ๆ มาด้วย
3. ควรมุ่งมั่นทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ดีที่สุด ทำในสิ่งที่ได้เลือกแล้ว และไม่เป็นคนโลเล
4. จัดร้านค้าให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ ตกแต่งให้น่าสนใจและโดดเด่นโดยเฉพาะจุดวางขายสินค้า
5. จงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การลังเลจะทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ
6. ควรระมัดระวังในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ ควรรอบคอบในการตามเก็บหนี้ ไม่ควรกระดากอาย และเก็บให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
7. ใช้คนให้ถูกงาน การจัดสรรงานโดยให้ดูตามความสามารถของบุคคล จะก่อให้เกิดประโยชน์ตอบแทนมากที่สุด
8. จงกล้าที่จะอวดสรรพคุณสินค้า ค้นหาแนวทางใหม่ไม่ซ้ำใครในการนำเสนอให้น่าจดจำ และเสนอจุดเด่นของสินค้า
9. จงเลือกสรรสินค้าอย่างชาญฉลาด ต้องรอบรู้และพิถีพิถันในการเลือกสินค้าที่จะมาขาย จะได้มั่นใจว่าสามารถขายออกได้รวดเร็ว
10. การวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดอย่างลึกซึ้ง วิจัยตลาดก่อนซื้อและขายสินค้าทุกครั้ง
11. จงทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ทำตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบขององค์กร เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งและความน่าเชื่อถือ
12. ควรมีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการลงทุน วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและผลตอบแทนก่อนจะลงทุน

12 หลักการที่พึงละเว้น
1. อย่าตระหนี่ ควรสละเงินเพื่องานสังคมและการกุศลตามโอกาสอันควร
2. อย่าลังเล หากขาดการตัดสินใจที่เด็ดขาดจะทำให้ธุรกิจไม่เติบโต
3. อย่าหน้าใหญ่ใจโต ควรตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนก่อนการใช้จ่ายเงินทุกครั้ง
4. อย่าคดโกง การคดโกงและมุ่งแสวงหาแต่กำไร จะนำหายนะมาสู่กิจการในท้ายที่สุด
5. อย่าเก็บหนี้ช้า ความล้มเหลวในการทวงหนี้ส่งผลให้เกิดหนี้เสีย
6. อย่าลดราคาอย่างไม่มีเหตุผล ต้องรู้จักวางกลยุทธ์ด้านราคาเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ
7. อย่าทำตามผู้อื่น หลีกเลี่ยงธุรกิจที่ใครๆ ก็ทำกัน
8. อย่าสวนกระแสวัฏจักรของสินค้า สินค้าทุกชนิดมีช่วงอายุต้องก้าวให้ทันการขึ้นลงของสินค้า
9. อย่ายึดติดกับความคิดเก่าๆ การไม่เปิดรับความคิดใหม่ ไม่รับรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจะทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก
10. อย่าซื้อเงินเชื่อมากจนเกินไป มักจะทำให้มีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดตามมา
11. อย่าเก็บทุนสำรองไว้น้อยเกินไป จะทำให้ไม่สามารถคว้าโอกาสยามสินค้าราคาลดต่ำลง
12. อย่ายึดติดกับชื่อของสินค้า ตัดสินคุณภาพสินค้าจากคุณภาพที่แท้จริงโดยปราศจากอคติ

Credit :: http://www.satanswer.com/site/forums/index.php?topic=169.0

read more "กฏทองการค้าของเถาจูกง"

เมื่อดูอิมซังอ๊กแล้วอดนึกถึงวิธีการที่เขาใช้ คล้ายการนำ KM Process ของการจัดการความรู้มาใช้

อิมซังอ๊ก..ยอดพ่อค้าหัวใจทระนง เป็นภาพยนตร์เกาหลีที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้
มีเรื่องราวมากมายในการดำเนินชีวิตสู่การเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ
เมื่อดูอิมซังอ๊กแล้วอดนึกถึงวิธีการที่เขาใช้ คล้ายการนำ KM Process
ของการจัดการความรู้มาใช้ เมื่อลองนำมาวิเคราะห์ดู ดังนี้

1. การที่ อิมซังอ๊ก มีความมุ่งมั่นในการที่จะเป็นพ่อค้าตั้งแต่ต้นนั้น
เป็นการกำหนดเป้าหมายของชีวิต (Vision) ในตอนที่เพื่อนของพ่ออิมซังอ๊กที่เป็นพ่อค้าใหญ่
บอกอิมซัง อ๊กว่า “การไม่มีเป้าหมายตั้งแต่เริ่ม ต้น คือจุดจบของการเดินทาง” แล้ว เจ้าล่ะมีเป้าหมายอะไร?

2. จากเป้าหมายนี้ทำให้อิมซังอ๊ก พยายามในการ ค้นหาความรู้
เริ่มตั้งแต่ตอนเป็นทาสในโรงถลุงเหล็ก ในใจเขาอยากเป็นพ่อค้า
จึงพยายามศึกษาทุกอย่างโดยค้นหาความรู้ว่าจะได้ความรู้จากใครด้วยความพยายาม
และอดทน การ สังเกตจากคนอื่นที่ทำอยู่ ลองผิดลองถูกและศึกษาจากประสบการณ์ผู้อื่น
จนได้พบครูที่สอนการถลุงเหล็กที่มีคุณภาพ

3. การสร้างและแสวงหาความรู้ เมื่อเขาพ้นจากการเป็นทาส แล้ว
เขาก็มุ่งสู่เส้นทางพ่อค้าโดยการแสวงหาความรู้ โดยไปพบเพื่อนพ่อที่เป็นพ่อค้าใหญ่
เพื่อ ขอเรียนรู้การค้าเป็นการสร้างโอกาสให้ตัวเอง
การได้ไปทำงานเป็นคนงานที่ร้านทำทองเหลืองและได้ประสบการณ์จากากรศึกษางานใน ร้านทุกอย่าง
โดยการสังเกต และบันทึกไว้และมีการรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าที่มาติดต่อ
และติดตามไปค้าขายต่างเมืองกับนายห้าง
เขาศึกษาสินค้าและวิธีการขาย เทคนิคการเลือกของ
ความสำคัญของสินค้าในแต่ละเมือง ภูมิประเทศสะสมไว้เป็นข้อมูล

4. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ จากการเดินทางทำให้ได้ประสบการณ์มากมาย
จากสินค้าหลากหลาย จนถึงวิธีการที่จะขายสินค้าที่นำไป มีความต้องการด้านใด
สินค้าใดที่จะได้รับความนิยม เขาได้จัดหมวดหมู่สินค้าและพ่อค้าแต่ละเมืองไว้

5. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ อิมซังอ๊กได้ประสบการณ์จากการไปค้าขายต่างเมืองกับพ่อค้าคนอื่น
จากการสังเกต การฉลาดและมีไหวพริบ
การศึกษาข้อมูลของแต่ละเมืองที่ได้ค้าขาย เช่น
เขาไปขายเครื่องทองเหลืองชั้นเลิศของเมืองนาซอง
แต่พบว่าขายไม่ได้แถมเมืองนั้นยังมีปัญหาเรื่องน้ำไม่สะอาด ทำให้ท้องร่วง
ซึ่งข้อมูลที่ได้นี้ทำให้เขาหากลยุทธ์การค้าขายโดย
นำทองเหลืองไปแลกกับยาแก้ท้องเสียที่ร้านขายยา
แล้วนำยาแก้ท้องเสียมาขายแทน
จนได้เงินมากพอกับที่ทองเหลืองที่นำไปขาย แถมได้กำไรมากกว่า

เขาใช้ความรู้ที่มีอยู่จากประสบการณ์นั้นมาใช้ ในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
ทำให้ บรรลุเป้าหมายคือ ขายทองเหลืองได้หมดเหมือนกันแต่ไม่ได้ขายโดยตรง
เหมือนการจัดการความรู้ที่มีวิธีการมากมายที่เหมาะสมกับหน่วยงานของแต่ละ องค์กร
ที่จะบริหารให้เกิดการพัฒนาคุณภาพ ซึ่งอาจไม่เหมือนต้นแบบ
แต่การรู้จักปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ถือว่าเป็นแผนกลยุทธ์ที่ดี

6. การ เข้าถึงความรู้ของเขา ได้ทั้งจากประสบการณ์คน อื่น
และประสบการณ์ตนเอง การเรียนรู้แบบ SECI ได้เกิดขึ้น
และหมุนเวียนแลกเปลี่ยนกันระหว่าง Tacit และ Explicit Knowledge
ทำให้เขามีความรอบรู้ในหลายๆด้านในการค้า ขาย
จนทำให้เขาได้มีโอกาสพัฒนายกระดับความรู้
โดย เขายึดหลัก การ ค้าไม่ได้มุ่งที่จะทำกำไรให้ได้อย่างเดียว
แต่มุ่งในด้านจิตใจที่มีต่อกันและความเชื่อใจกัน
เหมือน วินัย 5 ประการของปีเตอร์ เซ็งเจ้
และอิมซังอ๊กยังใช้วิธีการของ Marquaedt
ใน การทำให้เขาเข้าถึงความรู้

7. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เวลาเขาไปทำการค้าต่างเมือง
และ ประสบความสำเร็จ ในแต่ละครั้ง
หัวหน้าใหญ่จะมีการเรียกประชุมและให้เล่าวิธีการสู่กันฟัง
ว่าทำได้อย่างไร
ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งอิมซังอ๊กก็มีโอกาสดีๆทั้งประสบการณ์ของตัวเองและผู้อื่น
ซึ่งเขาได้สอบถามจากผู้คนที่ติดต่อการค้า ซึ่งทำให้เขามีความสามารถเด่นกว่าคนอื่น

8. การ เรียนรู้ อิมซังอ๊กเชื่อว่าการเรียนรุ้ไม่มีที่สิ้นสุด
เขามีพรสวรรค์ด้านการค้า โดยเป็นคนอื่นน้อมถ่อมตน
ไม่มุ่งแต่จะขายสินค้าเพียงให้ได้เงินอย่างเดียว
ซึ่งแม่ของเขาได้บอกกับลูกชายว่า ถ้า ค้าขายโดยหวังแต่เงินอย่างเดียว
สักวันหนึ่ง ตาก็จะบอด หูก็จะหนวกและใจก็จะดับ
ซึ่งเขาได้ยึดมั่น และในคำสอนของแม่
และการค้าขายถ้าเห็นแก่เงินมากเกินไป
จะทำให้มองไม่เห็นความสำคัญของคนอื่น
เอารัดเอาเปรียบจะเกิดศัตรูรอบด้าน
การที่จะหูหนวกเนื่องจาก ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใคร
และจิตใจก็จะคับแคบตามไปด้วย

Credit :: http://www.satanswer.com/site/forums/index.php?topic=169.0
read more "เมื่อดูอิมซังอ๊กแล้วอดนึกถึงวิธีการที่เขาใช้ คล้ายการนำ KM Process ของการจัดการความรู้มาใช้"

ประเทศไทยยุค "อิมซังอ๊ก"/อำนาจ

เย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(3 ก.พ.) เป็นครั้งแรกครับที่ผมได้มีโอกาสนั่งชม "อิมซังอ๊ก ยอดพ่อค้าหัวใจทระนง" ที่ฉายอยู่เป็นประจำ ทุกๆ วันเสาร์-วันอาทิตย์ (เวลา 18.00 น.) ทางช่อง 3

ไม่ทราบว่าสำหรับท่านที่มีโอกาสได้ติดตามชมซีรี่ส์เรื่องนี้อยู่แล้วจะรู้สึกอย่างไรกันบ้าง

ส่วนผมดูแล้วก็ไม่อยากที่จะดูต่อเลยครับ

ไม่ใช่ว่าไม่สนุกอะไรหรอก แต่ผมกลัวว่า ดูแล้วมันจะติดครับ

เพราะขนาดที่ว่าไม่รู้เรื่องราวมาก่อน (แค่ได้ยินโฆษณาแบบผ่านๆ ว่าเป็นเรื่องของพ่อค้าสู้ชีวิต) ไม่รู้จักตัวละครเลยสักตัว ฯ ผมยังดูด้วยความรู้สึกสนุกมากๆ ครับ
...
ในอดีตครอบครัวผม(หมายถึงพ่อแก่ แม่แก่ (ตา-ยาย) แม่ รวมถึงลุงๆ ป้าๆ ของผม) มีอาชีพค้าขายครับ โดยจะซื้อสินค้าใส่ในเรือ ซึ่งแม่ผมคุยว่าลำใหญ่พอสมควร ขณะที่ยายใบ(แม่แก่ของผม)ก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะมีคนในละแวกบริเวณริมแม่น้ำ ป่าสัก ไล่ตั้งแต่ อ.เสาไห้ จนถึงตลาดท่าหลวง (จ.อยุธยา) รู้จักพอสมควร

หลังย้ายขึ้นมาปลูกบ้านอยู่บนบก การค้าขายทางเรือก็เลิกไปแต่เปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ แทน ก่อนที่จะเลิกแบบถาวร(ทว่ายังคงทำเป็นอาชีพเสริมในบางครั้ง)เมื่อแม่ผมเข้า ไปเป็นพนักงานของโรงงานทอกระสอบ(เสาไห้) ตัวผมเองก็มีโอกาสได้เป็นลูกมือก็ช่วงนี้แหละครับ

ของที่ขายก็แล้วแต่เทศกาล อาทิ ขายข้าวเม่าทอด (พูดแล้วจะหาคุย ผมเนี่ยเป็นเซียนปั้นข้าวเม่าของหมู่บ้านคนหนึ่งเลยละครับ) กล้วยแขก, อ้อยควั่น เมื่อฤดูเกี่ยวข้าวมาถึงกับช่วงที่ต้องไปขายในงานลอยกระทงที่วัดสะตือ หรือหากเป็นงานวัดพวกปิดทอง - ฝังลูกนิมิตรอันนี้จะเน้นขาย ลูกชิ้นปิ้ง ข้าวโพดบ้าง น้ำอัดลมบ้าง นอกนั้นในช่วงปกติก็จะขายทั้ง ขนมเบื้อง ถั่วแระต้ม ลูกชิ้น มันทอด ที่หน้าโรงเรียน

กำไรจากการขาย ได้วันละ 200 กว่าบาทก็ถือว่าเยอะแล้วครับ

นอกจากจะชวนให้คิดถึงภาพในอดีตช่วงที่ว่าซึ่งทั้งสนุกทั้งรู้สึกขี้เกียจ แล้ว ซีรี่ส์ยอดพ่อค้าหัวใจทระนงยังทำให้ผมต้องเข้าไปหาเรื่องย่ออ่าน ซึ่งผมขอคัดลอกจากเว็บไซต์ของช่อง 3 เอามาให้อ่านกันทั้งดุ้นเลยนะครับเผื่อว่าจะกระตุ้นให้ผู้อ่านรู้สึกอยาก ติดตามบ้าง

...จากเรื่องจริงของยอดพ่อค้าแห่งคาบสมุทรเกาหลี เมื่อความแค้นแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น วิถีการค้าที่ต้องใช้วิถีแห่งรักเป็นเดิมพัน

บิดาของ อิมซังอ๊ก มุ่งหวังที่จะเป็นล่ามหลวงมาตลอดชีวิต จึงถ่ายทอดความรู้ด้านภาษา ให้กับ ซังอ๊กจนเขาสามารถพูดภาษาจีนได้ตั้งแต่เด็ก แม้ซังอ๊กจะมีความสามารถทางด้านการค้าแต่พ่อและแม่ของเขาก็ยังคงยืนยันที่จะ ให้ซังอ๊กเป็นล่าม หลวงของราชสำนักอยู่ดี

ในเมืองอึยจูที่ซังอ๊กอาศัยอยู่มีพ่อค้าทรงอิทธิพลอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม "ซงซาน" และ "กังซาน" จากการวิวาทกันของพ่อค้า 2 กลุ่มนี้ ทำให้ซังอ๊กได้พบและรู้จักกับ ปาร์กดานุง ลูกสาวของ ปาร์กจูมุง พ่อค้าใหญ่แห่งกลุ่มซงซาน ดานุงเห็นความสามารถของซังอ๊กจึงชวนเขามาร่วมงานด้วย แต่ซังอ๊กปฏิเสธเพราะเป้าหมายของเขาคือการเป็นล่ามหลวงเท่านั้น แต่แล้วความตั้งใจของเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อเขาและพ่อถูกปาร์กจูมุงหักหลัง ทำให้พ่อของซังอ๊กต้องอาญาประหารชีวิต เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ซังอ๊กสูญเสียทั้งครอบครัว และความฝันที่จะเป็นล่ามหลวง

เมื่อทุกอย่างในชีวิตถูกทำลาย ความแค้นและแรงบีบคั้นในครั้งนั้นผลักให้เขาก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการเชือด เฉือนกันในสนามการค้า ด้วยความเฉลียวฉลาด เป็นกันเองกับทุกคน อีกทั้งยังหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว ไม่คิดที่จะละทิ้งความหวัง คงยืนหยัดต่อสู้ด้วยความเข้มแข็ง ประกอบกับปณิธานอันแรงกล้า ตลอดจนความขยันหมั่นเพียร กับความสามารถทางการค้าที่มี และท้ายที่สุดการที่เขาสามารถใช้ความพอเพียงสยบความโลภได้นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ความเป็นยอดพ่อค้าและมหาเศรษฐีแห่งคาบ สมุทรเกาหลีที่มีคนให้การนับถือมาก ที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว

แต่ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เขากลายเป็นตำนานเล่าขานมาจนปัจจุบันนั่นคือการ ที่เขาเป็นพ่อค้าที่รู้จักให้กลับคืนสู่สังคม เขาได้ช่วยเหลือคนมากมาย ในบั้นปลายชีวิตเขาได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ รวมทั้งนำเงินที่มีอยู่แจกจ่ายให้ผู้คน ยกที่ดินที่ตนมีให้ตกเป็นของแผ่นดิน คุณงามความดีเหล่านี้ทำให้เขายังคงอยู่ในใจชาวเกาหลีไม่เสื่อมคลาย แต่กับความรักที่ดูเหมือนจะเป็นเส้นขนานเมื่อหญิงที่เขารักกลับกลายเป็นลูก สาวของศัตรู เส้นทางรักที่สวนทางกับเส้นทางแห่งการแก้แค้นบนวิถีแห่งการค้าจะจบลงเช่น ไร?...
...
วันที่ดูนั้นพระเอกของเราพลาดท่าการขายกระดาษให้กับพ่อค้าหนุ่มของกลุ่ม ซงซานครับ เนื่องจากว่าอีกฝ่าย(ซึ่งได้ซื้อตัวคนของฝ่ายพระเอกไว้เพื่อแอบสืบการ เคลื่อนไหว)ได้ใช้อุบายสร้างเรื่องว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นกระทั่งทำให้พระเอก ของเราที่ซื้อกระดาษมาเกร็งราคา(ก่อนหน้านั้นก็โดนโก่งเรื่องเยื่อไม้ที่จะ มาทำกระดาษแล้วครั้งหนึ่ง)ต้องรีบขายกระดาษออกไปในราคาที่ขาดทุนย่อยยับ

ไฮไลต์ของวันนั้นจะว่าไปแล้วไม่ได้อยู่ที่ตัวพระเอกหรอกครับ แต่อยู่ที่การเชือดเฉือนคำพูดกันระหว่าง "ปาร์กดานุง" ลูกสาวของกลุ่มซงซาน กับพ่อค้าหนุ่มที่เป็นมันสมองของกลุ่ม(จำชื่อไม่ได้ครับ)เนื่องจากเธอไม่ ค่อยจะเห็นด้วยกับวิธีการคิดถึงแต่เรื่องของ "กำไร" โดยไม่เห็นแก่วิธีการของเขา (ตัวอย่าง เช่นให้คนไปจุดไฟเพื่อให้เกิดความวุ่นวายว่าจะมีสงคราม แล้วเอารองเท้าซึ่งก่อนหน้านั้นเขาได้ไปกว้านซื้อไว้แล้วเอาออกมาขาย เนื่องจากรองเท้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชาวบ้านทั่วๆ ไปในการหนีภัยสงคราม)

"ถ้าทำมาหากิน หรือคิดจะเอากำไรจากชาวบ้านตาดำๆ โดยคิดแต่เพียงว่าตัวเองมีทุนหนากว่า การกระทำเช่นนี้มันก็คงไม่ผิดอะไรเยี่ยงกับโจร"

"บางทีพวกโจรเองยังมีคุณธรรมมีเมตตาธรรมมากกว่าเสียอีก เพราะก่อนจะปล้น คนพวกนี้ยังดูว่าเหยื่อที่จะปล้นมีสภาพเช่นไร เป็นชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ หรือพวกพ่อค้าเศรษฐีร่ำรวย"

