วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กฏทองการค้าของเถาจูกง

เถาจูกงเดิมคือ ฟ่านหลี่ กุนซือของเย่ว์อ๋องโกวเจี้ยนครับ หลงจากที่ช่วยเย่ว์อ๋อง
แก้แค้นแคว้นอู๋ได้แล้ว ก็ปลีกตัวมาทำการค้าขายจนร่ำรวย และแต่งตำราการค้าออกมาเล่มหนึ่งครับ
ตำราเล่มนี้ก็ได้รับการตกทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ชาวจีนนับถือฟ่านหลี่ หรือเถาจูกง
เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือการค้าเลยหละครับ

เนื้อหาใน หนังสือ กฏทองการค้าของเถาจูกง ก็สรุปได้สองส่วนนะครับคือ สิ่งที่ทำ กับที่ไม่ควรทำ

read more
12 หลักการที่พึงปฏิบัติ
1. ต้องดูคนให้เป็น หากรู้ว่าผู้ใดไว้วางใจได้ ก็จะช่วยให้หลีกเลี่ยงความเสียหายได้
2. ลูกค้าทุกคนคือคนสำคัญ ความพึงพอใจของลูกค้านำมาซึ่งการมาเยือนครั้งต่อไป อีกทั้งชักชวนลูกค้าใหม่ๆ มาด้วย
3. ควรมุ่งมั่นทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ดีที่สุด ทำในสิ่งที่ได้เลือกแล้ว และไม่เป็นคนโลเล
4. จัดร้านค้าให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ ตกแต่งให้น่าสนใจและโดดเด่นโดยเฉพาะจุดวางขายสินค้า
5. จงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การลังเลจะทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ
6. ควรระมัดระวังในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ ควรรอบคอบในการตามเก็บหนี้ ไม่ควรกระดากอาย และเก็บให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
7. ใช้คนให้ถูกงาน การจัดสรรงานโดยให้ดูตามความสามารถของบุคคล จะก่อให้เกิดประโยชน์ตอบแทนมากที่สุด
8. จงกล้าที่จะอวดสรรพคุณสินค้า ค้นหาแนวทางใหม่ไม่ซ้ำใครในการนำเสนอให้น่าจดจำ และเสนอจุดเด่นของสินค้า
9. จงเลือกสรรสินค้าอย่างชาญฉลาด ต้องรอบรู้และพิถีพิถันในการเลือกสินค้าที่จะมาขาย จะได้มั่นใจว่าสามารถขายออกได้รวดเร็ว
10. การวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดอย่างลึกซึ้ง วิจัยตลาดก่อนซื้อและขายสินค้าทุกครั้ง
11. จงทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ทำตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบขององค์กร เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งและความน่าเชื่อถือ
12. ควรมีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการลงทุน วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและผลตอบแทนก่อนจะลงทุน

12 หลักการที่พึงละเว้น
1. อย่าตระหนี่ ควรสละเงินเพื่องานสังคมและการกุศลตามโอกาสอันควร
2. อย่าลังเล หากขาดการตัดสินใจที่เด็ดขาดจะทำให้ธุรกิจไม่เติบโต
3. อย่าหน้าใหญ่ใจโต ควรตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนก่อนการใช้จ่ายเงินทุกครั้ง
4. อย่าคดโกง การคดโกงและมุ่งแสวงหาแต่กำไร จะนำหายนะมาสู่กิจการในท้ายที่สุด
5. อย่าเก็บหนี้ช้า ความล้มเหลวในการทวงหนี้ส่งผลให้เกิดหนี้เสีย
6. อย่าลดราคาอย่างไม่มีเหตุผล ต้องรู้จักวางกลยุทธ์ด้านราคาเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ
7. อย่าทำตามผู้อื่น หลีกเลี่ยงธุรกิจที่ใครๆ ก็ทำกัน
8. อย่าสวนกระแสวัฏจักรของสินค้า สินค้าทุกชนิดมีช่วงอายุต้องก้าวให้ทันการขึ้นลงของสินค้า
9. อย่ายึดติดกับความคิดเก่าๆ การไม่เปิดรับความคิดใหม่ ไม่รับรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจะทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก
10. อย่าซื้อเงินเชื่อมากจนเกินไป มักจะทำให้มีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดตามมา
11. อย่าเก็บทุนสำรองไว้น้อยเกินไป จะทำให้ไม่สามารถคว้าโอกาสยามสินค้าราคาลดต่ำลง
12. อย่ายึดติดกับชื่อของสินค้า ตัดสินคุณภาพสินค้าจากคุณภาพที่แท้จริงโดยปราศจากอคติ