นางเอกของเราบอกประมาณนี้(ไม่ตรงทุกคำพูดหรอกนะครับ) หลังจากที่พ่อค้าหนุ่มได้แจ้งให้ทราบถึงแผนการที่จะเข้าไปกว้านซื้อปลามาจาก ชาวบ้านด้วยเงินกำไรที่ได้มาจากฝ่ายพระเอกเพื่อผูกขาดการค้าปลาเพียงเจ้า เดียว โดยตัวเขาเองก็สวนกลับนางเอกไปประมาณว่า

"เป็นพ่อค้า ถ้ามัวแต่กังวลเรื่องอื่นๆ กระทั่งมาหากินไม่ได้กำไร หรือได้ไม่เยอะ ก็ไม่สมควรที่จะเรียกตัวเองว่าพ่อค้า"

"แล้วข้าก็เชื่อด้วยว่า คงจะไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธไม่หยิบ(เศษ)เงินที่ข้าโปรยลงไปให้อย่างแน่นอน"

โดนจริงๆ ครับ (ความจริงยังมีอีกหลายประโยคแต่ผมจำไม่ได้) ถ้าใครมีเวลาผมอยากให้ลองติดตามซีรี่ส์เรื่องนี้ดูบ้าง เพราะเนื้อหาน่าติดตาม เนื้อเรื่องไม่ถึงกับซีเรียสมากนัก ทว่าก็ไม่ถึงขนาดที่จะมีตัวละครนางอิจฉามายืนแว้ดๆ หรือมีตัวตลกแต่งตัวบ้าๆ บอๆ ขายความเซ่อซ่าเพื่อเรียกเสียงหัวเราะ

ทุนนิยมไม่ใช่ระบบที่เลวร้ายอะไรหรอกครับถ้ามีคำว่าคุณธรรมกำกับ

ฟังคำพูดและวิธีคิดของพ่อค้าหนุ่มฝ่ายซงซานแล้ว ผมนึกถึงสภาพของประเทศไทยของเราที่ผ่านมาในช่วงของอดีตนายกทักษิณขึ้นมาทันที

และดูเหมือนว่า วิธีค้ากำไรด้วยการโปรยเศษเงินเป็นเหยื่อล่อปลาตัวเล็กตัวน้อยมันกำลังจะกลับมาอีกแล้ว

Credit :: http://www2.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9510000016290
read more "ประเทศไทยยุค "อิมซังอ๊ก"/อำนาจ"

อิม ซัง อ๊ก:ปรัชญาเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ

ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ เมื่อครั้งเรียนมหา,ลัย เมื่อหลายสิบปีก่อน อาจารย์ผู้พร่ำสอนให้อ่านสาระความสำคัญในครั้งนั้นคือ ดร.ธำรงค์ อุดมไพจิตกุล ผู้ทุ่มเทสอนเศรษฐศาสตร์แก่นักศึกษาด้วยความจริงใจ เมื่อครั้งเรียนก็ไม่ได้คิดอะไรแต่พอมาใช้ชีวิตจริง ก็เริ่มซาบซึ้งในความลุ่มลึกของหลักเศรษฐศาสตร์ภายใต้แนวคิดปรัชญาแบบตะวัน ออก หรือปรัชญาเชิงพุทธนั่นเอง

จริง ๆคนเขียนเรื่องนี้คือ ผู้เขียน คือ อี เอฟ ชูมัคเคอร์

ส่วนฉบับภาษาไทยนั้นตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ภายใต้ชื่อว่า จิ๋วแต่แจ๋ว – เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ โดย สมบูรณ์ ศุภศิลป์

ในหนังสือเล่มนี้ เขาชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องของทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ปัจจุบัน ว่าไม่อาจนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพของสังคม ในการอยู่ร่วมอย่างผสานสอดคล้องกับโลกกับมนุษย์ด้วยกันเอง อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงได้ อำนาจในการพิจารณา “ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ” ที่ตกอยู่ในมือของนักเศรษฐศาสตร์จำต้องถูกตรวจสอบอย่างถ่องแท้ ว่ามีปัจจัยในการพิจารณาครบถ้วนรอบด้านหรือไม่ มิใช่ละทิ้งคุณค่าความดีงาม ดังที่ปรากฏอยู่ในรูปของ ประชาธิปไตย ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ มาตรฐานการครองชีพ การตระหนักรู้ในตนเอง หรือเบียดเบียนทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ร่วมโลกด้วยกัน ทั้งที่อยู่ต่างถิ่นต่างที่ และคนรุ่นหลังที่ยังมิได้ถือกำเนิด เราจำต้องตระหนักว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งของมนุษย์ในการพัฒนาสังคม ต้องมองเห็นว่าทิศทางของการพัฒนานั้นจะนำเราไปสู่สังคมแบบใด

เขาได้ยกตัวอย่างคุณค่าที่อยู่ในศาสนา ในที่นี้คือ ศาสนาพุทธ ขึ้นมากล่าวถึงหนทางดำรงชีพอันชอบ เป็นทางสายกลาง เป็นสัมมาอาชีวะ ก่อตัวขึ้นมาเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อมและผู้อื่น คุณค่าทางจิตวิญญานเช่นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องสร้างขึ้น ด้วยการจัดระบบการศึกษาซึ่งปลูกฝังและระบบคุณค่าดีงามขึ้นมา มีจิตสำนึกในการบริโภคที่ก่อให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และมุ่งการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหา ทั้งนี้ต้องประกอบด้วยความเป็นมนุษย์ร่วมด้วยเสมอ

จากประสบการณ์ในการเดินทางที่อินเดีย และการเป็นที่ปรึกษารัฐบาลอินเดีย เขาได้เสนอความคิดในการพัฒนาเทคโนโลยีขนาดกลาง ซึ่งมีต้นทุนต่ำ และเหมาะสมกับสภาพปัญหาของประเทศยากจน ที่แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว เขากล่าวถึงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีขนาดกลาง ความคิดนี้แม้จะถูกปฏิเสธในทีแรกแต่ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในภายหลัง

แม้ในการทำธุรกิจเขาก็เสนอแนวคิด และมีส่วนร่วมในการก่อตั้งบริษัท ที่มิได้มุ่งหวังผลกำไรเป็นตัวเงิน ซึ่งมีเป้าหมายสี่ประการ คือ (๑) ทำธุรกิจโดยไม่ขาดทุน (๒) มีการพัฒนาคุณภาพสินค้าเสมอ (๓) ผู้ร่วมงานมีความสุขความพอใจในการทำงานมีการพัฒนาตนเอง และ (๔) มีจิตสำนึกทางสังคมและการเมือง โดยมีกรอบในการปฏิบัติ คือ บริษัทมีขนาดกลาง มีตำแหน่งงานราว ๓๕๐ คน เพื่อที่จะมองเห็นความคิดความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ถ้วนทั่ว

ชูมัคเคอร์ยืนยันว่า เราจำต้องเปลี่ยนทัศนะที่ว่า เงินตราหรือทุนเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เขาเสนอไม่ได้เป็นเพียงความคิดเลื่อนลอย หากแต่เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้
ในการพิเคราะห์ปัญหาอย่างรอบด้าน ได้ก่อตัวเป็นความคิด เรื่องการพัฒนาที่ไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์

วันนี้ ก็ได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง อิม ซัง อ๊ก จนถึงตอนอวสานก็ให้นึกขึ้นได้ว่าภาพยนตร์เกาหลีเรื่องนี้ได้ปลูกฝังค่านิยม ทางเศรษฐกิจที่ดีงามตามแนวเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ได้อย่างมีรสชาด จนยากจะหาที่ติ ค่านิยมที่ดีที่ผมได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้คือ

-ค่านิยมการดำเนินธุรกิจที่ผูติดอยู่กับจริยธรรมความรับผิืดชอบที่มีต่อสังคมและประชาชน

-ค่านิยมที่ปลูกฝั่งแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสไม่แอบอิงกับระบบเส้นสายหรือระบบมูลนาย

-ค่า นิยมที่ยึดมั่นในการทำงานด้วยความมุมานะพยายาม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้มิใช่จะเป็นสิ่งที่ได้มาง่าย ๆ ถนนแห่งความดีมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อะไรประมาณนั้น

-ค่า นิยมของการยึดมั่นในความดี แม้ว่าการกระทำความดีจะไม่ได้ผลตอบสนองเป็นสิ่งที่ดีในทุกครั้ง แต่สิ่งที่เราจะต้องยึดมั่นคือ ทำความดีเพื่อความดี ในที่สุดผลที่แท้จริงก็จะตอบสนองในคุณค่าของมันเอง

-ค่า นิยมที่ไม่ยึดมั่นในวัตถุนิยม ดังจะเห็นได้จากการดำเนินชีวิตของแม่และตัวอิม วัง อ๊กเอง ซึ่งในที่สุดก็ยินดีสละทุกอย่างเพื่อเข้าถึงความจริงอันว่างเปล่าแห่งสัจ จธรรมเชิงพุทธ วิถีชีวิตและการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ชี้ให้เห็นแนวทางการดำเนิน ชีวิตและการต่อสู้ของผู้คนและอาณาจักรโซซอน เพื่อความอยู่รอดและก้าวหน้าตามวิถีแห่งความพอเพียงโดยแ้ท้

นี่คือสิ่งที่ผมได้รับแล้วท่านหละคิดอย่างไร...........กับคุณค่าของปรัชญาตะวันออกที่ชาวเกาหลีนำเสนอต่อเรา

Credit :: http://www.oknation.net/blog/Mangtra/2008/04/13/entry-2
read more "อิม ซัง อ๊ก:ปรัชญาเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ"

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การวางแผนการเงินส่วนบุคคล Personal Financial

หลักสูตรการวางแผนการเงินส่วนบุคคล Personal Financial
1. TFPA โรงเรียนนักวางแผนการเงิน

ตำแหน่งงานการวางแผนการเงินส่วนบุคคล Personal Financial
1. การเงินส่วนบุคคล Personal Financial
2. ที่ปรึกษาการเงินส่วน บุคคล - บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด(มหาชน)
3. การจัดการเงินส่วนบุคคล -- เงินคำแนะนำส่วนตัวการจัดการ | Money

บทความดีๆ ของที่อื่นๆ
1. ดุลยภาพใหม่การเกษตรโลก (The New Normal of Global Agriculture)
2. 10 crazy business ideas that worked: FarmVille

Farming is hard. The hours are long, crop prices fluctuate wildly, and a couple of storms can ruin your season. So why would anyone accept the headaches and hassles of farming without the payoff of cultivating something tangible?

FarmVille is a real-time farm-simulation game developed by Zynga Game Network. The game allows Facebook members to manage a virtual farm by planting, growing and harvesting virtual crops and raising virtual livestock.

For some of the game's 80 million registered users, virtual farming appears to be surprisingly addictive, according to an article in The New York Times that quoted a woman who felt her husband was too absorbed in his FarmVille hobby. The anonymous woman blogged that she was pregnant and wrote: "I was starving . . . and he told me I'd have to wait a few more minutes so he could HARVEST HIS RASPBERRIES!"

Credit & Other Interesting Topics :: 10 crazy business ideas that worked: Surprising ideas that caught on - MSN Money

3. Zappos CEO Tony Hsieh Happy Making $36,000 A Year Working For Amazon
4. 5 คำแนะนำในการซื้อบ้านที่ถูกยึด
read more "การวางแผนการเงินส่วนบุคคล Personal Financial"

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คำต่อคำ“สนธิ”แฉเล่ห์อเมริกันส่งดอลลาร์ป่วนหุ้น-จี้แบงก์ชาติปิดประตูเก็งกำไร / โดย ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2553

“สนธิ”แฉที่มาเงินร้อน อเมริกันปั้มเงินกระตุ้นเศรษฐกิจภายในแต่ไม่เป็นผล จึงส่งออกมาเก็งกำไรต่างประเทศ เน้นปั่นหุ้นล่อแมงเม่าติดกับ ก่อนเทขาย แล้วเอาเงินท้องถิ่นแลกเป็นดอลลาร์กินกำไร 2 ต่อ เชื่อดัชนีถึงพันจุดหรือต้นปีหน้า ฝรั่งเทขายแน่ ระบุเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ชิงความมั่งคั่ง โดยไม่ใช้กองทัพ แค่กดคีย์บอร์ดสั่งโอนเงินเข้าออก จี้แบงก์ชาติปิดประตู กันเงินนอกไหลเข้า ดักทางต่างชาติขนเงินเก็งกำไร

สโรชา - สวัสดีค่ะคุณผู้ชม ขอต้อนรับเข้าสู่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2553 วันนี้เรามีเรื่องที่จะนำเสนอหลายต่อหลายเรื่อง ครบถ้วนค่ะทั้งเศรษฐกิจ การเมือง รวมไปถึงเรื่องราวอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเมืองไทยอยู่ในเวลานี้ด้วยนะคะ แต่ว่าก่อนอื่นเลยเราคงต้องคุยกันถึงเรื่องกลุ่มรัก ASTV อุดรธานี เพราะว่าเราอยู่ได้ก็ด้วยการสนับสนุนของพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ และผู้ที่ชม ASTV กลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่พิเศษมากๆ เขาระดมทุนทุกเดือน ใช่ไหมคะ

สนธิ - ทุกเดือนครับ เขามีสมาชิกกลุ่ม เขาไปหามาว่าใครรัก ASTV ไม่อยากให้ ASTV จอดับ แล้วเขาก็น่ารักมาก ทุกเดือนเขาจะบริจาคกัน มีน้อยให้น้อยมีมากให้มากร้อยสองร้อยห้าร้อยก็มี ทุกเดือนจะส่งเงินมาให้ ASTV ตลอดเวลา เขาทำเป็นประจำ เขาทำเพราะว่าเขามีความจริงใจ เขามีความเชื่อว่าว่าสังคมไทยต้องการสื่ออย่าง ASTV ทางชลบุรีก็มี โดยผ่านคุณสมชาย คุณสมชายก็เปิดร้านขายสินค้า ASTV กำไรเท่าไหร่ก็ส่งมาให้ ASTV หมด แกรับซื้อเงินสดไปแล้วก็เอามาขาย ฉะนั้นแล้วยังมีอีกเยอะรวมไปจนถึงพ่อแม่พี่น้องที่สหรัฐอเมริกาที่ผมไปเพิ่ง กลับมาได้เมื่อวานนี้ บินตรงไปที่แอลเอ แล้วไปพูดที่ลอสแองเจลิส ที่บินตรงไปเพราะว่ามีตั๋วไมล์เหลือเลยใช้ไปโดยไม่เสียเงิน พอไปถึงคืนหนึ่งก็ค้างแล้วอีกวันก็ไปพูดให้ ปรากฏว่าคนแน่นห้องประชุม

สโรชา - ค่ะ อบอุ่นเหมือนเดิม

สนธิ - อบอุ่นเหมือนเดิมครับ แล้วก็บริจาคเงินกันช่วย ASTV กันเต็มที่ ในรายการนึงก็ได้ประมาณล้านกว่าบาท คิดเป็นเงินไทย แต่เขาจ่ายเป็นดอลลาร์ ถ้าไปปีหน้าอาจจะได้ไม่ถึงล้าน เพราะค่าเงินไทยมันแข็งขึ้น ก็เป็นคนพวกนี้ล่ะครับ แล้วก็ยังมีอีกมากหลายซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นใคร ไม่สามารถเอ่ยชื่อได้ ก็จะแวะไปที่ทำงาน ASTV แล้วเอาเงินหยอดตู้บ้าง เพราะฉะนั้นเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งเดียวที่ได้รับความจงรักภักดี แล้วก็ศรัทธา ผมเรียกว่าศรัทธาดีกว่า คือความจงรักภักดีนั้นต้องขึ้นอยู่กับความศรัทธาก่อน ถ้าเขาไม่ศรัทธาว่าเราเป็นสื่อมวลชนที่ตรงไปตรงมา กล้าพูดกล้าแสดงออกในยามที่สื่อหลายสื่อไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก ถึงแม้บางครั้ง บางคน บอกว่าเหตุการณ์ตอนนี้สงบแล้ว ทำไม ASTV ก็ยังพูดจา ออกรายการเหมือนกับเป็นการปราศรัย แต่จริงๆ มันไม่ใช่ เผอิญจุดยืนของเราชัดเจน เรื่องทุกเรื่อง อย่างเมืองไทยรายสัปดาห์ หรือว่าทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นสภาท่าพระอาทิตย์ หรือคนในข่าว เป็นประเด็นทุกประเด็นที่สื่อจะไม่กล้าพูด แต่เราจะกล้าพูด เพราะว่าเราไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง แต่เผอิ๊ญ เผอิญ คุณแอ้ม มีคนหน้าเก่าๆ พรรคพวกเราหลายคนอยู่ในรายการด้วย อย่างเช่นคุณสำราญ รอดเพชร หรือคุณอมร อมรรัตนานนท์ ก็เลยกลายเป็นดูว่าเรายังไม่หยุดปราศรัยอีกเหรอ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ คือคนพวกนี้จริงๆ เป็นบุคลากร ASTV มาตั้งแต่ต้น และเขาก็ไม่ได้เคยไปไหน และบางครั้งคุณประพันธ์ คูณมี ก็มาออก คุณประพันธ์เองก็มีรายการ วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ คนก็คิดว่าคุณประพันธ์ออกมาปราศรัย แต่ก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน

สโรชา - ปากกล้าขาไม่สั่น

สนธิ - ปากกล้า ขาไม่สั่น นะครับ คือจริงๆ แล้วการวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีโทรทัศน์ช่องไหนที่สามารถจะวิเคราะห์ได้อย่าง เที่ยงตรง แล้วก็ไม่เกรงอกเกรงใจใคร ลืมบอกไปรายการ News Hour ของคุณเติมศักดิ์ แล้วก็คุณเก๋ ก็เป็นรายการที่ Popular ที่สุดรายการหนึ่งใน ASTV เช่นกัน

เพราะฉะนั้นแล้วหลายๆรายการของเราไม่เคยเปลี่ยนสี ไม่ว่าจะมีการประท้วงหรือไม่ประท้วง เวลาประท้วงอาจจะพูดเสียงดังหน่อย แต่ว่าจุดยืนของเราทั้งระหว่างประท้วงและหลังประท้วงก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เสียอยู่อย่างเดียวมีบางครั้งคนบอกว่า เอ้ะ คุณสำราญอีกแล้ว ขึ้นเวทีบ่อย หรือแม้กระทั่งรายการผม รายการพวกเราวันนี้ คุณสนธิเขาเป็นนักปราศรัยบนเวทีนี่ ทำไมไม่เลิกปราศรัยสักที เผอิญการพูดของเรากับการปราศรัยไม่ค่อยต่างกัน พูดความจริงเหมือนกัน

เวลาพูดความจริง เนื้อหาไม่ต่างแต่ลักษณะทีท่า และโทนเสียงอาจจะต่างไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงเนื้อหาแล้วจะไม่ต่างกันเลย พูดอย่างไรพูดอย่างนั้น พวกเราไม่ใช่ ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ ใช่ไหมครับ

สโรชา - พาดพิงถึงเขาอีกแล้ว

สนธิ - โกหกจนเป็นนิจ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องนี้ ก็เลยทำให้ยังมีคนที่ศรัทธาเราไม่น้อยเลย เป็นที่น่าเสียดายเหมือนกันที่หลายๆ คนเข้าใจเราผิดหาว่า การประท้วงเลิกแล้วทำไมไม่กลับไปสู่รายการปกติ จริงๆ รายการเราระหว่างประท้วงกับไม่ประท้วงคือรายการปกติของเรามาตลอด

สโรชา - เช่น คือรูปแบบอาจจะแตกต่างกันสักนิดหนึ่ง

สนธิ - รูปแบบต่างกัน จะยืนบนเวทีมีคนชมเยอะแยะไปหมด มีคนฟังเยอะแยะไปหมด แล้วก็มีเสียงเฮ มีดนตรีมาเล่น แต่ว่ารูปแบบในห้องส่งก็เหมือนเดิม คือว่า ยังชกหมัดตรงไม่สวิง ไม่เต้นฟุตเวิร์กหนี เดินหน้าชกลูกเดียว คือว่า อันนี้ถูกอันนี้ไม่ถูก ตลอดเวลา กลุ่มคนรักอุดร คนรัก ASTV ของอุดร เป็นกลุ่มที่น่ารักมาก คือเป็นคนที่รัก ASTV แล้วเรียกพรรคพวกมาชุมนุมกันทุกเดือน มาช่วย ASTV คือ คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม หรือคนที่ร่วมกลุ่มเป็นคนที่น่ารักมาก และมีความศรัทธาในตัวพวกเรามาก ก็เลยอยากจะพูดฝากไปว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องอุดมการณ์ของเรา อุดมการณ์ของเราไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนสมัยไหน จะพูดจนกระทั่งไม่มีแรงจะพูด หรือจะพูดจนกระทั่งไม่มีเงินแล้วจอดับไป แล้วถึงจะหยุดพูด

อุษณีย์ - นี่คือนิยามของคำว่า ทีวีของประชาชน

สนธิ - นี่ละครับ ASTV ทีวีของประชาชน ทีวีประชาชนเป็นทีวีที่ต้องออกมาปกป้องผลประโยชน์ให้ประชาชน

สโรชา - จุดยืนไม่เปลี่ยนแปลง ขอบพระคุณกลุ่มคนรัก ASTV อุดรธานี และอีกหลายต่อหลายกลุ่ม คงเอ่ยไม่หมดกับการที่เราอยู่ได้ทุกวันนี้ก็มีพวกท่านที่คอยสนับสนุนเราอยู่
อีกเรื่องหนึ่งก่อนที่จะไปเข้าเรื่องการพูดคุยสนทนาคืนนี้ วันที่ 21 ที่ผ่านมา สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เริ่มขึ้นแล้วที่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บูทของสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ไปเปิดเช่นเคยที่ M01 วันนี้ขอเวลาสัก 2 นาที แนะนำหนังสือดีๆ น้องเก๋คะ

อุษณีย์ - เอาเล่มนี้ก่อนแล้วกันนะคะ นักเขียนคุ้นหน้าคุ้นตาในเครือ ASTV ผู้จัดการ เขียนเรื่อง ผจญภัยในดินแดนสายรุ้ง เกี่ยวข้องกับเรื่องแอฟริกาใต้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีบอลโลก ใช้ประสบการณ์ถ่ายทอดให้ได้สัมผัสประสบการณ์อย่างแท้จริง "ผจญภัยในดินแดนสายรุ้ง" เป็นเล่มหนึ่งสำหรับคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวควรจะมีติดเอาไว้ วันนี้ได้เห็นไปหลายช่วงแล้ว

สโรชา - พี่สาวพี่เอง

อุษณีย์ - "คุยกับแอน จินดารัตน์" ชื่อรายการ ทุกคนที่นอนค่ำหน่อย วันจันทร์ จะได้สัมผัสบรรยากาศมีหลายมิติ มีหลายรส แต่ว่าวันนี้ถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ "คุยกับแอน จินดารัตน์"

สโรชา - พี่แอน จะไปเปิดตัวหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือ ในวันอังคารที่จะถึงนี้ สามารถไปพบกับพี่แอนตัวเป็นๆ ได้ จะไปอยู่ที่บูทเพื่อเซ็นหนังสือ เวลา 17.00 น. 18.00 น. เป็นงานเปิดหนังสือที่เวทีกลาง ประมาณ 19.00 น.งานเสร็จสิ้น ไปพบพี่แอนได้ตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป วันอังคารที่จะถึงนี้ ที่บูทของสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ M01 นอกจากนี้แล้ว

อุษณีย์ - คู่มือที่จะใช้ประกอบในการดู เลี้ยงคนที่ชอบดอกไม้ป่า "มหัศจรรย์ดอกไม้ป่า" คุณชาธร สิทธิเคหภาค ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติ ยังมีอีกหลายรสหลายอารมณ์

สโรชา - ตะกี้นี้ลืมพี่สุวิชช์ ไปเหมือนกัน วันอาทิตย์บ่าย 2 พี่สุรวิชช์ มีหนังสือดีๆ ไปแนะนำเช่นกัน

อุษณีย์ - "เลือกเพชรดูพลอย" สำหรับงานของคุณหิรัญญา ตั้งสืบกุล อ.ธร เป็นบรรณาธิการให้ และของพี่แอ้ม

สโรชา - อันนี้หยิบมาเพราะว่ามีความสนใจส่วนตัว "คัมภีร์อ่านใจเจ้านาย 12 ราศี" โดยคุณณัฐ นรรัตน์
ด้วยความเคารพค่ะคุณผูชม พ่อแม่พี่น้อง เป็นคนแบบนี้แล้วก็ต้องเปิดไปดูว่าเจ้านายตัวเองเกิดราศีอะไรแล้วมีนิสัย เป็นอย่างไร คัมภีร์อ่านใจเจ้านาย 12 ราศี ลองฟังดู
คนราศีนี้ว่าเป็นคนต้องแบก ต้องรับภาระหน้าที่ ทั้งในเรื่องหน้าที่การงานและคนรอบข้าง รวมถึงสิ่งต่างๆที่เป็นปัญหาอยู่รอบตัว ดังนั้นเมื่อคนราศีตุลย์เป็นเจ้านายของคุณ รับรองว่าคุณจะต้องมีงานมาให้คุณทำตลอดต่อเนื่องไม่มีวันหยุดวันหย่อนเลย จริงๆแล้วช่วงท้ายอาจจะไม่ค่อยใช่ แต่ที่บอกว่าต้องแบกรับภาระอยู่ตลอดเวลา ขอบอกว่า อ่านแค่นี้ก็ใช่เลย สำหรับเจ้านาย

สนธิ - เอ้ะ คุณหมายถึงใคร

สโรชา - เจ้านายของแอ้มเองเกิดราศีตุลย์ แม่นไม่แม่นยังไงก็ฝากด้วย

อุษณีย์ - เขาเขียนไหม บอกว่า คนราศีนี้จะชอบพึมพำบ่อยว่าๆอะไรๆก็ตูอีกแล้ว

สโรชา - ตูทุกเรื่องเลย ก็มีหนังสือแนะนำ

สนธิ - หนังสือของแอน ขอเพิ่มนิดนึง เพื่อให้คุณผู้ชมที่ยังไม่รู้ได้ซื้ออ่าน แอนเขาเอาคนที่เคยออกรายการ คุณแอนน จินดารัตน์ ออกมาในหนึ่งรายการก็มีเรื่องของผม
วันนั้นคุณแอนสัมภาษณ์ผมเรื่อง วันที่เราไม่มีแม่ ถ้าใครไม่ได้ดูรายการวันนั้นหรือดูแล้วจำไม่ได้ ไปซื้ออ่าน เพราะว่าผมพูดเรื่องแม่ ซึ่งแอ้มก็เคยฟังผมพูดเรื่องแม่จนน้ำตาไหลมาหลายครั้งแล้ว และพูดถึงวิธีเลี้ยงลูก อย่างไร เพราะฉะนั้นแล้วอยากให้ท่านผู้ชมที่ติดตามแอน จินดารัตน์ ซื้อหนังสือเล่มนี้

สโรชา - ใช่ค่ะ ไปพบกับพี่แอนได้วันอังคารนะคะ เข้าเรื่องกันดีกว่า น้องเก๋คะ เรื่องราวของค่าเงิน จริงๆ แล้วคุณสนธิเพิ่งไปอเมริกามา บรรยากาศที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างคะ เขาบอกว่าเศรษฐกิจค่อนข้างจะย่ำแย่

สนธิ - ก็ คนไทยก็ยังสู้อยู่ พี่น้องชาวแคลิฟอร์เนียที่มานั่งฟังผม แล้วก็มีพี่น้องที่อุตส่าห์ขนมาจากเวกัส พี่พันธ์ ก็อุตส่าห์พาพรรคพวกมา ก็ยังสู้อยู่ แต่ว่าทุกคนก็เห็นด้วยกับผมอย่างยิ่ง ว่าตอนนี้ก็ลำบาก เหตุผลก็เพราะว่า 1. เศรษฐกิจมันแย่ลง แต่ในขณะเดียวกันที่แย่กว่านั้นก็คือว่า ค่าเงินบาทแข็งขึ้น เพราะคนไทยที่นั่น ร้อยละ 99 ต้องส่งเงินกลับบ้าน

อุษณีย์ - ได้น้อยลงสิคะ

สนธิ - อ๋อ แน่นอนครับ แต่ก่อนเคยส่งได้ที 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ลดมาเหลือ 32 วันนี้เหลือ 29-30 ทุกคนก็หน้าเหี่ยวกันหมด ผมก็แนะนำอะไรให้เขาไม่ได้ นอกจากบอกว่าให้รีบไปบอกคนที่รับเงินที่เมืองไทย บอกให้ใช้เงินระวัง อย่ามาบ่น อย่ามาขอเพิ่ม เพราะว่าไม่มีให้เพิ่มแล้ว ก็คือพูดง่ายๆ ว่าหายไปประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์

สโรชา - สิ่งที่จะคุยกันในวันนี้มันเป็นเรื่องราวที่กระทบ จะบอกว่าถ้วนหน้าก็คงจะใช่ เพราะว่ามีเสียงบ่นมาเยอะ จากผู้ส่งออก บอกว่าปล่อยให้ค่าเงินแข็งค่าไปขนาดนี้ได้อย่างไร ในขณะเดียวกัน ในมุมกลับก็มีคนบอกว่า อุ๊ยเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นเฟื่องฟู นี่ก่อนสิ้นปีจะถึงพันจุดแน่ๆ แล้วก็มีเสียงสะท้อนออกมาด้วยความยินดีปรีดาว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ดีมากๆ ในเรื่องของเศรษฐกิจ ปีนี้จีดีพีโต คาดว่าอย่างต่ำ 7 % น่าจะไป 7.5 แต่สิ่งที่คุณสนธิ อยากจะสะท้อนในวันนี้ มันเป็นมุมต่าง

สนธิ - มันเป็นยาพิษเคลือบน้ำตาล

สโรชา - มันไม่ใช่ภาวะตลาดปกติหรือคะ

สนธิ - คือเรื่องนี้ ถ้าพูดตรงๆ เป็นเรื่องที่อธิบายยาก เพราะเป็นเรื่องเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เรื่องการเงินแต่ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถ จะเข้าใจเหตุการณ์ในวันนี้ได้ เราต้องย้อนหลังไปนิดนึง ว่าที่มาที่ไปมาอย่างไร

ผมต้องพยายามพูดภาษาง่ายๆ คุณแอ้ม กับเก๋ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนอย่าผ่านไปให้ถามแทนท่านผู้ชม

โลกสมัยก่อนเวลาเขาค้าขายกันเขาใช้ทองคำเป็นมาตรฐาน พอตอนหลังเขายกเลิกทองคำไป เขาใช้เงินดอลลาร์แทน เพราะอเมริกาเป็นมหาอำนาจ ทางเศรษฐกิจและในเรื่องทางทหาร สมัยก่อนอังกฤษเป็นมหาอำนาจ ดุลของมหาอำนาจได้ถูกโยงกับมาที่อเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พูดง่ายๆว่าอเมริกาเป็นตำรวจโลก มีทั้งกระบอง

อุษณีย์ - พัฒนาอุตสาหกรรมด้วย

สนธิ - และมีเทคโนโลยีที่ก้าวทันสมัย ประชากรกินดีอยู่ดีทุกอย่าง จึงใช้เงินดอลลาร์เป็นหลัก เงินดอลลาร์ซื้อขายเป็นดอลลาร์ ประเทศไทยจะซื้อน้ำมันก็ต้องเอาเงินบาทไปแลกเป็นดอลลาร์ แล้วส่งดอลลาร์ออกไปที่ประเทศ เช่น โอเปก จ่ายค่าน้ำมันเขา แล้วเราเอาดอลลาร์มาจากไหน ดอลลาร์เราก็เอามาจากของที่เราส่งออกไปขายที่อเมริกา หรือส่งไปขายที่ญี่ปุ่น เราก็บอกว่าขอให้จ่ายเราเป็นดอลลาร์ ก็เป็นหน้าที่ของคนที่ซื้อของของเราในประเทศนั้น ที่เขาต้องเอาเงินของเขาไปแลกเป็นดอลลาร์แล้วส่งมาให้เรา

พอดอลลาร์ส่งมาที่ประเทศไทย ผู้ส่งออกสมัยก่อนต้องขายดอลลาร์ทิ้งเพื่อเอาเงินบาทมา ดอลลาร์ขายทิ้งขายให้ใครก็ขายให้แบงก์ชาติ แบงก์ชาติก็เก็บเงินดอลลาร์ไว้

อุษณีย์ - มันจะมีระยะเวลาใช่ไหมคะที่ต้องแลก

สนธิ - แต่ก่อนต้องบังคับเลย มาถึงปั้บภายใน 7 วัน ต้องขาย เดี๋ยวนี้ให้เก็บไว้ได้ บางคนก็ฉลาด มองว่าในอนาคตดอลลาร์จะเเข็งขึ้นทำให้ได้ค่าเงินบาทมากขึ้น จากแต่ก่อนเคยแลกได้ 25 บาท อาจจะแลกได้ 28 บาท หรือ 30 บาท เขาก็เอาดอลลาร์เก็บไว้เมืองนอกก่อน พอเงินบาทขึ้นเขาค่อยเอาดอลลาร์มาแล้วค่อยแลก แต่สรุปง่ายๆ คือ ธนาคารชาติ ธนาคารกลาง เป็นคนเก็บดอลลาร์ ใครจะเอาดอลลาร์เข้ามาขายเสร็จก็ต้องส่งให้ แบงก์พาณิชย์ต่างๆ มีการเจรจาติดต่อการค้าต่างประเทศ สมมุติว่าผมจะซื้อเครื่องจักร ซื้อแท่นพิมพ์ๆ หนึ่ง ซื้อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่าแท่นพิมพ์ประมาณ 200 กว่าล้านบาท หรือตีสัก 10 ล้านเหรียญ เราก็เอาเงินบาทไปให้แบงก์ สมมุติแบงก์กรุงเทพ แบงก์กรุงเทพก็อาจจะหักจากบัญชีเรา หรือเป็นเงินกู้ที่เรากู้จากแบงก์กรุงเทพ แล้วแบงก์กรุงเทพก็จะแจ้งไปแบงก์ชาติว่าขอซื้อดอลลาร์ 10 ล้านดอลลาร์ โอนไปให้ตรงนั้น แบงก์จะได้กำไรค่าธรรมเนียม ค่าโอน ธุรกิจธุรกรรมแบบนี้ทำมาตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่ง แบงก์ชาติก็เกิดมีความคิดว่า เอ๊ะ เรานี่น่าที่จะทันสมัยแล้ว ตามโลกหน่อย ก็คือเราน่าที่จะให้ต่างชาติมาเปิดตัวแทนสาขาในเมืองไทย ที่เขาเรียกว่า BIBF คนที่มติอันนี้ก็คือคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยที่คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี

BIBF คือหน้าที่อะไร คือหน้าที่เป็นตัวแทนแบงก์ต่างชาติ สมมุติว่าผมเป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองไทย ต้องการกู้ธนาคารต่างชาติ ผมไม่ต้องติดต่อ เขาจะมีตัวแทนเข้ามาอยู่เลย ผมก็ไปกู้จาก BIBF BIBF ก็ติดต่อไป ถ้าเขาไม่ต้องการอะไรค้ำประกัน ผมก็กู้โดยตรงได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะบอกว่าให้แบงก์เมืองไทยค้ำประกัน เพื่อป้องกันความเสี่ยง เพราะฉะนั้นผมก็ต้องเจรจาแบงก์กรุงเทพว่า ผมจะกู้ BIBF นะ เพราะดอกเบี้ยมันถูกกว่า เพราะ BIBF สมัยก่อน อัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยตีสัก 12 เปอร์เซ็นต์ BIBF ดอกเบี้ยแค่ 8 เปอร์เซ็นต์ หรือ 6 เปอร์เซ็นต์ แบงก์กรุงเทพก็จะค้ำประกันผม เพราะว่าเครดิตผมดี แต่แบงก์กรุงเทพอาจจะขอบวกอีก 2 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นแทนที่ผมจะเสียแค่ 6 ผมอาจจะเสีย 8 แต่ 8 ก็ยังถูกกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ ที่ผมกู้ ถูก/ไม่ถูก ก็มีส่วนต่างอยู่ 4 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ก็เลยทำให้คนกู้กันเยอะ และที่สำคัญที่สุดก็คือ แบงก์ต่างๆ กลับเป็นผู้ที่เล่น BIBF เอง ก็คือแบงก์ต่างๆ ไปกู้ BIBF ในราคา 6 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็เอามาปล่อยในราคา 8-9 เปอร์เซ็นต์ อาจจะเป็นเพราะว่าเงินฝากตอนนั้นมันอาจจะแพงกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ เงินฝากอาจจะ 7 เปอร์เซ็นต์ แต่เขากู้ได้แค่ 6 เปอร์เซ็นต์ เขาก็กินส่วนต่างอยู่แล้ว 1 เปอร์เซ็นต์ บวกไปอีก 2-3 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ มันก็เป็นอย่างนี้ จนกระทั่งคนก็เริ่มกู้มากๆๆ กู้ๆๆ จนกระทั่งกู้มาจับจ่ายใช้สอย ขยายในสิ่งซึ่ง เขาเรียกว่า ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Non-Productive Sector ก็คือไม่ได้สร้างผลผลิตอะไรมาให้เลย กู้มาสร้างตึก กู้มาลงทุนในด้าน Real Estate มาขายบ้าน กู้จนกระทั่งสถานภาพการเงินของบ้านเราอยู่ในสถานภาพที่มีแต่เงินออก เงินเข้าไม่มี เงินเข้าคือเงินเข้าบริษัทไม่มี เอาแต่กู้เอาๆ จนกระทั่งวันหนึ่งก็เกิดภาวะการณ์ เขาบอกว่าเงินบาทแข็งเกินไปจะต้องอ่อนลง เมื่อจะต้องอ่อนลงแล้ว เนื่องจากมีไอบีเอฟแล้ว เปิดเสรีทางการเงินแล้ว หมายความว่า เงินบาทไปลอยตัว ลอยค่าในต่างประเทศได้ แบงก์ในสิงคโปร์ก็มีเงินบาท ฮ่องกงก็มีเงินบาท หลายๆ ประเทศรอบๆ ก็มีเงินบาท เมื่อมีเงินบาทเรียบร้อยแล้วเขาเลยมาโจมตีค่าเงินบาท เพราะเขารู้ว่า มูลค่า 1 ดอลลาร์ไม่ใช่ 25 บาทไทยอีกต่อไปแล้ว มันจะต้องสูงกว่า 25 บาท อาจจะต้อง 30 บาท 32 บาท นั่นคือที่มาของ เศรษฐกิจล่ม เมื่อปี 2540 หรือปี ค.ศ.1997

ในช่วงนั้น เนื่องจากประเทศไทยเป็นสุภาพบุรุษมาก ประเทศไทยบอกว่า เงินจะเข้าเงินจะออกเชิญตามสบาย แต่มาเลเซีย มหาเธร์ไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่เขาเป็นสุภาพบุรุษของคนมาเลเซีย เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษของฝรั่ง เขาบอกว่าหยุด ใครก็ตามที่มีเงินริงกิตอยู่นอกประเทศ ให้เอากลับมาแลกดอลลาร์คืนซะ เพื่อให้เงินริงกิตกลับคืนสู่ประเทศ เท่ากับเขาปิดประเทศ ปิดประเทศเพื่อไม่ให้ใครเอาเงินริงกิตนอกประเทศมาค้าขายกับเขา ถ้าใครต้องการเงินริงกิตให้ส่งเงินเข้ามาเลเซียโดยตรงแล้วไปแลกในมาเลเซีย แล้วค่อยเอาเงินริงกิตไปทำธุรกิจ เขาไม่ต้องการให้มีการเล่นค่าเงิน แต่ประเทศไทยหน้าบาง อยากจะให้ฝรั่งชมว่า ประเทศไทยยึดถือหลักสากล เหมือนวันนี้ฝรั่งชมคุณกรณ์ จาติกวณิช ว่าเป็นรัฐมนตรีการคลัง ที่เก่ง

สโรชา - เก่งมาก ได้รางวัล

สนธิ - เพราะคุณกรณ์เล่นตามเกมฝรั่งหมด ฝรั่งให้ทำอย่างไรก็ตามคุณกรณ์เห็นด้วย ทำตามหมด ตำหนิคุณกรณ์ไม่ได้ เพราะคุณกรณ์ โดยพื้นฐานแล้ว นิสัยคุณกรณ์แกเจริญเติบโตมาด้วยการอยู่กับฝรั่ง เลยคิดแบบฝรั่งทุกเรื่อง โดยเฉพาะการเงินการทอง

วันนั้นเลยกลายเป็นมาเลเซียรอด ไม่โดนผลกระทบ แล้วจอร์จ โซรอส คือนักเล่นค่าเงิน ให้สารภาพเลยว่า เขาขาดทุนการเล่นค่าเงินที่มาเลเซีย ประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