Credit :: http://www.satanswer.com/site/forums/index.php?topic=169.0

read more "กฏทองการค้าของเถาจูกง"

เมื่อดูอิมซังอ๊กแล้วอดนึกถึงวิธีการที่เขาใช้ คล้ายการนำ KM Process ของการจัดการความรู้มาใช้

อิมซังอ๊ก..ยอดพ่อค้าหัวใจทระนง เป็นภาพยนตร์เกาหลีที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้
มีเรื่องราวมากมายในการดำเนินชีวิตสู่การเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ
เมื่อดูอิมซังอ๊กแล้วอดนึกถึงวิธีการที่เขาใช้ คล้ายการนำ KM Process
ของการจัดการความรู้มาใช้ เมื่อลองนำมาวิเคราะห์ดู ดังนี้

1. การที่ อิมซังอ๊ก มีความมุ่งมั่นในการที่จะเป็นพ่อค้าตั้งแต่ต้นนั้น
เป็นการกำหนดเป้าหมายของชีวิต (Vision) ในตอนที่เพื่อนของพ่ออิมซังอ๊กที่เป็นพ่อค้าใหญ่
บอกอิมซัง อ๊กว่า “การไม่มีเป้าหมายตั้งแต่เริ่ม ต้น คือจุดจบของการเดินทาง” แล้ว เจ้าล่ะมีเป้าหมายอะไร?

2. จากเป้าหมายนี้ทำให้อิมซังอ๊ก พยายามในการ ค้นหาความรู้
เริ่มตั้งแต่ตอนเป็นทาสในโรงถลุงเหล็ก ในใจเขาอยากเป็นพ่อค้า
จึงพยายามศึกษาทุกอย่างโดยค้นหาความรู้ว่าจะได้ความรู้จากใครด้วยความพยายาม
และอดทน การ สังเกตจากคนอื่นที่ทำอยู่ ลองผิดลองถูกและศึกษาจากประสบการณ์ผู้อื่น
จนได้พบครูที่สอนการถลุงเหล็กที่มีคุณภาพ

3. การสร้างและแสวงหาความรู้ เมื่อเขาพ้นจากการเป็นทาส แล้ว
เขาก็มุ่งสู่เส้นทางพ่อค้าโดยการแสวงหาความรู้ โดยไปพบเพื่อนพ่อที่เป็นพ่อค้าใหญ่
เพื่อ ขอเรียนรู้การค้าเป็นการสร้างโอกาสให้ตัวเอง
การได้ไปทำงานเป็นคนงานที่ร้านทำทองเหลืองและได้ประสบการณ์จากากรศึกษางานใน ร้านทุกอย่าง
โดยการสังเกต และบันทึกไว้และมีการรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าที่มาติดต่อ
และติดตามไปค้าขายต่างเมืองกับนายห้าง
เขาศึกษาสินค้าและวิธีการขาย เทคนิคการเลือกของ
ความสำคัญของสินค้าในแต่ละเมือง ภูมิประเทศสะสมไว้เป็นข้อมูล

4. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ จากการเดินทางทำให้ได้ประสบการณ์มากมาย
จากสินค้าหลากหลาย จนถึงวิธีการที่จะขายสินค้าที่นำไป มีความต้องการด้านใด
สินค้าใดที่จะได้รับความนิยม เขาได้จัดหมวดหมู่สินค้าและพ่อค้าแต่ละเมืองไว้

5. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ อิมซังอ๊กได้ประสบการณ์จากการไปค้าขายต่างเมืองกับพ่อค้าคนอื่น
จากการสังเกต การฉลาดและมีไหวพริบ
การศึกษาข้อมูลของแต่ละเมืองที่ได้ค้าขาย เช่น
เขาไปขายเครื่องทองเหลืองชั้นเลิศของเมืองนาซอง
แต่พบว่าขายไม่ได้แถมเมืองนั้นยังมีปัญหาเรื่องน้ำไม่สะอาด ทำให้ท้องร่วง
ซึ่งข้อมูลที่ได้นี้ทำให้เขาหากลยุทธ์การค้าขายโดย
นำทองเหลืองไปแลกกับยาแก้ท้องเสียที่ร้านขายยา
แล้วนำยาแก้ท้องเสียมาขายแทน
จนได้เงินมากพอกับที่ทองเหลืองที่นำไปขาย แถมได้กำไรมากกว่า

เขาใช้ความรู้ที่มีอยู่จากประสบการณ์นั้นมาใช้ ในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
ทำให้ บรรลุเป้าหมายคือ ขายทองเหลืองได้หมดเหมือนกันแต่ไม่ได้ขายโดยตรง
เหมือนการจัดการความรู้ที่มีวิธีการมากมายที่เหมาะสมกับหน่วยงานของแต่ละ องค์กร
ที่จะบริหารให้เกิดการพัฒนาคุณภาพ ซึ่งอาจไม่เหมือนต้นแบบ
แต่การรู้จักปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ถือว่าเป็นแผนกลยุทธ์ที่ดี

6. การ เข้าถึงความรู้ของเขา ได้ทั้งจากประสบการณ์คน อื่น
และประสบการณ์ตนเอง การเรียนรู้แบบ SECI ได้เกิดขึ้น
และหมุนเวียนแลกเปลี่ยนกันระหว่าง Tacit และ Explicit Knowledge
ทำให้เขามีความรอบรู้ในหลายๆด้านในการค้า ขาย
จนทำให้เขาได้มีโอกาสพัฒนายกระดับความรู้
โดย เขายึดหลัก การ ค้าไม่ได้มุ่งที่จะทำกำไรให้ได้อย่างเดียว
แต่มุ่งในด้านจิตใจที่มีต่อกันและความเชื่อใจกัน
เหมือน วินัย 5 ประการของปีเตอร์ เซ็งเจ้
และอิมซังอ๊กยังใช้วิธีการของ Marquaedt
ใน การทำให้เขาเข้าถึงความรู้

7. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เวลาเขาไปทำการค้าต่างเมือง
และ ประสบความสำเร็จ ในแต่ละครั้ง
หัวหน้าใหญ่จะมีการเรียกประชุมและให้เล่าวิธีการสู่กันฟัง
ว่าทำได้อย่างไร
ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งอิมซังอ๊กก็มีโอกาสดีๆทั้งประสบการณ์ของตัวเองและผู้อื่น
ซึ่งเขาได้สอบถามจากผู้คนที่ติดต่อการค้า ซึ่งทำให้เขามีความสามารถเด่นกว่าคนอื่น

8. การ เรียนรู้ อิมซังอ๊กเชื่อว่าการเรียนรุ้ไม่มีที่สิ้นสุด
เขามีพรสวรรค์ด้านการค้า โดยเป็นคนอื่นน้อมถ่อมตน
ไม่มุ่งแต่จะขายสินค้าเพียงให้ได้เงินอย่างเดียว
ซึ่งแม่ของเขาได้บอกกับลูกชายว่า ถ้า ค้าขายโดยหวังแต่เงินอย่างเดียว
สักวันหนึ่ง ตาก็จะบอด หูก็จะหนวกและใจก็จะดับ
ซึ่งเขาได้ยึดมั่น และในคำสอนของแม่
และการค้าขายถ้าเห็นแก่เงินมากเกินไป
จะทำให้มองไม่เห็นความสำคัญของคนอื่น
เอารัดเอาเปรียบจะเกิดศัตรูรอบด้าน
การที่จะหูหนวกเนื่องจาก ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใคร
และจิตใจก็จะคับแคบตามไปด้วย