สโรชา - เพราะมาเลเซียประสบความสำเร็จ

สนธิ - เพราะมาเลเซียปิดประเทศ เอาละ นี่คือลักษณะเงินทองไหลมาเทมา ผมยกตัวอย่างประเทศไทยกับอเมริกา ทุกประเทศเหมือนกันอย่างนี้ ทีนี้เกิดอะไรขึ้นกับอเมริกา ต้องตามผมมา อเมริกาเป็นประเทศที่ช่วงหลังประชาชนเน้นเรื่องบริโภค เพราะอเมริกาจะเน้นให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยตลอดเวลา มีบ้านหลังนี้เล็กไปให้ซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้น รถยนต์ลูกก็ต้องมีคันนึง แม่ก็ต้องมีคันนึง พ่อก็ต้องมีคันนึง ที่บ้านจะมีทีวี จะมีโฮมเธียเตอร์ มีสระว่ายน้ำ มีทีวีทุกห้อง ช้อปปิ้งมอลล์ มีของหมด เดี๋ยวก็จะมีอุปกรณ์ต่างๆ เต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้การจับจ่ายใช้สอยคนอเมริกันเริ่มเกินตัว พอเริ่มเกินตัวแล้วอเมริกาเขาถือว่าใครมีเครดิตคนนั้นเป็นคนน่าเชื่อถือ

อุษณีย์ - มีหนี้

สนธิ - ครับ เพราะฉะนั้นแล้วเขาเลยเริ่มกระจายเรื่องบัตรเครดิตมากขึ้น ลักษณะคล้ายๆ เมืองไทยตอนนี้ ที่คนหนึ่งมีบัตรเครดิต 4-5 ใบ อเมริกาก็เช่นกัน อเมริกาทุกอย่างสินเชื่อหมด จะซื้อโซฟาตัวหนึ่งผ่อนเป็นรายวันก็ยังได้เลย ผ่อนเป็นรายเดือนก็ได้ คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ออกมา เขาบอกเลยว่าไม่ต้องมีดาวน์ แค่เดือนละ 29.95 เหรียญ ผ่อนได้ 2 ปี เอาไปเลย คนอเมริกาเขาก็คว้าสิ คว้ามาแล้วก็ผ่อน ไม่ได้ต่างกับเมืองไทยตอนนี้ ตอนนี้ไม่ได้ต่างกับอเมริกาสมัยโน้นเลยแม้แต่นิดเดียว

สโรชา - จำได้ว่าเมื่อยุคไม่กี่ปีที่ผ่านมา เครดิตการ์ด

อุษณีย์ - เงินเดือนหมื่นต้นๆ

สโรชา - เมื่อก่อนนี้ หมื่นห้า หมื่นสาม สามารถมีบัตรเครดิตได้

สนธิ - นั่นล่ะ เพราะฉะนั้นแล้วมันก็เลยกลายเป็นสังคมที่จับจ่ายใช้สอยแล้วก็เป็นหนี้มาก ขึ้น หนี้ก็ทับถมพอกพูนไปเรื่อยๆ จากสมัยก่อนบัตรเครดิตที่แต่ก่อนนี้ บัตรเครดิตอเมริกามีหลายบัตร บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรส ถ้าใช้ 100 บาท สิ้นเดือนต้องจ่าย 100 บาท คนก็เลยไม่ค่อยใช้บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรส ให้ไปใช้บัตรวีซ่า มาสเตอร์ เพราะวีซ่า มาสเตอร์ ออกโดยแบงก์ แบงก์มีฐานการเงินที่แข็งแรง อเมริกันเอ็กซ์เพรสก็เป็นแบงก์ แต่ว่าแบงก์ไม่ใหญ่เท่ากับแบงก์ที่ออกวีซ่า เพราะวีซ่ามันออกได้ทุกแบงก์ไง มาสเตอร์การ์ดก็ออกได้ทุกแบงก์ เพราะฉะนั้นแล้ว วีซ่า มาสเตอร์การ์ด ก็จะบอกว่า แอ้ม ให้ลิมิตแอ้มเดือนละ 5 หมื่นบาท แอ้มก็ใช้ๆๆ ไป 5 หมื่นครบแล้ว เดือนต่อไปแอ้มไม่มีปัญญาจ่าย 5 หมื่น แบงก์อยู่ได้ด้วยอะไร ดอกเบี้ย แบงก์ก็บอกว่า เอาอย่างนี้แอ้ม แอ้มจ่าย 10 เปอร์เซ็นต์พอ คือ 5 พัน ค้างอยู่ 45,000 คิดดอกเบี้ยตรง 45,000 แอ้มก็เอาสิ แล้วแอ้มก็ไป apply ไปสมัครบัตรอีกใบหนึ่ง เป็นบัตรมาสเตอร์การ์ด ก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นหนี้สินที่พอกพูนไปเรื่อยๆ และขณะเดียวกันคนอเมริกันก็เน้นในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ ก็จะมีการสร้างอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมา
อเมริกาช่วงนั้นเป็นช่วงที่อเมริกากำลังเริ่มทำสงคราม ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอห์นสัน มาแล้ว สงครามในเวียดนาม การทำสงครามคือการต้องเอาทรัพยากร หรือเงิน ที่จะมาลงทุนในประเทศ ส่งไปในสงคราม ทำรถถัง เอาเงินไปจ่ายทหาร เอาเงินไปสร้างเครื่องบิน มันเป็นการลงทุนที่ไม่ได้ให้ผลผลิตกลับคืนมา เป็นการลงทุนเพื่อฆ่าคน เพราะฉะนั้นแล้วอเมริกาก็เลยเริ่มที่จะขาดทุน ขาดดุลการค้าตลอดเวลา

สโรชา - จุดเริ่มต้นอยู่ที่สงคราม

สนธิ - เป็นจุดเริ่มต้นที่สงคราม พอขาดดุลการค้ามาถึงระดับหนึ่ง อเมริกาก็เริ่มที่จะต้องกู้แล้ว ความที่อเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่ มีอำนาจมาก สมมุติประเทศไทยค้าขายทั่วโลก แล้วมีเงินอเมริกา เงินดอลลาร์สะสมมา สะสมจากการที่เราส่งออก พ่อค้าส่งออกได้เงินดอลลาร์มา เอามาขายคืนให้ประเทศไทย ประเทศไทยก็พิมพ์แบงก์ไง พิมพ์แบงก์จ่ายเป็นเงินบาทไป ดอลลาร์เราก็มีเยอะ พอดอลลาร์เรามีเยอะ เราทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ เราก็มีทางเลือก 2 ทาง 1. เราต้องไปซื้อพันธบัตร หรือ 2. เราต้องไปลงทุน การลงทุนมันเสี่ยง เพราะฉะนั้นการซื้อพันธบัตรนี่ safe ที่สุด ก็เลยต้องไปซื้อพันธบัตรอเมริกัน ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียก T-Bond

สโรชา - Treasury Bond

สนธิ - Treasury Bond พันธบัตรอเมริกัน ทางอเมริกาก็ให้ดอกเบี้ยมา ก็เท่ากับว่าเรานี่เอาเงินที่เราค้าขายได้ไปฝากกับเขา ส่วนอเมริกันก็เอาเงินทีเราไปฝากเขาเอามาใช้จ่ายในสงคราม เขาใจหรือยัง เอาไปหมุนในสงคราม จะเป็นลักษณะนี้อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเงินที่ทีบอนด์เริ่มเพิ่มขึ้น

สโรชา - หนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สนธิ - จากวันนี้จนถึงวันนี้ อเมริกามีหนี้ที่ต่างชาติเป็นเจ้าของอยู่ 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นกี่ร้อยล้านล้านบาทก็คิดเอาเองแล้วกัน เอา 12 คูณ 30 วันนี้แล้วกัน เท่ากับ 360 ล้านล้านบาท งบประมาณแผ่นดินเรา 2 ล้านล้านใช่ไหม ก็เท่ากับ 180 ปี

สโรชา - หนี้ที่สหรัฐฯมีอยู่ในปัจจุบัน

สนธิ - แล้วเป็นหนี้ที่เจ้าของหนี้คือประเทศไทย อินเดีย จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน รัสเซีย

สโรชา - ได้ข่าวว่ารัสเซียรายล่าสุด

สนธิ - ก่อนหน้านี้รัสเซียไม่เคยเป็นเจ้าหนี้อเมริกาเลย

อุษณีย์ - หนักสุดใครคะ

สนธิ - คือจีน ประมาณเกือบ 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เบ็ดเสร็จรวมไปแล้วประมาณ 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ นี่คือหนี้นะ ที่เห็นด้วยตา ทีนี้หนี้ที่ไม่เห็นด้วยตา เรียกว่า ภาระผูกพัน เหมือนแอ้มไปเซ็นสัญญา ว่า แอ้มรับเงินไปแล้วแอ้มต้องส่งหนังสือนิตยสารให้เขา 12 เดือน เขาจ่ายแอ้มมาล่วงหน้าแล้ว 360 บาท แต่แอ้มมีภาระผูกพันที่ต้องส่งหนังสือเขาอีก 12 เดือน ภาระผูกพันตรงนี้คือเงินทองทั้งสิ้น อเมริกามีภาระผูกพันอยู่ 2- 3 ประการ

ประการแรกคือระบบสวัสดิการสังคม ที่เขาเรียกว่า Social Security ซึ่งแอ้มรู้ แอ้มอยู่เมืองนอกว่า ต้องมีบัตรประกันสังคม ทุกคนต้องมี นายจ้างจะหักเงินก้อนนึงของแอ้มเวลาทำงานเอาเงินใส่เข้าไปในกองกลาง กองกลางนี้จะต้องเอาไปใช้จ่ายเมื่อแอ้มเกษียณอายุ พอเกษียณแล้วต้องจัดเงินก้อนคืนให้แอ้ม

จริงๆแล้วเงินกองกลางนี้รู้สึกจะมีประมาณ 30 ล้านล้านเหรียญ ที่จะต้องเป็นเงินที่ต้องจ่ายคืน

อุษณีย์ - คือหนี้อีกก้อนหนึ่ง

สนธิ - เขาเรียกว่าหนี้ใต้ภูเขาน้ำแข็ง คือเวลาเรามองทะเล ภูเขาน้ำแข็งมันโผล่แต่ยอดใช่ไหม แต่ข้างล่างยังมีอีก ที่เห็นข้างบนยอดแค่ 12 ล้านล้าน ใต้ภูเขาน้ำแข็งลงไปมันมีหนี้ของสวัสดิการสังคมประมาณ 30 ล้านล้านเหรียญ

หนี้ของสวัสดิการทางด้านสาธารณสุข หรือภาษาอังกฤษเรียก Medicare เขามีแพลน A แพลน B และแพลน D ที่ต้องมีภาระผูกพันตลอดไป เบ็ดเสร็จรวม 12 ล้านล้านเหรียญแล้ว สรุปแล้วอเมริกามีหนี้ปัจจุบันและหนี้ภาระผูกพันไปเบ็ดเสร็จ 120 ล้านล้านเหรียญ ก็เอา 30 คูณเข้าไปซิ ก็เท่ากับ 3,600 ล้านล้านบาท เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า หนี้ของคนอเมริกันทั่วตัวเลย หารเฉลี่ยออกมาแล้ว หนี้ต่อหัวของคนอเมริกัน ต่อ 1 คนประชากรอเมริกัน เป็นหนี้อยู่ประมาณ 350,000 ดอลลาร์ คือล้านกว่าบาท

สโรชา - ต่อคนหรอคะ

สนธิ - ต่อคน

อุษณีย์ - หมายถึงถ้าเกิดขึ้นมาต้องแบกภาระหนี้

สนธิ - แบกภาระหนี้ 10 ล้านบาท คนอเมริกัน 1 คนมีภาระหนี้ 10 ล้านบาท เพราะฉะนั้นแล้วอนาคตเขาไม่มี เผอิญอเมริกาไม่ใช่มีสงครามตัวนั้นตัวเดียว พอมาถึงประธานาธิบดีบุช ก็สร้างสงครามที่อัฟกานิสถาน สร้างสงครามที่อิรัก คูเวต คูเวต อิรัก อัฟกานิสถาน สงครามนี้ได้มาอย่างไร สงครามนี้ได้มาจากงบประมาณที่อเมริกาต้องจัดไป พองบประมาณอเมริกาจัดไปกลายเป็นงบประมาณขาดดุล งบประมาณขาดดุล เอาเงินมาจากไหน ต้องไปกู้มา แล้วกู้จากใคร

สโรชา -ก็ต่างชาติ

สนธิ - ก็ต่างชาติ ต่างชาติก็เอาเงินมาฝาก ฝาก ฝาก มันก็เพิ่มไปเรื่อยๆ นี่คือที่มาว่า ทำไมถึงกลายเป็น 12 ล้านล้านเหรียญ

สโรชา -แล้วโยงกลับมาอย่างไรกับค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าอยู่ในขณะนี้

สนธิ - ด้วยเหตุนี้เลยจะทำให้สถานภาพของเงินอเมริกันจริงๆ แล้วคลอนแคลนมาก คือว่า เงินดอลลาร์มูลค่าแทบจะไม่มี เพราะว่าโดยพื้นฐานจริงๆ แล้วเศรษฐกิจอเมริกันไม่ดีเลย เพราะเป็นหนี้เขาหมด เพียงแต่ว่าตอนนี้เอาหนี้มาแล้วส่งดอกเบี้ยเท่านั้น แล้วมีเงินใหม่เข้ามาใส่ จริงๆ อเมริกาคือแชร์แม่ชม้อยตัวจริง เอาเงินใหม่มาใส่เงินเก่า ตอนนี้อเมริกาใช้เงิน 48 ในจำนวน 12 ล้านล้านเหรียญ 48% คือดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย

เอาละถามต่อ เมื่อเงินขาดแล้วเผอิญโยงกลับมาถึงนิสัยใจคอสังคมอเมริกัน เนื่องจากรัฐบาลอเมริกันส่งเสริมคนให้จับจ่ายใช้สอย รถรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้น GM ผลิตรถออกมา FORD ผลิตรถออกมา Chrysler ผลิตรถออกมา Boeing ผลิตเครื่องบิน สายการบินขยายงาน ใช้เงินใช้ทองหมด อเมริกาเลยต้องการมีกำไรมากขึ้นจากบริษัท ก็เลยย้ายฐานการผลิตจากอเมริกาไปอยู่ต่างชาติ ไปอยู่จีน ไปอยู่อินเดีย ไปอยู่เวียดนาม

สโรชา - ไปหาแรงงานถูก

สนธิ - ไปอยู่เม็กซิโก ไปอยู่ประเทศไทย หาแรงงานถูกๆ เพื่อผลิตสินค้าประเภทเดียวกันกลับมา เพื่อให้บริษัท มีกำไรมาขึ้น แล้วใครเป็นคนรองรับการที่ต้องให้บริษัทต่างๆ พวกนี้มีกำไรมา ก็คือประชาชนคนอเมริกัน คนอเมริกันสามารถซื้อ iPad, iPhone, Macintosh ทำในจีนหมด ผมไปอเมริกางวดนี้ผมไปเดินห้างสรรพสินค้า ผมยังหาสินค้าเมคอิน Made in USA ไม่เจอ

สโรชา - ไม่มีแล้ว

สนธิ - ไม่มี เสื้อผ้าส่วนใหญ่จีน เผลอๆ หลุดออกมาจากฮ่องกง ฮ่องกงนี้ราคาแพงกว่าจีนนะ ตั้งแต่รองเท้าแตะไปจนถึง iPad, iPhone ทุกอย่าง

เอาละ พอคนอเมริกันเริ่มเป็นหนี้มากขึ้น แบงก์เริ่มคิดวิธีการทำมาหากินใหม่ๆ ขึ้นมา แบงก์อเมริกันเลยคิดวิธีทำมาหากิน คือ สมมุติคุณแอ้มไปกู้เงินแบงก์มาสร้างบ้าน ซื้อบ้าน แอ้มเอาเงินก้อนหนึ่งวางดาวน์ตามกติกา เสร็จเรียบร้อยเซ็นสัญญา เซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อยสามารถเริ่มผ่อนได้ แบงก์อเมริกาหัวใส บอกว่าเอาสัญญาของแอ้มไปขายต่อให้เก๋ เก๋รับซื้อในราคาหนึ่ง แล้วเก๋จ่ายเงินกับแบงก์ในราคาหนึ่ง เก๋เอาสัญญาไปขายต่อ ขายต่อ ขายต่อ เขาถึงเรียกว่า Sub-Prime คือว่า คุณภาพของสินเชื่อเลวลง เลวลง เพราะว่าในการทำเช่นนั้นได้ทำให้เขาไม่ได้พิจารณาสินเชื่ออย่างจริงจัง เพราะถ้าเขาพิจารณาสินเชื่ออย่างจริงจัง การขยายตัวของการจำนองบ้านอันนี้จะช้า เขาเลยลดมาตรฐานการขยายตัวของสินเชื่อ โดยลดมาตรฐานคุณภาพของคนที่กู้มา พอเกิดปัญหานี้ปังปั๊บ เกิดเจ้าหนึ่ง คนอเมริกันซึ่งไม่มีเงิน เพราะคุณภาพต่ำ รายได้ไม่ถึงขั้น ก็หยุดผ่อนบ้าน พอหยุดผ่อนเลยมีการยึดบ้าน พอยึดบ้านล้มเป็นจุด ล้มที่แอ้ม ล้มที่เก๋ต่อไปเรื่อง เป็นโดมิโน่หมดเลย เลยเกิดปัญหา Sub-Prime

จุดของการขยายธุรกิจของสินเชื่อตรงนี้ เริ่มประมาณปี 2549 ประมาณ 4 ปีที่แล้ว ทำไมอสังหาริมทรัพย์ถึงโตเร็ว เพราะว่าอเมริกาจงใจกดดอกเบี้ยในการกู้บ้านในราคาต่ำ แล้วปล่อยเงินราคาถูกออกไปนอกประเทศ เขาปล่อยมาระยะหนึ่งแล้วนะ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า อสังหาริมทรัพย์ที่อเมริกาบูมเมื่อไหร่ อสังหาริมทรัพย์ที่อังกฤษจะบูมตาม ออสเตรเลีย ฮ่องกง จีน ไทยก็บูม บูมกันหมดเลย เพราะเงินถูกมันไหลออกไป คนเอาเงินถูกมาลงทุนสร้างบ้าน เกิดอะไรขึ้น พออีนี้ล้มปังก็ล้มกันระเนระนาด เผอิญเมืองไทย แบงก์ที่เกี่ยวข้องกับ Sub-Prime มีน้อย เลยเสียหายน้อง ฮ่องกงเสียหายมากแต่ไม่มาก ญี่ปุ่นเสียหายมากขึ้นหน่อย อังกฤษ อเมริกาเจ็บตัวหนัก พอเจ็บตัวหนักกระเทือนถึงแบงก์ แอ้ม เกิดมาในชีวิตไม่เคยมีใครคิดว่า เลห์แมนบราเธอร์ จะเจ๊ง

สโรชา - เข้มแข็งมาก

สนธิ - เลห์แมนบราเธอร์ สมัยยังไม่ล้มใหญ่กว่าแบงก์กรุงเทพอีกนะ นี่คือวานิชธนกิจที่ใหญ่มาก โกแมนแซก หลายๆ ชื่อที่มีชื่อ ต้องวิ่งเข้าไปหารัฐบาลอเมริกัน รัฐบาลอเมริกัน AIA, AIG ก็แย่ต้องกู้เงิน GM ล้มละลาย บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด ที่เขาบอกว่า GM คืออเมริกา อเมริกาคือ GM ปล่อยให้ล้มไม่ได้ ในที่สุดรัฐบาลอเมริกันเลยต้องเอาเงินก้อนหนึ่งขึ้นมา ที่เขาเรียกว่า TRP TRP 1 เงินก้อนนี้ที่ออกมาประมาณ เกือบ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เอาเงินก้อนนี้ไปแจก เอาไปให้ AIG กู้เท่านี้ เอาไปให้ GM กู้เท่านี้ เอาไปให้โกแมนแซกกู้เท่านี้ เอาไปให้แบงก์อเมริกากู้เท่านี้

สโรชา - จริงๆ เหมือนเข้าไปซื้อกิจการ

สนธิ - เหมือนเข้าไปซื้อ เข้าไปพยุงเพื่อไม่ให้ล้ม ซึ่งถ้าเราดูพฤติกรรมของอเมริกา ณ เวลานั้น ต้องใจเย็นๆ ท่านผู้ชม ถ้าเราเข้าไปดูวิธีการอเมริกาแล้ว อเมริกาเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะสมัยไอเอ็มเอฟ อเมริกามาบีบให้ประเทศไทยว่ารัฐบาลห้ามช่วยแบงก์ล้ม ห้ามอุ้ม ต้องให้ล้มไปเลย ทำไมเขาถึงเปลี่ยนสถานภาพแบบนี้ เพราะว่าตอนนั้นเขาต้องการให้เราล้ม เขาจะได้เข้ามาซื้อของเราราคาถูกๆ แล้วเขาเอากำไรที่ซื้อของถูกแล้วมาขายแพง เช่น ซื้อหนี้บริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทให้เช่าซื้อรถยนต์ มีสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท บริษัทนี้ล้ม เขาซื้อมาแค่ราคา 300 ล้านบาท คือ 10% แล้วเขามาเรียกเก็บกับคนไทยครบจำนวน 3 พันล้านบาท เขากำไร 2.7 พันล้านบาท แล้วเอา 2.7 พันล้านบาทส่งคืนกลับไปที่อเมริกา นี่คือวิธีปล้นวิธีหนึ่งของเขา

อุษณีย์ - นั่นคือปี 40

สนธิ - ช่วงนั้นธุรกิจของแบงก์อเมริการ่ำรวยมาก ธุรกิจวนิชธนกิจ โกแมนแซกกำไรมหาศาล เลห์แมนบราเธอร์ กำไรมหาศาล มอร์แกนสแตนลีย์ กำไรมหาศาล ชื่อแปลกๆ ที่ท่านผู้ชมฟังอยู่ เป็นชื่อของสถาบันการเงินแบบใดแบบหนึ่งของอเมริกาที่มีชื่อในโลกนี้ พวกนี้ร่ำรวยจากการที่เอาความมั่งคั่ง หรือเอาความทุกข์ทรมานของคนไทย แทนที่ซื้อมา 300 ล้านบาท แล้วจะขายเพียง 600 ล้านบาท กำไรเท่าตัวไม่พอ กำไร 10 เท่า นี่คือการปล้นกลางแดด อเมริกาปล้น แล้วตอนนั้นถ้ารัฐบาลไทยเข้าไปอุ้มแบงก์ เข้าไปอุ้มไฟแนนซ์ที่ล้ม อเมริกาจะบอกว่านี่ผิด เป็นการกระทำไม่ถูกต้อง

สโรชา - คุณจะเอาเงินภาษีประชาชนไปอุ้มเอกชนได้อย่างไร

สนธิ - ถูกต้องเขาด่าเรา แต่วันนี้อเมริกาเอาเงินภาษีมาอุ้มธนาคารหมดเลย เพราะฉะนั้นแล้ว พวกคนซึ่งหลงเชื่อฝรั่ง ในปี 2540 วันนี้ควรละอายแก่ใจ เพราะวันนั้นเป็นวันที่ผมสู้ ผมบอกไม่ต้องฟังอเมริกา เราต้องช่วยคนของเราก่อน คุณรู้ไหมว่า 2540 ถ้าประเทศไทยไม่ฟังอเมริกา แล้วเข้าไปช่วยเขา ผมคิดว่าธุรกิจไม่ล้มเยอะขนาดนี้ นักธุรกิจระดับดีๆ ระดับกลางที่ยังคงอยู่ตอนนั้นแล้วใกล้ล้ม สามารถยืนได้ แล้วสามารถพัฒนา ส่งเสริมประเทศให้ดีกว่าเก่า แต่ช่างมันเถอะ

พออเมริกาเอาเงินก้อนนี้มาสนับสนุนพวกนี้ๆ เท่ากับอเมริกาเอาเงินมาป้องกันไม่ให้แบงก์ล้ม ปรากฏว่า โอบามา เข้ามา TRP1 คือการที่อเมริกาเอาเงินสนับสนุนพวกนี้ปลายยุคประธานาธิบดีบุช โอบามาเข้ามาปั๊บ ก็หวังว่าเงินซึ่งเอามาสนับสนุนพวกนี้จะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้น ปรากฏว่าเลวลง เพราะเศรษฐกิจอเมริกาตก คนกลัว เพราะมีการยึดบ้านตลอดเวลา อเมริกาไม่เหมือนเมืองไทย เขามีข้อดีอยู่ข้อหนึ่งซึ่งเมืองไทยยังไม่มี และเมืองไทยควรจะมีเหมือนเขา

สโรชา - คืออะไรคะ

สนธิ - แอ้ม เก๋ ซื้อบ้านหลังหนึ่ง ดาวน์ 20% 30% 20% ไฟแนนซ์แบงก์กรุงเทพ แบงก์กรุงเทพพิจารณาแล้วว่ามีปัญญาผ่อนได้เขาอนุมัติ แอ้มต้องผ่อนบ้านกับแบงก์กรุงเทพ ถ้าเป็นที่อเมริกา แอ้มผ่อนแล้วผ่อนอีกในที่สุดไม่มีปัญญาผ่อน ครบ 3 เดือน 4 เดือน 5-6 เดือนเขามายึดบ้าน พอยึดแล้วจบเลย คืนบ้านให้เขาไปเลย แต่เมืองไทยไม่ได้ มีสัญญาข้อหนึ่งซึ่งไม่เป็นธรรม คือว่า เมื่อแบงก์กรุงเทพยึดบ้านแอ้มคืนไปแล้ว เขาขายทอดตลาดบ้านหลังนี้แล้วยังขาดเงินอีกเท่าไหร่เขาจะมาตามเอากับแอ้ม

สโรชา - ยังต้องใช้ส่วนต่างอยู่ดี

สนธิ - ใช้ส่วนต่าง ซึ่งต่างประเทศไม่มี

อุษณีย์ - ยึดตัวบ้านไป

สนธิ - ก็จบเลย

สโรชา - ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น

สนธิ - เขาถือว่าเป็นความเสี่ยงที่แบงก์ต้องรับ ถ้ามองข้อเท็จจริงแล้ว การซึ่งธนาคารใดธนาคารหนึ่งจะให้คนๆ หนึ่งกู้เงินออกไปเพื่อทำธุรกิจอะไรก็ตาม ธนาคารต้องยอมรับความเสี่ยง ถึงแม้จะพิจารณาดีแล้วก็ตาม สมมุติคนๆ นี้กู้ไปแล้วเกิดแผ่นดินไหว ธุรกิจพัง นั่งคือความเสี่ยงที่แบงก์ หรือกู้ไป คนๆ นี้ไม่มีปัญญาส่งต่อจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นั่นคือความเสี่ยงของแบงก์ต้องยอมรับในสถานภาพสัญญาตรงนี้ มีประเทศไทยประเทศเดียวที่ยังมีสัญญาเพิ่มเติมกระทืบประชาชนที่กู้เงินแบงก์ แล้วเมืองไทยเป็นประเทศเดียวที่มีอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์แฟลชเลท คือ รถราคาแสนบาท เขาคิดดอกเบี้ยแค่ 6% แต่เขาเอาแสนบาทตั้งผ่อนกี่ปี สมมุติผ่อน 12 เดือนเอา 12 หารเอาดอกเบี้ยคูณเข้าไป เท่ากับดอกเบี้ย 6% ต้องคูณ 2 คือดอกเบี้ย 12% เพราะไม่ลดต้น

อุษณีย์ - ต่างประเทศลดต้นลดดอก

สนธิ - ของเมืองไทยเอาต้นแล้วหารออกเท่าๆ กัน คิดจำนวนดอกเบี้ยทุกๆ เดือน

อุษณีย์ - ต่างประเทศยิ่งส่งเร็วเสียดอกเบี้ยน้อย

สนธิ - ถ้าส่งไม่ไหว ถ้ายึดรถก็คืนรถจบเหมือนกัน เมืองไทยไม่ได้ ขายซากรถแล้วเหลือเงินเท่าไหร่ ยังขาดเท่าไหร่ก็มาไล่กระทืบ สัญญาที่ไม่เป็นธรรม อันนี้คือข้อดีของต่างชาติ

เรากลับมาที่อเมริกานิดหนึ่ง พออเมริกามีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจไม่ฟื้น สมัยบารัก โอบามา ซึ่งเพิ่งเข้ามา อเมริกาทำอย่างไร นึกอะไรไม่ออกแล้วตอนนี้ หนี้ต่างชาติเริ่มเพิ่มขึ้น สงครามในอัฟกานิสถานต้องใช้เงินทุกวัน ต้องใช้เงินทุกวัน แล้วยังมีเรื่องของสวัสดิการ เรื่องสุขภาพ ต้องเริ่มใช้เงิน ภารกิจเนื่องจากคนว่างงานในอเมริกาตอนนี้ 10% ทำไมต้อง 10% เพราะเขาส่งออกงานไปต่างประเทศ คนงานอเมริกาที่เคยมีงานก็ตกงาน

อุษณีย์ - ไปจ้างอินเดีย จีน

สนธิ - พอตกงาน ภาษีสวัสดิการสังคมที่เอกชนต้องจ่ายให้รัฐบาลก็ไม่มีเงิน เงินสวัสดิการไม่เพิ่ม แต่ต้องจ่ายออกตลอดเวลา เงินเข้าน้อยมาก น้อยกว่าเก่า 10% เยอะนะ แล้วคนอเมริกาก็กลัวไม่ยอมจับจ่ายใช้สอย เมื่อไม่ยอมจับจ่ายใช้สอย

สโรชา - เงินที่อัดฉีดไปไม่มีผลเลย

สนธิ - เงินไม่ได้อัดฉีดไป ไม่ยอมจับจ่ายใช้สอยก็เลยทำให้อัตราการออมทรัพย์คนอเมริกันสูงขึ้น สมัยก่อนคนอเมริกันออมทรัพย์ 0% ของจีดีพี

สโรชา - ใช้หมดเลยหรอคะ

สนธิ - ครับ เดี๋ยวนี้ 3% ของจีดีพี ถือว่าเยอะ ทีนี้เงินที่เข้ามาหาแบงก์ตอนนี้ พอมาหาแบงก์ แบงก์ไม่ปล่อยกู้ แบงก์เก็บเพื่อป้องกันตัวเอง

สโรชา -ผิดวัตถุประสงค์

สนธิ - ธุรกิจที่ต้องรับการปล่อยกู้ก็ไม่ได้รับการปล่อยกู้ เริ่มล้มหายตายจาก แบงก์ก็เหลือเงินเยอะ พอแบงก์เหลือเงินเยอะ เบอร์นันกี ผู้ว่าการธนาคารแห่งอเมริกา ก็บอกว่า วิธีเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาดี คือการทุ่มเงินก้อนใหญ่ใส่สังคมอเมริกัน ตั้งงบประมาณไว้ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นโยบายเรียกว่า Quantitative Easing (QE) Quantitative Easing คือ เศรษฐกิจไม่ไหว ไม่ฟื้น เพราะฉะนั้นแบงก์ชาติพิมพ์แบงก์ขึ้นมาก้อนหนึ่ง 2 ล้านล้านเหรีญญ ใส่ไปในตลาด ใส่ไปที่แบงก์ แล้วแบงก์ทำอย่างไร

สโรชา -แบงก์ก็เก็บอีก

สนธิ - เก็บไม่ปล่อยกู้ ส่งเงินก้อนนี้ออกไปนอกประเทศ

สโรชา - คือเงินที่เหลืออยู่แล้วมาเจอ QE เข้าไปอีก

สนธิ - ก็ส่งเงินก้อนนี้ออกไปนอกประเทศ เพราะต้นทุนต่ำ ดอกเบี้ย 1% 1.5% เท่านั้นเอง ส่งออกอย่างไร ส่งออกโดยที่แบงก์ แล้วก็ลูกค้าแบงก์ที่ค้าขายต่างประเทศ เรื่องของการเล่นหุ้น อันนี้ไม่เกี่ยวกับการผลิตเลยนะ ประเภทที่เล่นสงครามคีย์บอร์ด พิมพ์โอนเงินเท่านี้เพื่อซื้อหุ้นตัวนี้ เพื่อซื้อเงินบาทเท่านี้ เงินถูกๆ ไหลออกไปหมด พอไหลออกมาที่เมืองไทยเกิดอะไรขึ้น พอไหลมาที่เมืองไทย สังเกตดีๆ อย่างหนึ่ง ไหลมาที่เมืองไทยสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เงินดอลลาร์เข้าประเทศไทยเยอะ นี่ยกประเทศไทยประเทศเดียวนะ ยังมีเกาหลี ยังมีบราซิล ยังมีอินเดีย ยังมีจีน

สโรชา - ญี่ปุ่น

สนธิ - ยังมีรัสเซีย ญี่ปุ่นไม่มี พวกประเทศบริก (BRIC) Brazil Russia India China

อุษณีย์ - เศรษฐกิจเกิดใหม่

สนธิ - พวกเขาเรียกว่าเศรษฐกิจกำลัง Emerging Market เศรษฐกิจที่กำลังเจริญเติบโต ทุ่มไปที่นั่นเลย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่าเงินดอลลาร์เข้าในประเทศนั้น ก็เลยทำให้เงินสกุลของท้องถิ่นแข็งขึ้น เหมือนจู่ๆ เงินดอลลาร์เข้ามาประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ประมาณสักแสนกว่าล้านบาท เข้ามาในเมืองไทยปั๊บ มันก็ต้องแลกเป็นเงินบาท ใช่ไหม พอแลกเป็นเงินบาท เงินบาทต้องแข็งขึ้นสิ ถูก/ไม่ถูก เพราะว่าเงินมันเข้ามาเยอะ เราแลกเป็นเงินบาท เงินบาทแข็งขึ้น พอเงินบาทแข็งขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำอย่างไร มันก็เอาเงินก้อนนี้ที่มันแลกเป็นบาท มาซื้อหุ้นในเมืองไทย

สโรชา - หุ้นตลาดหุ้นเราที่ขึ้นกันโครมคราวนี่เหรอคะ

สนธิ - นั่นล่ะ เดี๋ยวฟังก่อน มันมาซื้อหุ้นในเมืองไทย เพราะว่ามันรู้อยู่แล้วว่าเมื่อเงินเข้ามาเยอะขนาดนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือตลาดหุ้นดัชนีจะต้องขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่ได้ซื้อแค่ครั้งเดียว มันซื้อทุกวันไง ไอ้พวกนี้มันได้เงินมาก็ซื้อๆ ตลาดหุ้นก็เลยหมุนขึ้นไปๆๆๆ จาก 600 กว่าจุด ต้นปี มาเป็น 900 จุดตอนนี้ ในระยะเวลา 10 เดือน เพิ่มกว่า 300 กว่าจุด ผมถามซิว่าถ้าแอ้มซื้อหุ้นอะไรก็ตามที่เป็นหุ้น Blue Chip ถ้าแอ้มซื้อหุ้นอะไรก็ตามที่เป็นหุ้นบลูชิพ ซื้อเมื่อต้นปี วันนี้ต้องกำไรอย่างน้อย 20-30 เปอร์เซ็นต์

สโรชา - ใช่ค่ะ

สนธิ - โอเค แล้วตอนที่มันเข้าต้นปี เงินบาทอยู่ที่ 32.50 บาท มาวันนี้เงินบาทอยู่ที่ 29 บาท มันกำไร 3.50 บาท เมื่อมันซื้อหุ้นมันกำไรหุ้นแล้ว มันก็ขายหุ้นทิ้ง มันขายหุ้นทิ้งมันก็เอาเงินบาทที่มันได้ไปซื้อดอลลาร์ ซึ่งวันนี้เพียงแค่ 29.30 บาท แล้วมันก็ส่งดอลลาร์กลับไปจำนวนมากกว่าเก่า เท่ากับมันกำไร 2 เด้ง

สโรชา - ก็คือตลาดหุ้น

สนธิ - ตลาดหุ้น แล้วก็อัตราค่าแลกเปลี่ยน

สโรชา - คือมาปั่นตลาดหุ้นเราไม่พอ อีกไม่นาน ขายทิ้ง

สนธิ - มันก็ขายทิ้ง

สโรชา - แล้วก็แลกเงินกลับ

สนธิ - มันขายทิ้งแล้วก็แลกเงินในอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งขึ้น แล้วมันได้ดอลลาร์มากกว่าเก่า มันเคยส่งเข้ามา 100 เหรียญ มันขายกลับไป มันได้ 120 เหรียญ

สโรชา - สิ่งที่คุณสนธิพูดนี่มันไม่ได้เป็นกลไกตลาดปกติ

สนธิ - ไม่ใช่ อันนี้ไม่ใช่กลไกตลาดปกติ มันเป็นการเจตนาที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลอเมริกัน ที่มันพิมพ์เงินขึ้นมาเพิ่ม แล้วส่งออก ทีนี้มันจะขายใครล่ะ วิธีขายของมัน มันก็มาหลอกขายแมงเม่าของเมืองไทย ตอนนี้เมืองไทยแมงเม่าบินกันว่อนเลย ที่พูดกันบอกตลาดหุ้นดี ภูมิใจเหลือเกินจะต้องถึงพันจุด นี่โง่ทั้งนั้น จะต้องถูกกระทืบในที่สุดภายในปีหน้านู้นต้องกระทืบหนักเลย เพราะว่าตอนนี้มันเริ่มปั่น
พอมันเห็นแมงเม่าเริ่มเข้าก็เริ่มปล่อยแล้วซิ

สโรชา - คือจริงๆแล้วนักลงทุนไทยต้องยอมรับไหมคะ ว่าพอเห็นตลาดคึกคัก

สนธิ - ตาลุก มีทั้งไอ้โง่ และอีโง่เต็มไปหมดเลย

สโรชา - ขอสักหน่อยเหอะ

สนธิ - เศรษฐกิจ อุ้ยน่าเล่น พอเล่นได้ก็เล่นต่อ ไอ้พวกแมงเม่าเป็นแสนๆคนก็คือตัวที่รองรับ รองรับความฉลาดเจ้าเล่ห์ของคนอเมริกัน และพวกนี้มันเล่นทีมันเล่นเยอะ ตั้งแต่มกราคมจนถึงปัจจุบันนี้ ตลาดซื้อสุทธิ 60,000 กว่าล้านเป็นของต่างชาติหมด มันไม่ขาย ซื้อๆ แปลว่าเมื่อหักลบซื้อขายแล้วมันยังมีซื้ออีก 60,000 ล้าน ถามว่าอีก 60,000 กว่าล้าน ไมได้เก็บเอาไว้นะ มันรอให้แมงเม่าเข้ามา แล้วมันจะเพิ่ม 60,000 ล้าน เป็น 70,000 - 90,000 จนถึงสิ้นปีอาจจะถึงแสนล้าน แสนล้านตรงนั้นตลาดหุ้นตอนนั้น 1,200 แล้วทุกคนก็โอ้ยหุ้นขึ้นแน่นอน ตอนนั้นมันจะเทแล้ว คราวนี้ก็เจ็บตัวกันเป็นแถว ร้องกันระงม แล้วผมก็ไม่รู้ว่าวันนั้นคุณกรณ์ จะทำหน้าอย่างไร

เพราะคุณกรณ์ภูมิใจมากกับการที่ตลาดหุ้นขึ้นสูงเหลือเกินแต่หารู้ไม่ว่านี่ คือยาพิษเคลือบน้ำผึ้ง วิธีการอันนี้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Debt Exporting คือการส่งออกหนี้ออกมา

สโรชา - ต่างอย่างไรกับ Carry Trade คะ

สนธิ - Carry Trade หมายความว่า เมื่อเงินมันถูก มันส่งออกเงินออกไป ก็พิจารณาว่าเงินคือสินค้าประเภทหนึ่ง เอาออกไปเล่นเอาออกไปขาย

สโรชา - คือเงินดอลลาร์กลายเป็นคอมมิวนิตี้ไปแล้ว

สนธิ - เขาถึงเรียกว่า Carry Trade มันเริ่มจาก QE (quantitative easing ) คือการทุ่มเงินจ่ายตลาด

จริงๆแล้วหลักการทุ่มเงินใส่ตลาดมันไม่ใช่หลักการใหม่ หลายประเทศเคยทำ เวลาเศรษฐกิจมันฝืด เราก็พิมพ์แบงก์ใหม่ใส่เข้าไปเพื่อให้เงินสดมันอยู่ในตลาดมากกว่าเก่า สมัยที่เงินมันตึงเราก็ทุ่มเข้าไปเลย สมมติเรามี Money supply ในตลาดประมาณ 80 แสนล้านบาท เราเห็นว่าเศรษฐกิจมันตึง แบงก์ไม่ปล่อยกู้ ทุกอย่างมันตึงไปหมด แบงก์ชาติตัดสินใจปล่อยเงินใส่แบงก์พาณิชย์เข้าไปอีกประมาณเท่าตัวเลย พอเท่าตัวแบงก์แบกไม่ไหวก็ต้องเริ่มตัดสินใจ อ้าวคุณกู้ไป แอ้มอยากจะเปิดร้านขายเต้าฮวยก็กู้ เก๋อยากเปิดร้านขายปาท่องโก๋ก็กู้ไป มันก็หวังว่าเมื่อกู้เสร็จเรียบร้อยแล้วธุรกิจมันดี ก็จะมีกำไรคืนมา ภาษีก็จะกลับคืนมา มันจะทำให้เงินที่ทุ่มไปหายไปเลยไม่มีความหมายแต่ค่าเงินลดลง แน่นอนที่สุดเพราะเงินเพิ่มขึ้นจากปริมาณอย่างมาก

แต่ทีนี้พอมันเปิดประเทศ มันไม่ได้ปิดประเทศ เมื่อเปิดประเทศแล้วการทุ่มเงินแบบนี้ถ้าเป็นประเทศไทยทุ่มไปมันไม่ได้ผล เหมือนอเมริกาทุ่มเพราะมันทุ่มที 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เอา 2 คูณ 30 คือ 60 ล้านล้านบาท แล้วมันทุ่มไป 5 ประเทศ ทุ่มไปบราซิล เกาหลี รัสเซีย จีน อินเดีย และมาที่ไทย เกาหลีเงินวอนถึงแข็งค่ามหาศาลเลย เงินบาทก็แข็งค่ามหาศาลเพราะมันจะเลือกประเทศที่เล่นตามเกมมัน มันจะเลือกประเทศที่มันชมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่าเป็นรัฐมนตรีการ คลังที่เก่ง แล้วเราก็ไปบ้ายอตามมัน มันก็เลยรู้ว่าไอ้นี่ต้องเล่นตามกติกาใช่ไหม

ฉะนั้นแล้วผมทำนายไว้เลยว่า พวกมันจะต้องเทขายหุ้นในระยะเวลาเมื่อถึงพันจุด มันจะเริ่มเทขายเมื่อคนเข้ามาเล่นมากขึ้น แล้วมันก็จะเลิกเอ็กซ์ปอร์ตกลับไป เงินบาทก็จะต้องกลับไปสู่ใกล้เคียงปกติ ก็คือเริ่มขึ้นเป็น 30 แต่ปัญหาขณะนี้มันคือแบบนี้ เงินที่มามันไม่ใช่เงินที่มาแล้วมาลงทุน มันเป็นเงินที่มาเพื่อเก็งกำไรเพื่อปั่น เงินมาเพื่อเล่นการพนัน

อุษณีย์ - เงินร้อน

สนธิ - ผมเรียกว่าเงินเล่นการพนันเขาเรียกว่า Casino Economy เศรษฐกิจแบบบ่อนการพนัน จริงๆ วันนี้ผมไม่เคยมองตลาดหุ้น ตลาดหลักทรัพย์เมืองไทยเป็นตลาดการลงทุนเลยแม้แต่นิดเดียว มันคือตลาดการพนัน ไม่ว่าวาณิชธนกิจคนไหน หรือคุณกรณ์จะยืนยันกับผมว่า นี่คือตลาดทุน ไม่ใช่ตลาดทุนเลย มันคือตลาดเล่นการพนันเท่านั้นเอง พิสูจน์ได้ชัด ด้วยเหตุนี้ ผมถึงบอกว่า ในขณะนี้มันเป็น Debt Exporting เหมือนกับว่าส่งออกหนี้ออกมา แล้วมาสูบความมั่งคั่งกลับไป

นี่คือการยึดทรัพย์สินประเทศ ยึดความมั่งคั่งประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือหลายประเทศพร้อมกันโดยที่ไม่ต้องยกกองทัพมา โดยที่ไม่ต้องลั่นกระสุนเลยแม้แต่นัดเดียว นั่งอยู่ที่นิวยอร์กพิมพ์คอมพิวเตอร์ขอโอนเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯเข้าเมืองไทยเพื่อมาซื้อหุ้นในอัตราแลกเปลี่ยนเท่านี้ๆ แบงก์ชาติก็มีหน้าที่รับมาแทนที่แบงก์ชาติจะสกรีนเงินก้อนนี้เป็นเงินร้อน คุณจะเอาเข้ามาทำอะไร จริงๆแล้วหน้าที่แบงก์ชาติ ไม่ใช่หน้าที่ปล่อยใจ หรือปล่อยว่าให้เป็นไปตามกลไกตลาด

สโรชา - ไม่ควรจะให้ยถากรรมทำงานแทน

สนธิ - ต้องเอาแบบจีน จีนเห็นเกมนี้จีนบอกว่า เงินจะเข้าๆได้แต่ไม่ให้ออก

สโรชา - เดี๋ยวแอ้มขออนุญาตพักสักครู่ได้ไหมคะ แล้วเดี๋ยวเรากลับมาจะคุยถึงเรื่องกลไกแบงก์ชาติ วิธีการแก้ ทั้งหมดที่คุยมาหมดจริงๆแล้วมีทางแก้มีข้อเสนอ และอีกกลไกที่สำคัญคือธนาคารพาณิชย์ เรายังไม่ได้คุย คุณสนธิพูดก่อนที่จะเข้ารายการว่า สิ่งที่เราประสบอยู่ ณ เวลานี้คือสงครามโลกครั้งที่ 3

สนธิ - จริงๆ ครับโดยไม่ได้ลั่นกระสุนเลย คือการยึดทรัพย์ ความมั่งคั่งของประเทศ กลับสู่ประเทศของเขา โดยไม่ต้องบุก ยกทัพ ยิงปืนแม้แต่นัดเดียว กดคอมพิวเตอร์ที่คีย์บอร์ดอย่างเดียว

สโรชา -ค่ะ เดี๋ยวเราพักกันครู่ เดี๋ยวกับมาคุยกันต่อคะ

ช่วงที่ 2

สโรชา - กลับเข้าสู่เมืองไทยรายสัปดาห์นะคะ เราทิ้งท้ายกันเมื่อสักครู่นี้ เรื่องบทบาทของธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ในปรากฏการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าที่เกิด ขึ้น จริงๆ แล้วที่เราคุยกันเมื่อสักครู่นี้ คุณสนธิวาดภาพให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯ ส่งออกเงินดอลลาร์ เพื่อที่จะเก็งกำไรกลับไป ในที่สุดแล้วเศรษฐกิจภายในของเขาน่าจะแข็งแกร่งมากขึ้น

สนธิ - ก็คือความมั่นคงของเขา ความมั่งคั่งของเราถูกเขาดูดเอาไป แล้วก็โยนกลับไปที่ประเทศเขาเหมือนเดิม เมื่อโยนกลับไปที่ประเทศเขาเหมือนเดิมก็ทำให้ธนาคารของเขามีกำไรมากขึ้น สถานภาพธนาคารของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อแข็งแกร่งมากขึ้นแล้วเขาก็สามารถที่จะขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยที่ปล่อย กู้ออกมาได้ ถูกไหมล่ะครับ แล้วเขาก็สามารถจะเอาเงินก้อนนี้ไปคืนเงินที่ธนาคารกลางปล่อยออกมาได้ ก็คือว่าดีกับเขา แต่คนซึ่งจะต้องเสียเงินไปโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เสียค่าโง่ก็คือประเทศต่างๆ อย่างเช่นคนไทย ที่ไปเล่นหุ้น หรือว่าประเทศไทยโดยส่วนรวมซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นตัวแทน ที่จะต้องหาทางป้องกัน อีกเจ้าหนึ่งซึ่งจะกำไรก็คือธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย เพราะว่าถ้าแอ้มกับเก๋ดูให้ดีๆ ผมกล้าพูดเดี๋ยวนี้เลยว่าธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ที่เป็นของคนไทยจริงๆ หรือรัฐบาลไทยจริงๆ ของประเทศไทยจริงๆ นั้นมีแค่ธนาคารกรุงไทย ออมสิน ธ.ก.ส. นอกนั้นของต่างชาติหมด

สโรชา - แค่ 3 ที่เองเหรอคะ

สนธิ - แค่ 3 ที่ CIMB นี่เป็นของมาเลเซีย ธนาคารทหารไทย (TMB) เป็นของ ING เนเธอร์แลนด์ ไทยพาณิชย์ กรุงเทพ แล้วก็กสิกรไทย ของสิงคโปร์ เพราะฉะนั้นแล้วพวกนี้ ผู้ถือหุ้น ผู้บริหารใหญ่ของเขา บอร์ดที่สำคัญของเขา คือพวกทำงานธนาคารนี่มันมีข้อเสียอย่างหนึ่งนะ ก็คือว่า เวลาเขาทำ เขาไม่คิดถึงประเทศที่เขาอยู่ แม้กระทั่งจะเป็นคนไทยก็ตาม เขาคิดถึงกำไรที่เข้ามาสู่ธนาคาร

สโรชา - เม็ดเงินอย่างเดียว

สนธิ - เม็ดเงินอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้ธนาคารถึงต้องหาทางกำไรทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเขาเป็นขั้วบวกของอีกขั้วหนึ่ง ขั้วลบ ของไฟฟ้า เขาพร้อมจะเป็นให้ เพื่อให้เขาร่วมกำไรด้วยกัน เพราะฉะนั้นแล้วเผลอ ๆ ธนาคารพาณิชย์ การค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์ก็เล่นด้วย

อุษณีย์ - สมรู้ร่วมคิดกับอเมริกา

สนธิ - สมรู้ร่วมคิด เหมือนกับที่จีน จีนนี่อเมริกาเขามีนโยบายที่ลึกซึ้ง เขาใช้สภาคองเกรสมาบีบจีน เพื่อประกาศว่าประเทศจีนเป็นประเทศซึ่งบิดเบี้ยวในเรื่องฐานะการเงิน แล้วเขาพยายามจี้ตลอดเวลา จีนต้องเพิ่มค่าเงินอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ก็คือทำให้หยวนแข็งอีก 20 เปอร์เซ็นต์ เงินไอ้กันก็ไหลเข้าไปสู่จีนเต็มเลย ไปเก็งค่าเงินหยวน เพราะเขาคิดว่า ถ้าเขาทำสำเร็จเขากำไร 20 เปอร์เซ็นต์ ทันที ในระยะเวลาสั้นๆ เพราะว่าการค้าเงิน หรือการที่เล่นประเภทนี้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าพวก arbitrage

Arbitrage ก็คือว่า ผมนี่เป็นคนซึ่งเล่นค่าเงิน ผมก็ไปหาแอ้ม ซึ่งเป็นธนาคาร ผมบอกว่าผมขอ Arbitrage เงินบาท โดยที่ผมลงทุน ผมขอวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สมมุติว่าเครดิตผมโอเค แบงก์ไม่ขัดข้อง แต่ผมลงเงินสดผมจริงๆ แค่ล้านเดียว

สโรชา - อ๋อ ที่เหลือเป็นเครดิต

สนธิ - ที่เหลือคือเอาเงินแบงก์ที่มันได้มาราคาถูก 99 ล้านเหรียญ ส่งไปที่เมืองไทย เพื่อไปเล่น พอเล่นจบเรียบร้อย ผมขายทิ้งแล้วกลับมา ผมก็จะได้กำไร อย่างเมืองไทยผมส่งเข้ามาตอนต้นปี ส่งกลับคืนภายใน 10 เดือน ผมกำไร 11 เปอร์เซ็นต์

สโรชา - สบายๆ

สนธิ - หลายประเทศ บราซิลนี่เจ็บตัวที่สุด เงินบราซิลใน 4 เดือนแข็งขึ้นไป 27 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นคนซึ่งส่งเงินไปบราซิลแล้วก็ส่งกลับมา กำไรใน 4 เดือน 27 เปอร์เซ็นต์ เงินเกาหลี 17 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัด จะเห็นได้ชัดเลยนะ จะเห็นได้ชัดเจนอย่างไม่ต้องปฏิเสธเลยว่า ธนาคารไม่ว่าชาติใด สัญชาติใด แม้กระทั่งธนาคารในประเทศไทย มีส่วนสมรู้ร่วมคิดที่น่าเป็นห่วงก็คือว่า วันนี้เราต้องมากำหนดทิศทางเดินของเราให้ชัดเจน

สโรชา - แบงก์ชาติควรจะทำอย่างไร

สนธิ - ผมว่าแบงก์ชาติควรที่จะต้องเริ่ม ผมใช้ภาษาอังกฤษว่า Capital Control คืออเมริกา แล้วก็โลกตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา ยุโรป และอังกฤษ มันกลัวมากคำว่า Capital Control คือการควบคุมการเข้าของเงินทอง เพราะว่าถ้า Capital Control เมื่อไร การที่มันจะส่งเงินมาปู้ยี่ปู้ยำเศรษฐกิจในประเทศใดประเทศหนึ่งมันทำยาก เหมือนอย่างเวลาคุณแอ้มอยู่ที่นิวยอร์ก แอ้มโอนเงินเข้ามาเมืองไทยเพื่อมาเล่นค่าเงิน หรือเล่นหุ้นนะ ถ้าผมเป็นแบงก์ชาติ ผมมี Capital Control มันต้องส่งมาพักที่แบงก์ชาติก่อนไง เพื่อแบงก์ชาติจะได้ส่งต่อ เมื่อคุณจะส่งไปที่แบงก์กรุงเทพ คุณต้องส่งมาแบงก์ชาติ แบงก์ชาติค่อยส่งไปแบงก์กรุงเทพ แบงก์ชาติไม่ให้เข้า แบงก์ชาติบอกคุณเข้ามาร้อยล้านเหรียญ เอามาทำอะไร

อุษณีย์ - มาเล่นหุ้นหรือเปล่า

สนธิ - มาเล่นหุ้นหรือเปล่า หรือมาทำอะไร ถ้าคุณไม่ได้มาลงทุนในการผลิตที่ก่อให้เกิดผลผลิตได้ ผมไม่ให้เข้า ผมไม่รับเงินก้อนนี้ คือมันต้องปิดประตูตั้งแต่แรก

สโรชา - ควรจะเป็นอย่างนั้น

สนธิ - ควรจะเป็นอย่างนั้น หรือว่าถ้าเข้ามาจะเล่นหุ้น บอกได้ เข้ามาเล่นได้ แต่คุณต้องเล่นกระดานต่างประเทศนะ เล่นเป็นดอลลาร์เลย ห้ามเล่นเป็นเงินบาทไทย

สโรชา - ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยน

สนธิ - ไม่ต้องมีแลกเปลี่ยน กำไรเป็นดอลลาร์ คุณเอาดอลลาร์คืนไป เห็นไหม เราต้องรู้ทันเขา และเราต้องกล้า เราอย่าไปอาย

สโรชา - แต่ว่าคนในตลาดหลักทรัพย์ตอนนี้ หรือแม้กระทั่งคนในแบงก์ชาติตอนนี้ บอกเราเข้มแข็ง เศรษฐกิจเราเข้มแข็ง เขาเห็นศักยภาพเรา เขาถึงได้อยากจะมาลงทุนกับเรา ทำไมเราถึงไม่ยอมให้เขามาลงทุน

สนธิ - คือ เขาเรียกว่าเข้มแข็งขี้วัว เข้าใจหรือเปล่า

สโรชา - อธิบายค่ะ

สนธิ - ก็คือเข้มแข็ง Bull shit เข้มแข็งขี้วัวไงล่ะ

สโรชา - เราก็ว่า

สนธิ - ก็คืออย่างนี้ คือผมนี่อยากจะถามพวกบรรดา พวกที่ภูมิใจกับจีดีพีเหลือเกิน ผมบอกว่าจีดีพีที่คุณคุยนักคุยหนาว่า 7 เปอร์เซ็นต์ ผมถามคุณคำหนึ่ง ถ้าผมบอกว่าร่วม 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นจีดีพีที่เกิดจากต่างประเทศ แล้วต่างประเทศเอาผลประโยชน์จีดีพีนั้นกลับไปบ้านของเขา คุณยอมรับไหม ถ้าคุณไม่ยอมรับ คุณไปดูบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ เทสโก้โลตัสมันปันผล เงินปันผลมันอยู่ที่ไหน กลับไปอังกฤษ ชินคอร์ป ปันผลกลับไปสิงคโปร์ คุณเอ่ยมาสิ กี่เจ้า โตโยต้า รถโตโยต้าขายมานี่ ที่เราได้ เราได้อะไร โตโยต้าส่งออกมหาศาลเลย แต่เงินจริงๆ อยู่ที่ญี่ปุ่น ไม่ได้อยู่เมืองไทย เมืองไทยมีเฉพาะค่าแรงคนงาน แล้วมีกำไรให้ดูไม่น่าเกลียด แต่ว่าเป็นแค่กระผีกริ้นเท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับยอดขายของเขา เพราะฉะนั้นแล้วต่างชาติผ่องเงินที่มาลงทุนในเมืองไทยกลับประเทศเขาหมดเลย เพราะฉะนั้นแล้วของเมืองไทยจริงๆ มีแค่ 3.5 เปอร์เซ็นต์

สโรชา - ที่เหลือต้องส่งกลับไป

สนธิ - หรือ 4 เปอร์เซ็นต์ ใน 7 เปอร์เซ็นต์ แล้ว 4 เปอร์เซ็นต์นี่เป็นของ ปตท.กี่เปอร์เซ็นต์ เป็นของซีพีกี่เปอร์เซ็นต์ เป็นของเบียร์ช้าง คุณเจริญ กี่เปอร์เซ็นต์ เป็นของบริษัทใหญ่ๆ อย่างเช่นสี TOA กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วมันตกถึงคนไทยจริงๆ กี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าตกถึงคนไทยได้ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ก็เก่งตายห่า ขอโทษนะพูดหยาบ เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นแล้วมันโกหกหมด คนไทยนี่ นี่ไง ASTV กล้าพูด โกหกหมด ทุกอย่าง ผมถึงบอกจีดีพีที่มาโม้กันทุกวันนี้ ของปลอม ไม่ใช่จีดีพีจริง ทำไมจีดีพีบอกว่ามันดีขึ้น แล้วทำไมผมไม่เห็นคนไทยรวยขึ้นเลย

สโรชา - ใช่ค่ะ

สนธิ - ไปดูเลย ไปดูได้เลย ไม่มี ไม่ได้ดีขึ้นเลย หนี้ก็มากกว่าเก่า เข้าใจหรือยัง ธุรกิจก็ยังล้มอยู่เหมือนเดิม แล้วแบงก์นี่ก็น่าเกลียด แบงก์ของประเทศจีนเพิ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก ผมดูตัวเลขในหนังสือพิมพ์ ในเว็บไซต์ของไชน่าเดลีแล้ว อัตราเงินฝาก เงินกู้ ส่วนต่าง 3 เปอร์เซ็นต์ เอ๊ะ ทำไมเขาอยู่ได้ 3 เปอร์เซ็นต์ แบงก์เมืองไทยนี่ space ประมาณ 7-8 เปอร์เซ็นต์ แล้วพอโวยวายขึ้นมาหน่อยก็บอกว่า แบงก์เมืองไทยอยู่ไม่ได้หรอก ต้นทุนเรา 3-4 เปอร์เซ็นต์ ทำไมคนอื่นเขาอยู่ได้ล่ะ ถ้าคุณอยู่ไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้นี่ ขนาดแค่ให้ลดค่าธรรมเนียมเอง

สโรชา - ไม่ยอม

สนธิ - ยังดิ้นรน ในที่สุดก็ต้องจำใจที่จะทำ แล้วแบงก์กรุงไทยก็ทะลึ่ง บอร์ดแบงก์กรุงไทยนี่ตัวดี นายอภิศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ เสนอแบงก์กรุงไทย บอกว่าลดค่าธรรมเนียมเราลดตามไม่ได้ เดี๋ยวแบงก์ขาดทุน เขาลืมไปว่ารัฐบาลไทยนี่ถือหุ้นใหญ่อยู่ในแบงก์กรุงไทย วันไหนรัฐบาลไทยเขาไม่แบ็คคุณ แล้วคุณจะเป็นแบงก์กรุงไทยได้อย่างไร ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง นายอภิศักดิ์นี่ เด็กของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เห็นหรือยัง ผลงานไม่มีบ้าบอคอแตกอะไรเลย

สโรชา - ด้วยความเคารพค่ะคุณสนธิ สิ่งที่คุณสนธิพูดมาทั้งหมดนี้ มันสวนทางกับนักวิเคราะห์การเงินการคลัง บรรดาเอ๊กซะเปิดทั้งหลายแหล่ น้องเก๋เล่าให้ฟังก่อนเข้ารายการ บอกว่าแบงก์ชาติเขาโม้ไม่ใช่เหรอว่าเขาเงินทุนสำรองเยอะมาก

อุษณีย์ - เขาบอกว่าตอนนี้หุ้นก็ดี จะแตะพันจุดอยู่แล้ว ทุนสำรองระหว่างประเทศเรามีมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เลย

สนธิ - หุ้นก็ดี แตะพันจุด เขาได้วิเคราะห์บ้างหรือเปล่า ถ้าเขาวิเคราะห์แล้วเขาจะเห็นว่าการซื้อสุทธิ 6 หมื่นล้านนี่ ของต่างชาติ แล้วต่างชาติซื้อสุทธิจากเงินอะไร เงินดอลลาร์ที่โอนเข้ามา เขาอย่าไปมอง Real time สิ เขาต้องมองภาพรวมทั้งหมด แล้วเขาจะรู้ว่าไอ้หุ้นที่ดีน่ะ มันก็คือยาพิษเคลือบน้ำตาล เมื่อใดก็ตามที่น้ำตาลมันหมด เราคนไทยต้องกินยาพิษทันที ใช่ไหม นั่นก็คือหุ้น เงินทุนสำรองคุณมีอยู่สูงที่สุด แต่สูงที่สุดถ้าคุณตัดจริงๆ เงินทุนสำรองที่ไม่มีภาระผูกพันอะไรมันมีแค่ 8 หมื่นล้านเอง 8 หมื่นล้านเอง มันไม่ได้มากมายอะไรนักหนาเลย แล้วคุณสนุกนักเหรอกับการที่ทำให้ในที่สุดค่าเงินบาทขึ้นเป็น 29 บาท หรือ 28 บาท หรือในที่สุดมาถึง 27 บาท คุณคิดว่าคุณมีความสุขเหรอ คนไทยนี่ จีดีพีเพิ่มอีก 10 เปอร์เซ็นต์ มันก็ไม่ได้รวยขึ้น เงินบาทแข็งขึ้นอีกเป็น 26-27 บาท คนไทยมันก็ไม่ได้รวยขึ้น มันก็เหมือนเดิม เข้าใจไหม แต่ว่าสิ่งที่จะพังพินาศฉิบหายลงไป ก็คือว่าคนซึ่งต้องค้าขายกับต่างประเทศ

เมืองไทยต้องปรับโครงสร้างหมดทุกอย่าง เหมือนเมืองจีน เงินเข้าก็เข้าไป แต่ในช่วงนี้ฉันไม่ให้ออก จะออกฉันไม่ให้เอาออก เพราะฉะนั้นฝรั่งก็เริ่มชะลอสิ เฮ้ย มันไม่เอาออก

สโรชา - กลับไม่ได้

สนธิ - กลับไม่ได้ ตายล่ะ แล้วจะทำยังไงล่ะ แล้ววันนี้กะไปเก็งค่าเงินหยวน ถ้าเงินหยวนอีกหน่อยมันเกิดอ่อนลงกว่าเก่าล่ะ แล้วเขาเกิดไม่ให้เอาออก ก็ขาดทุนตายสิ เข้าใจไหม ก็คืออยากเอาเงินเข้า เข้า แต่ไม่ให้เอาออก เพราะฉะนั้นแล้วอย่าไปเล่นตามกติกาของฝรั่ง เพราะฝรั่งมันจะเล่นตามกติกาเมื่อมันได้ประโยชน์ เมื่อมันไม่ได้ประโยชน์ เหมือนกติกาที่มันตั้งในกรณี 2540 ที่มันมาปล้นเรา มันได้ประโยชน์มันถึงเอากติกานี้ แต่พอมาปี 2543 มันเจ็บตัวมันเอง มันก็ล้มกติกาที่มันเคยเอามาใช้กับเรา เอามาหนุนของตัวพวกมันเอง แล้วแอ้มรู้ไหมคำว่า QE : Quantitative Easing คือการทุ่มเงินออกมาในตลาดของประเทศของตัวเอง ตอนนี้อเมริกาทำแล้วนะ ยุโรปกำลังเริ่มที่จะทำแล้ว

สโรชา - เราก็แย่

สนธิ - เราก็แย่สิ ก็แย่กันไปหมดเลยคราวนี้ เงินมันจะไปตลาดไหน มันก็ต้องมาตลาด Emerging Market ตลาดเพิ่งเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นจีน ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นไทย

อุษณีย์ - นี่เขาบอกว่าก้อนที่สอง 5 แสนล้านดอลลาร์ กำลังจะทยอยมา หลังจากก้อนหนึ่งไปแล้วนะคะ

สนธิ - แน่นอน

สโรชา - เราจะมีแนวคิดได้ไหมว่าเราจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการค้าระหว่างประเทศภายในภูมิภาคเอเชีย

สนธิ - ผมมองว่าในขณะนี้จีนเขาเริ่มแล้ว จีนเขามองว่า คือเงินดอลลาร์ไม่มีค่า เมื่อไม่มีค่าแล้ว จีนเขาถือเงินดอลลาร์ไว้ตั้ง 8 แสนล้านกว่าดอลลาร์ เขาต้องหาทางเอาเงินดอลลาร์ไปซื้อทรัพย์สิน จีนถึงไปซื้อเหมืองทองแดง จีนกำลังเจรจาซื้อเหมืองโพแทสจากแคนาดา แล้วรัฐบาลอเมริกาก็ไปยุแคนาดาไม่ให้ขาย จีนพยายามจะซื้อบริษัทน้ำมันโคโนโก ที่อเมริกาแล้วอเมริกาไม่ขาย เพราะฉะนั้นจีนตอนนี้มีทรัพย์สินต่างประเทศที่ไหน เขาก็จะไปซื้อ เพื่อแปลงเงินดอลลาร์ไปเป็นทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่มีทรัพยากรธรรมชาติ

อุษณีย์ - ที่ไปลงทุนตามทวีปต่างๆ

สนธิ - คือในขณะนี้เราต้องมองอย่างนี้ เราต้องมองว่าประเทศเราเป็นประเทศเล็ก ผมพูดมาตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยชอบลืมตัว ชอบมองว่าตัวเองใหญ่ ตัวเองเก่ง ตัวเองมีเงินทุนสำรอง ปัดโธ่เอ๊ย บ้า 170,000 ล้าน หักสุทธิจริงๆ ที่ไม่เป็นภาระแค่ 8 หมื่นล้านเอง กระจอก ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

สโรชา - นี่เงินทุนสำรองนะคะ ไม่ใช่เงินคงคลัง

สนธิ - ถูกต้อง เงินทุนสำรอง เล็กมาก เมืองไทยนี่ เล็กจริงๆ เศรษฐกิจเมืองไทยก็เล็ก เพราะฉะนั้นแล้ว เราเป็นคนเล็ก ทำไมเราจะต้องยืนให้มันตบหัว เขกกบาล ทำไมเราไม่วิ่งไปหลบซ่อนในบ้านล่ะ ทำไม่ให้มันเห็น พอมันเคาะประตูบ้านเราไม่ให้มันเข้า พอมันไปแล้วเราค่อยเปิดประตูออกไปเดินเล่น ทำไมจะทำไม่ได้ มันมีอะไรน่าอายที่ไหน 2540 ตอนที่มันทะลุทลวงค่าเงินทั้งหมด เงินไทย ประเทศไทยประเทศเดียวที่ยะโสโอหัง อวดดี ว่าเล่นตามกติกาตะวันตก ก็เลยเจ๊งกะบ๊งไปเลย มหาเธร์ มาเลเซีย ไม่ยอมเล่นตาม มหาเธร์บอกว่า เฮ้ย ให้เวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง 48 ชั่วโมง หรือ 3-4 วันไม่รู้ ให้เอาเงินริงกิตที่อยู่นอกประเทศมาแลกคืนเป็นเงินดอลลาร์หมด เท่ากับว่าผิดประเทศไม่ให้เงินริงกิตลอยตัวในต่างประเทศ ใครต้องการเงินริงกิตให้ส่งดอลลาร์เข้ามา หรือส่งปอนด์เข้ามาที่มาเลเซียแลกเป็นริงกิตออกมา และเอาริงกิตไปลงทุน มันก็เลยโจมตีค่าเงินมาเลเซียไม่ได้ ปรากฏว่ารอดตัว ณ เวลานั้นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับวอลล์สตรีทเจอนัลทุกอย่าง รวมทั้งเดอะ เนชั่น ของคุณสุทธิชัย หยุ่น ก็ด่ามาเลเซีย มีผมคนเดียวตอนนั้นทำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอยู่ที่เขียนว่าเห็นด้วยกับ มาเลเซีย ตอนนั้นผมก็เลยด่าว่าโง่ จบประวัติศาสตร์มา ไม่รู้เรื่องการเงินมาทะลึ่งออกความเห็น

ผมก็นึกในใจ มาวันนี้บอกว่า เอ้ะ ผมก็ไม่ได้เรียนทางด้านคอมมานิตี้เรื่องทองคำแต่ทำไมผมรู้ว่ามันจะขึ้นหนัก หนา 4,000 บาท สมัยที่ออกกับแอ้มมาจนวันนี้ 19,000 แล้วผมไม่ได้ทำงานเรื่องพลังงาน ทำไมผมถึงพูดตอนนั้นว่า น้ำมันจะขึ้นถึง 50 -60 เหรียญ ซึ่งยังต่ำไป และนายวิเศษ จูภิบาล ก็ออกมาสวนผม บอกว่าไม่มีทาง นำมันเป็นไปตามกลไกของไซเคิล พอหน้าร้อนน้ำมันก็ถูกลง แล้วน้ำมันตอนนี้มันถูกลงตามที่นาย วิเศษ จูภิบาล พูดหรือเปล่า นีไมได้อยู่ใกล้ๆถ้าอยู่ใกล้ๆผมอยากจะหาอะไรยัดปากแกซะหน่อย

ผมถึงบอกว่าเรื่องพวกนี้แอ้ม เก๋ ไม่จำเป็นต้องเป็น Expert ใช้สามัญสำนึก แล้วก็ศึกษาให้มาก ดูความเคลื่อนไหวของเขา ดูการกระทำของจีน ดูการกระทำของอเมริกา ทำไมอเมริกาต้องการบีบจีน เพราะอเมริกาต้องการเอาตัวรอด อเริกาเมื่อกี้เก๋ถาม จอมชักดาบแห่งยุค หนี้สาธารณะอเมริกาที่พูดเมื่อกี้ มี 12 ล้านล้านเหรียญ บวกกับภาระผูกพันในอนาคตข้างหน้า นักวิเคราะห์ชาวอเมริกายอมรับเลยในทางข้อเขียนบอกว่าอเมริกาไม่มีวันใช้หนี้ กองทัพได้ มีทางออกทางเดียวที่เขาบอก คือให้สวมวิญญาณพระเจ้าตากสิน คือชักดาบ

ไม่เห็นเหรอที่อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินวงเวียนใหญ่ พระองค์เจ้าถือดาบ ชักดาบ

สโรชา - เกิดขึ้นกับจีนมาแล้ว

สนธิ - จีนเคยโดนอเมริกาชักดาบมาแล้ว สมัยที่จอมพลเจียง ไค เช็ค และ ดร.ซุนยัดเซ็น ตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนยุคนั้น แล้วเจียง ไค เช็ค ปกครองอยู่ จีนช่วงนั้นเอาเงินที่ตัวเองทำมาค้าขายได้ เอาไปซื้อพันธบัตรอเมริกา ซื้อมาแล้วก็เก็บ แล้วพอผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปทุกอย่าง พันธบัตรฉบับนี้ที่คนจีนซื้อต่อเอาไปขึ้นเงินอเมริกาไม่ให้ขึ้น

สโรชา - นี่ก็จะเป็นครั้งที่ 2 แล้วซิ ที่จะชักดาบ

สนธิ - หน้าตาเฉยเลย บอกว่า ใช้ไม่ได้

อุษณีย์ - แต่เคียงข้างจีนก็จะมีเราด้วยนะ

สนธิ - ก็คุณแอ้ม เก๋ สมัยที่ค่าเงินบาทถูกลดลงไป ถูกโจมตี ผมจำได้ ผมถูกเชิญไปพูดที่สมาคมศิษย์เก่าอัสสัมชัญศรีราชา คนที่พูดด้วยกับผมชื่ออะไรรู้ไหม ทนง พิทยะ

สโรชา - ชื่อคุ้นๆ

สนธิ - ผมบอกว่า เราต้องเรียกเจ้าหนี้ของประเทศไทยทุกคนมา เจ้าหนี้ของบริษัทต่างๆมาประชุมกัน เพราะรัฐบาลไทยไม่ได้เป็นหนี้เยอะขนาดนั้น แต่ว่าเอกชนเป็นหนี้ ทนง พิทยะ สติแตก เป็นบ้า เรียกเจ้าหนี้ต่างประเทศมาแล้วบอกว่า ไม่ต้องกังวลรัฐบาลไทยจะค้ำประกันหนี้ทุกก้อนให้

ผมถามว่าคุณไปพูดได้อย่างไร หนี้เป็นหนี้เอกชน ถ้าเอกชนไม่มีจ่าย ต่างชาติก็มาฟ้องเอกชนไปซิทำไมรัฐบาลไทยต้องไปค้ำ เข้าใจหรือยัง นั่นข้อ 1ข้อที่ 2 รัฐบาลไทยนอกจากจะมีหน้าที่ที่ไม่ยอมแล้ว ยังจะต้องขู่มันด้วย บอกว่า เฮ้ยคุณต้องมาเจรจาลดหนี้เอกชน ถ้าไม่ลดหนี้เอกชนแล้ว ถ้าเขาชักดาบผมช่วยอะไรคุณไม่ได้นะ แล้วเอกชนก็ต้องแสดงอาการพร้อมจะชักดาบ จนต้องเข้าแถวถือมีดดาบคนละอันเตรียมชักให้มันเห็นว่ากูไม่จ่ายมึง ลดหนี้มาซะ นี่เขาเรียกว่าคนที่เรียนจบดอกเตอร์บางครั้งถ้าไม่มีสามัญสำนึกยังสู้แม่ค้า ที่ขายขนมกล้วยแถวบางลำพูไม่ได้เลย

สโรชา - สรุปคือนักลงทุนรายย่อย พวกแมงเม่าทั้งหลายแหล่ระวังตัวให้ดีๆ

สนธิ - ไม่ต้องระวังตัว ตายแน่ๆ ถอยออกตอนนี้ได้ ถอยไป อย่าไปเล่น เกมนี้มันใหญ่เกินไปหากคุณจะไปเล่น ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นขึ้นอย่างบ้าเลือดแบบนี้ มันมีเจ้ามืออยู่ข้างหลัง และวันนี้เจ้ามือไม่ใช่เจ้ามือมาเฟียเล่นหุ้น มีอยู่ 5- 6 คนในประเทศไทยที่เล่นประจำ มันไม่ใช่ เป็นเจ้ามือระดับกลาง เงินส่งออกมาจากนอกเข้ามาทีเป็นพันล้าน หมื่นล้าน หลายๆหมื่นล้าน แล้วมันเล่นทีเป็นล็อต เป็นก้อน มันเทขาย มันเทขาย มันดัมป์ตูมแล้วก็หนีไปเลย ฉันั้นแล้วให้ออกมาซะอย่าไปเล่นเขา

สโรชา - ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการการเงิน ก็ให้ระวัง เพราะว่าถ้าเมื่อไหร่ยุโรปเขาเกิด QE ขึ้นมา

สนธิ - ยุโรปคิดอยู่แล้วที่จะทำ QE คือ quantitative easing การพิมพ์พันธบัตรใหม่ แล้วทุ่มเงินลงไปในตลาด ยูโรมีกี่ประเทศล่ะ ถ้ามันทุ่มลงไปสัก 2 ล้านล้านยูโร เหนื่อยไหมล่ะ

อุษณีย์ - อ๋อ ตอนนี้เขาก็แย่กันทั้งนั้นเลย งั้นเราต้องหันไปหาใครคะคุณสนธิ

สนธิ - ของเราต้องระวังตัว 2 เรื่องที่เราต้องทำ เราต้องเริ่มปิดประตูเป็นบ้าง สำหรับทุนที่เข้ามา เพราะวันนี้ทุนที่เข้าประเทศไทย ไม่ใช่ทุนที่เข้ามาเพื่อสร้างงาน มันทุนเข้ามาเพื่อเก็งกำไรเพื่อปั่นหุ้น เป็นทุนที่เข้ามาเพื่อเล่นการพนัน เพราะฉะนั้นแล้ว เราต้องพยายามที่จะป้องกันให้ทุนพวกนี้เข้ามาแล้วสร้างความวุ่นวาย เพราะถ้าตลาดหุ้นวุ่นวายประเทศไทยต้องวุ่นวาย เพราะไทยจะโดนพวกนักเล่นหุ้นโวยวายเก่งที่สุด แล้วก็แปลกไปมองว่า เศรษฐกิจดี ถ้าหุ้นดีเศรษฐกิจจะดี ไม่จริง

อุษณีย์ - ไม่สะท้อนกันเลย

สนธิ - ไมได้สะท้อนกันเลยแม้แต่นิดเดียว อันที่ 2 ที่ต้องทำ ต้องปรับโครงสร้างส่งออกเสียใหม่ ทุกวันนี้เราทุ่มการส่งออกมากจนเกินไป โครงสร้างผู้ส่งออก ต้องทำให้มีความเข้มเเข็งที่จะรองรับได้กับการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ไม่ใช่ค่าเงินบาทตกลงมา 29 % ออกมาโวยวายกันทุกคน ไม่ได้ ต้องปรับโครงสร้างตัวเอง

กิจกรรมใดที่คือากรส่งออก ซึ่งเป็นการรับจ้างทำของ จะต้องไม่ให้การสนับสนุน เพราะการรับจ้างทำของได้อยู่อย่างคือค่าแรง นอกนั้นก็เป็นกำไรให้กับเจ้าของโรงงาน และเป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน มีความเสี่ยงต่ออัตราแลกเปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนแข็งก็ขาดทุน

ฝรั่งมันฉลาด เวลาทำ Sourcing ในการหาโรงงานผลิตของ มันจะรู้ต้นทุนหมด แอ้ม มันจะบอกเลย ผมจะจ้างคุณทำปากกาด้ามหนึ่ง ผมรู้นะว่าโมพลาสติกอันนี้ ถ้าฉีดเข้าไปแล้ว 1 ล้านด้าม ต้นทุนเท่าไรต่อด้าม อันนี้ต้นทุนเท่าไรต่อด้าม เสร็จเรียบร้อยเบ็ดเสร็จทั้งด้าม ต้นทุนเท่าไร ผมบวกให้คุณอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ได้เป็นกำไร บวกค่าแรงเรียบร้อยแล้ว ให้คุณกำไร 10 เปอร์เซ็นต์ ทีนี้ 10 เปอร์เซ็นต์นี้มันจะอยู่ได้อย่างไร ถ้ามกราคม-ตุลาคมนี้ ค่าเงินบาทหายไปแล้ว 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ มันก็ต้องขาดทุนแล้วสิ เพราะฉะนั้นธุรกิจแบบนี้ต้องระวังตัว นอกจากระวังตัวแล้วไม่ควรให้ขยาย แล้วถ้าเป็นไปได้ขอให้เขาเลิกไป ไปเอาธุรกิจแบบปากกาอย่างนี้ แต่มีการแกะสลัก

สโรชา - เพิ่มทักษะเข้าไป

สนธิ - เพิ่มมูลค่าเข้าไป แทนที่จะขายได้ 1 ดอลลาร์ ขายได้ 10 ดอลลาร์ มีส่วนต่างกำไรประมาณ 5-6 ดอลลาร์ กำไรประมาณ 100-200 เปอร์เซ็นต์ มันเป็นเกราะป้องกัน มันเป็นกันชนป้องกันการขยับขึ้นขยับลงของค่าเงิน เห็นไหม

สโรชา - ค่ะ วันนี้ก็คุยกันยาวสักนิดนะคะ เรื่องราวของค่าเงิน

สนธิ - โอ๊ย ยาวจริงๆ วันนี้ ชั่วโมงกว่า

สโรชา - เดี๋ยวเราพักกันสักครู่ กลับมามาคุยกันถึงเรื่องน้ำท่วมกันบ้าง สักครู่เดียวค่ะ

ที่มา www.manager.co.th
read more "คำต่อคำ“สนธิ”แฉเล่ห์อเมริกันส่งดอลลาร์ป่วนหุ้น-จี้แบงก์ชาติปิดประตูเก็งกำไร / โดย ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2553"

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เลือก “พรรคเพื่อไทย” ได้ พพท. + พผท. + พคท. ? / โดย ไทยทน วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประชาชนเฝ้าติดตามวิธีทำงานของพรรคเพื่อไทยด้วยความ ฉงน แต่พฤติกรรมของพรรคมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเอาผู้ติดคุกด้วยต้องหาคดีก่อการร้ายมาสมัคร ส.ส. กรณีทวงสิทธิ์ดาวเทียมไทยให้สิงคโปร์ กรณีเศรษฐีด้วยระบบทุนผูกขาดนิยมและทุนโกงชาตินิยมกลับอ้างตัวเป็นตัวแทนคน จน ฯลฯ ทำให้เห็นภาพแห่งความเป็นจริงว่า พรรคเพื่อไทย = พพท. + พผท. + พคท. ?


1.พพท. คือ “พรรคเพื่อทักษิณ” : หากติดตามกันดู ก็จะพบว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ “เพื่อไทย” แต่กลับทำหน้าที่ “เพื่อทักษิณ” เสียมากกว่า

... ปมปัญหาเรื่องดาวเทียมไทยคม ว่าสัมปทานผูกขาดตกเป็นของสิงคโปร์ พพท. ไม่สนใจ สนใจเมื่อไทยจะขอทวงให้กลับมาเป็นของคนไทย ดาหน้ากันออกมาบอกว่า ดาวเทียมยังเป็นของไทย วงโคจรผูกขาดยังเป็นของไทย แต่ก็รู้ว่า ลักษณะสัญญาที่ทำไว้เป็น BTO คือ Build-Transfer-Operate คือ สร้าง โอนให้ก็จริง


แต่โอนสิทธิ์ให้ผู้ได้รับสัมปทานบริหารก็คือเจ้าของบริษัท ตั้งแต่ต้น จึงได้กำหนดให้รักษาความเป็นเจ้าของให้คนไทย ต่างชาติไม่ควรถือเกิน 25% แต่ทักษิณก็ย่ำข้ามรัฐธรรมนูญ (ฉบับ 40) ห้ามนายกฯถือหุ้น ก็ “ซุกหุ้น” ไว้กับลูกๆ คนใกล้ชิด แอมเพิลริช วินมาร์ค แล้วก็ใช้อำนาจรัฐเอื้อในการแก้ไขกฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ ก็เห็นภาพว่า เป็นพรรคที่ทำงาน “เพื่อทักษิณ” ไม่ใช่ “เพื่อไทย”


... ตั้งรัฐบาลโนมินี ก็ไปยินยอมจะยกพื้นที่แผ่นดินไทยบริเวณเขาพระวิหารให้เขมร จะทำให้เสียเอกราชบนผืนแผ่นดิน และทรัพย์สินในทะเล ตอนแรกก็คิดว่า ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่คนไทยจะมีใจเป็นอื่น แต่เมื่อเห็นวิธีเชื่อมความสัมพันธ์ส่วนตัว เหนือกว่าความรักชาติ ก็จะเห็นว่ารักกันถึงขั้นร่วมมือกัน จัดฉากใส่ร้ายรัฐบาลไทย สร้างความแตกแยกในอาเซียน ตัดสินให้วิศวกรไทยเข้าคุกถึง 7 ปี ในข้อหาที่ไม่เป็นธรรมกับวิศวกรไทยในเขมร แต่วิศวกรนั้น ก็ไม่เอารัฐบาลไทยช่วยสู้ความเลย เข้าฉากรับโทษ 7 ปี ให้พรรคเพื่อไทยขอพระราชทานอภัยโทษให้


ฉากสะดุดตรงที่ทางเขมรได้มีการพระราชทานอภัย ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะส่งหนังสือไปเสียด้วย และวิศวกรก็จับมือกับฮุนเซน ยิ้มแย้มอย่างสนิทสนม และในที่สุด อยากกลับไปทำงานเขมรเพราะวางใจได้มากกว่า...ฮาจริงๆ


จึงน่าตกใจว่า หลังจากได้รับสัมปทานโทรคมนาคมไป ก็ห่อของขวัญอย่างดี ขายให้สิงคโปร์เอาเงินเข้ากระเป๋า แล้วก็ห่อเขาพระวิหารเตรียมไปค้าขายกับเขมร ต่อไปจะเป็นอะไร ? กฟผ. ? ปตท. ? สุวรรณภูมินคร ? หากมัวแต่เป็นพรรค “เพื่อทักษิณ” อย่างนี้ อนาคตลูกหลานไทยเราจะเหลืออะไรหรือไม่ ??


2.พผท. คือ “พรรคเผาไทย” : บทบาท “เพื่อไทย” ไม่ได้ทำ แต่สิ่งที่ได้ทำ คือ “เผาไทย” เผายางรถยนต์ เผารถเมล์ เผาตึก เผาศาลากลาง เผาส่วนราชการ ฯลฯ จับยังไม่ได้ก็มักจะบอกว่า “รัฐบาลจัดฉาก มิเช่นนั้นก็ต้องเอามาเปิดเผย”


แต่หลักฐานก็เห็นชัดเจนว่า กลุ่ม นปช. เอายางมารอไว้ คนแถวราชประสงค์ก็เห็นมีการเตรียมถังแก๊สไว้ นักข่าวก็เคยนำเสนอก่อนการใช้ด้วย แล้วแกนนำยังประกาศบนเวทีหลายครั้ง ทั้งณัฐวุฒิ อริสมันต์ ซึ่งอ้างถึงจตุพรด้วย ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ถ้าเข้ามาทำร้ายประชาชนก็เผาให้ราบพนาสูร” “ตกใจก็อาจวิ่งไปเอากระเป๋า เอาทรัพย์สิน หรือเผา” ฯลฯ เมื่อยุให้คนโกรธมากๆ และแนะให้ทำผิด และเตรียมอุปกรณ์ให้ จะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หรือไม่เกี่ยวได้อย่างไร ?


พอจับได้อย่างกรณีระเบิดพรรคภูมิใจไทย ก็ถึงยอมจำนน แต่ก็กลับอ้างว่า “ทำเอง เพราะไม่พอใจความเป็น 2 มาตรฐาน” แต่จะว่าไป ความเป็น 2 มาตรฐานระหว่าง ผู้ก่อการร้าย กับ คนมาชุมนุมโดยสันติปราศจากอาวุธ ก็ถูกต้องแล้ว เพราะไม่ว่า คนเสื้อแดง หรือคนเสื้อเหลือง ที่มาชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ รัฐบาลที่ดีก็ไม่ทำร้ายเป็น “มาตรฐานเดียวกัน” อยู่แล้ว ทหารจึงได้ปล่อยประชาชน 3,650 คนกลับภูมิลำเนา


ทหารไทยจะไปทำร้ายประชาชนทำไม ในเมื่อเขาเป็นทหารของคนไทย มีหัวใจไทย และปกป้องประชาชนชาวไทยอย่างเต็มเปี่ยม


แต่แกนนำ และกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัวกับคนเสื้อแดง มีการยิง M79 ยิงระเบิดเพลิง ทำร้ายประชาชนบริสุทธิ์ในชุมชนต่างๆมากมาย และกลับมาใช้พี่น้องเสื้อแดงเป็นโล่มนุษย์อย่างโหดร้าย หากแกนนำคนเสื้อแดงจริงใจกับผู้มาชุมนุมให้เป็นไปด้วยความสงบ เมื่อเห็นว่า มีคนกลุ่มอื่นมาแฝง เผายาง ยิงบั้งไฟ ยิงระเบิดเพลิง ยิง M79 ต้องบอกกับผู้ชุมนุมตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า “พวกนั้นไม่ใช่พวกเรา อย่าไปเข้าใกล้ อย่าเป็นเครื่องมือไปปกป้องผู้ก่อการร้ายเหล่านั้น เรามาอย่างสงบสันติ”


แต่เปล่าเลย กลับพูดชัดว่า “วันนี้ เรามีครบแก้ว 3 ประการแล้ว คือ มวลชน พรรคการเมือง และกองกำลังไม่ทราบฝ่าย” และอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืนตลอดมา แม้ตำรวจจับตัวแกนนำอย่างอริสมันต์ได้ ก็ยังต้องวางปืน ก้มคารวะ และถอยมาเมื่อเจอกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายอันยิ่งใหญ่ของท่าน !!


กลุ่มก่อการร้ายเช่นนี้ ด้วยมาตรฐานเดียวกัน ก็ต้องได้รับผลที่ต่างกันดูเหมือน 2 มาตรฐานกับคนเสื้อแดงที่บริสุทธิ์ ซึ่งก็ย่อมยุติธรรมแล้วอย่างแท้จริง


จะว่าไป คนที่ 2 มาตรฐานตัวจริง ก็คือทักษิณ ก่อนความรุนแรง จะต้องส่งภรรยา และลูกออกต่างประเทศไปก่อนเลย และยังต้องโกหกคนเสื้อแดงด้วยว่า ไม่ใช่หนีความเสี่ยงตายนะ “ไปนิทรรศการ จองไว้นานแล้ว” แล้วก็หายไปตลอดเวลาที่ร้อนแรง หรือ “ไปเยี่ยมพ่อปางตาย” แต่ก็ไปดูหนังกันที่เมืองคานส์ ช็อปปิ้งที่ปารีส 2 มาตรฐานแท้ๆ สำหรับชีวิตคนเสื้อแดงนั้น ทักษิณยอมเสียสละพลีชีพคนเสื้อแดงให้เพื่อปกป้องตนเองได้ แต่ครอบครัวของตัวก็คงไม่พร้อมจะเสียสละให้ได้ !!


ตอนแรกก็ยังเห็นในแง่ดีว่า พรรคการเมือง กับกลุ่มก่อการร้าย อาจจะมีการดำเนินโดยกลุ่มที่มีระดับความคิดแตกต่างกัน แต่ที่ไหนได้ ในที่สุด ก็แสดงตัวชัดเจนว่า เป็นการเคลื่อนไหวเป็นเนื้อเดียวกัน


เมื่อชุมนุมเสร็จ พผท...เอ๊ย...พพท. ก็อภิปรายในสภาฯ ปกป้องกลุ่มผู้เผาบ้านเผาเมือง เมื่อลงเลือกตั้ง แล้วก็เลือกเอาผู้ต้องหาก่อการร้ายในคุกคือ นาย ก่อแก้ว พิกุลทอง มาสมัคร ทั้งที่ก็เป็นแกนนำร่วมบนเวที นปช.เผาไทยมาตลอด สะท้อนความจริงที่เป็นไปได้ 2 กรณี คือ


กรณีที่ 1 พรรคเพื่อไทย ไร้คนมีฝีมือ สะอาด บริสุทธิ์ ต่อสู้ทางการเมืองด้วยวิถีทางทางการเมืองแล้ว หรือหลายคนละอายใจ นึกไม่ถึงว่า สาวกลิทธิทักษิณจะทำเลวถึงขั้นเอาหลอกเอาประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ทำร้ายพี่น้องคนไทยร่วมชาติในชุมชนต่างๆและเผาหลายอาคารหลายพื้นที่ ทำร้ายเศรษฐกิจไทยจนเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน จึงไม่อาจจะเข้ารับเลือกตั้งกับพรรคเพื่อไทยได้อีกต่อไป เหลือแต่พวกเผาบ้านเผาเมือง


ก็อาจเป็นได้ จึงได้เห็นว่า มีการเสนอประเด็นอภิปรายกระทรวงการคลัง แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นอภิปราย ก็คงจนด้วยความจริงตามที่คุณกรณ์ รัฐมนตรีคลังต้องขอชี้แจงประเด็นว่า เศรษฐกิจโลกวิกฤตหนักตั้งแต่ปลาย 2008 และทุกประเทศก็ร่วมกันอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วยการกู้หนี้


แต่ไทยเราก็กู้หนี้น้อยเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศ ซึ่งในยุโรป หลายประเทศมีหนี้เกิน 100% ของจีดีพี แต่ของเราก็กู้อีกไม่มาก และหนี้รวมก็อยู่ในระดับไม่ถึง 50% ของจีดีพี ไตรมาสแรกของปีนี้ จีดีพีของไทยก็เติบโตถึง 12% สูงเป็น 1 ใน 5 ของโลก ขณะที่ยอดคนว่างงานในสหรัฐฯยังสูงใกล้ 10% แต่ของไทย (ทั้งๆที่ลัทธิทักษิณจัดสถานการณ์กลั่นแกล้ง) ก็มีคนว่างงานเพียง 1% เท่านั้น


รัฐมนตรีคลังของไทยจึงได้รับการเลือกให้ได้รับรางวัล “รัฐมนตรีคลังแห่งปี” เป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยอย่างที่คนไทยน่าจะได้ภูมิใจร่วมกันจริงๆ


กรณีที่ 2 พรรคเพื่อไทย มีคนมีฝีมือ แต่ยังตั้งใจ “เผาไทย” ด้วยความเป็นนักจัดฉาก อยากให้ชาวบ้านเห็นว่า เป็นนักรบโอท็อป ใช้แห ใช้หนังยาง ใช้ยางรถยนต์ ใช้ไม้ไผ่ ... แต่จริงแล้ว ยังแฝงด้วย M79 ปืนจริง อาวุธสงครามมากมาย ... เรื่องเลือกตั้งก็เช่นกัน นี่ไม่ใช่ระดับหัวหน้าพรรคที่จะมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี ที่พรรคต้องเลือกคนเดียวมายกชู แต่เป็นการเลือก สส. เท่านั้น ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็น่าจะมี สส. สอบตกในพื้นที่ หรือพื้นที่ข้างเคียงมิใช่หรือ ที่จะมาแข่งขัน


แต่เมื่อไม่อยากแข่งขัน ก็เพียงแต่ต้องการจัดฉาก “เผาไทย” ด้วยการจะไปสร้างความโกรธว่า กลั่นแกล้งผู้สมัครแข่งขันฝ่ายตรงข้าม (ทั้งที่เอาคนอื่นก็ได้) ไปโพนทะนาสร้างภาพเท็จกับชาวโลกว่า “ไทยไม่เป็นธรรมต่อผู้แข่งขันตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการกลั่นแกล้งให้คู่ แข่งติดคุก” ต่อไป ใช่หรือไม่ ?


ไทยทนเชื่อว่า อย่างน้อยสื่อมวลชนไทยเราเข้าใจดีว่า พพท. ยังเลือกผู้สมัครรายอื่นได้มากมาย แต่ต้องการ “ภาพเท็จ” นี้นี่เอง จึงได้เอาคนสวมชุดนักโทษมาสมัครรับเลือกตั้ง และเราก็จะไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้ “ความเท็จ” เผยแพร่ขยายกว้างออกไปราวกับเรื่องจริงจนทำร้ายประเทศไทยในสายตาต่างประเทศ หรือทำให้คนไทยโกรธเกลียดทำร้ายกันอีกต่อไป


3.พคท. คือ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัฐไทยใหม่” : หลายๆคนที่เคยร่วม พคท. คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก็ร่วมด้วยหัวใจใสๆ เพื่อคนไทย ซึ่งในความเป็นจริง แนวความคิด “สงครามชนชั้น” “คนรวยที่เขารวย เราจึงยากจน” เป็นชุดความคิดที่เป็นอันตรายต่อทุกสังคม โดยความคิดแบบคอมมิวนิสต์สุดขั้วนั้น ก็บรรลุเป้าหมายในหลายประเทศ คือ ฐานะเท่าเทียมกัน ไม่เหลื่อมล้ำ...จนเหมือนกันหมด หมอเวียดนามยังต้องทำงานขุดดินสัปดาห์ละครั้ง ผู้เป็นครูก็ต้องไปขุดดินทำการเกษตรในค่ายคอมมิวนิสต์ของจีน


โลกคอมมิวนิสต์ล้มเหลวเชิงเศรษฐกิจอย่างสิ้นเชิง ทั้งรัสเซีย และ จีน จึงเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มกลับมามีแนวความคิด เสรีนิยม หรือ ทุนนิยมมากขึ้น ประเทศที่แตกกัน ก็จะเห็นว่าส่วนที่เป็นคอมมิวนิสต์จะเจริญช้ากว่า เกาหลีเหนือเจริญช้ากว่าเกาหลีใต้ เวียดนามเหนือก็ช้ากว่าเวียดนามใต้ ฯลฯ


และผู้เอาความคิด พคท. มาหนุนในช่วงนี้กลับเป็นทักษิณ ซึ่งมิใช่เป็นตัวแทนคนยากจน แต่เป็นคนที่โกงเก่งที่สุดในแผ่นดิน เอามาบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของคนจนที่ต่อสู้ก็จะทำให้คนจนเสียศักดิ์ศรี เพราะคนจนทั่วๆไปก็มีเกียรติภูมิ ไม่ต้องการโกงใคร โดยเฉพาะจะไม่โกงชาติเหมือนทักษิณ


ทักษิณทำธุรกิจตรงไปตรงมาก็แข่งไม่ได้ อย่างชินอินเตอร์ฯแข่งในต่างประเทศก็เจ๊งไม่เป็นท่า ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในดูไบก็ช่วงก่อนลูกโป่งแตก เหมืองเพชรก็ไม่มีการดำเนินการเพราะมีเอาไว้แค่ฟอกเงิน ฯลฯ รวยได้เฉพาะเมื่อใช้เงินซื้ออำนาจ และเอาอำนาจรัฐมาเอื้อประโยชน์ส่วนตัว เป็น “ทุนผูกขาดนิยม” หรือ “ทุนโกงชาตินิยม” เท่านั้น


ความคิดแบบคอมมิวนิสต์ที่มีผู้อยู่เบื้องหลัง อย่างทักษิณจึงไม่ใช่ พคท.อย่างในอดีต แต่เป็นเพียง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัฐไทยใหม่” อันเป็นหน้าฉากของ “ระบบทุนผูกขาดนิยม” นั่นเอง


ความจริง ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เราจึงเห็นธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กเติบโตขึ้นมากมาย ประเทศไทยจึงก้าวหน้ากว่าหลายประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์มาก่อนไม่ว่าจะเป็น เวียดนามเหนือ เกาหลีเหนือ เขมร ฯลฯ ชาวจีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ก็ยากจนมานาน แต่ปัจจุบัน เริ่มทยอยมีฐานะดีขึ้น ก็เพราะกลับมาเป็นเสรีนิยม หรือ ทุนนิยม ชาวจีนก็เริ่มมีกลุ่มคนที่รวยล้ำหน้าจนเกิด “ความเหลื่อมล้ำ” เป็นธรรมดา


สังคมไทยมีคนที่เคยมีฐานะยากจน และเติบโตขึ้นจนฐานะปานกลางหรือร่ำรวยเป็นล้านๆคน และก็มีความพยายามที่ต่อเนื่องมาให้มีการศึกษา มีการงานที่ดีตลอดมาหลายๆรัฐบาล

โดยในช่วงนี้ เราก็กำลังจะมีการเพิ่มเติมเรื่องสวัสดิการการรักษาพยาบาลฟรี การศึกษาฟรี เบี้ยคนชรา โฉนดชุมชน แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ การประกันรายได้การทำการเกษตร ฯลฯ ก็น่าจะช่วยเหลือผู้มีโอกาสน้อยกว่า ช่วยปฏิรูปเพื่อประเทศอย่างรอบด้าน และน่าจะทำให้ทุกคนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ประโยชน์ทุกอย่างนั้น ก็มาจากภาษีประชาชน เป็นโครงสร้างที่คนรวย จ่ายภาษีมาก ได้ช่วยเหลือคนที่ยากจนกว่าด้วยความรักกันฉันพี่น้องอย่างแท้จริง


ไม่ควรที่ใครจะ “ปล้นด้วยปาก” เอาการใช้เงินภาษีประชาชนไปเป็นบุญคุณส่วนตัวอีกต่อไป แล้วยังสื่อความอย่างไม่รับผิดชอบ ให้คนจนรังเกียจคนรวย ทั้งที่คนจนได้รับการช่วยเหลืออุ้มชูจากภาษีที่จ่ายมากกว่าโดยคนรวย ซึ่งพี่น้องไทยพึงรักและช่วยเหลือกัน เพื่ออ้างเป็นบุญคุณส่วนตัวของคนๆเดียว


เมื่อวิเคราะห์จากความจริงอย่างรอบด้าน จึงสรุปได้ว่า พรรคเพื่อไทย จึงน่าจะมีชื่อเต็มๆว่า “พคท-ผท-พท” คือ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัฐไทยใหม่ - เผาไทย - เพื่อทักษิณ” มากกว่า และสื่อมวลชนหัวใจไทย ก็คงไม่พร้อมจะตกเป็นเครื่องมือ ช่วยเผาไทย หรือ ทำให้คนไทยเกลียดคนไทย จนอาจมีส่วนร่วมให้คนไทยทำร้ายคนไทยกันเองอีกต่อไปครับ


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277700371&grpid&catid=02
read more "เลือก “พรรคเพื่อไทย” ได้ พพท. + พผท. + พคท. ? / โดย ไทยทน วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553"