Credit :: http://www.satanswer.com/site/forums/index.php?topic=169.0
read more "เมื่อดูอิมซังอ๊กแล้วอดนึกถึงวิธีการที่เขาใช้ คล้ายการนำ KM Process ของการจัดการความรู้มาใช้"

ประเทศไทยยุค "อิมซังอ๊ก"/อำนาจ

เย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(3 ก.พ.) เป็นครั้งแรกครับที่ผมได้มีโอกาสนั่งชม "อิมซังอ๊ก ยอดพ่อค้าหัวใจทระนง" ที่ฉายอยู่เป็นประจำ ทุกๆ วันเสาร์-วันอาทิตย์ (เวลา 18.00 น.) ทางช่อง 3

ไม่ทราบว่าสำหรับท่านที่มีโอกาสได้ติดตามชมซีรี่ส์เรื่องนี้อยู่แล้วจะรู้สึกอย่างไรกันบ้าง

ส่วนผมดูแล้วก็ไม่อยากที่จะดูต่อเลยครับ

ไม่ใช่ว่าไม่สนุกอะไรหรอก แต่ผมกลัวว่า ดูแล้วมันจะติดครับ

เพราะขนาดที่ว่าไม่รู้เรื่องราวมาก่อน (แค่ได้ยินโฆษณาแบบผ่านๆ ว่าเป็นเรื่องของพ่อค้าสู้ชีวิต) ไม่รู้จักตัวละครเลยสักตัว ฯ ผมยังดูด้วยความรู้สึกสนุกมากๆ ครับ
...
ในอดีตครอบครัวผม(หมายถึงพ่อแก่ แม่แก่ (ตา-ยาย) แม่ รวมถึงลุงๆ ป้าๆ ของผม) มีอาชีพค้าขายครับ โดยจะซื้อสินค้าใส่ในเรือ ซึ่งแม่ผมคุยว่าลำใหญ่พอสมควร ขณะที่ยายใบ(แม่แก่ของผม)ก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะมีคนในละแวกบริเวณริมแม่น้ำ ป่าสัก ไล่ตั้งแต่ อ.เสาไห้ จนถึงตลาดท่าหลวง (จ.อยุธยา) รู้จักพอสมควร

หลังย้ายขึ้นมาปลูกบ้านอยู่บนบก การค้าขายทางเรือก็เลิกไปแต่เปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ แทน ก่อนที่จะเลิกแบบถาวร(ทว่ายังคงทำเป็นอาชีพเสริมในบางครั้ง)เมื่อแม่ผมเข้า ไปเป็นพนักงานของโรงงานทอกระสอบ(เสาไห้) ตัวผมเองก็มีโอกาสได้เป็นลูกมือก็ช่วงนี้แหละครับ

ของที่ขายก็แล้วแต่เทศกาล อาทิ ขายข้าวเม่าทอด (พูดแล้วจะหาคุย ผมเนี่ยเป็นเซียนปั้นข้าวเม่าของหมู่บ้านคนหนึ่งเลยละครับ) กล้วยแขก, อ้อยควั่น เมื่อฤดูเกี่ยวข้าวมาถึงกับช่วงที่ต้องไปขายในงานลอยกระทงที่วัดสะตือ หรือหากเป็นงานวัดพวกปิดทอง - ฝังลูกนิมิตรอันนี้จะเน้นขาย ลูกชิ้นปิ้ง ข้าวโพดบ้าง น้ำอัดลมบ้าง นอกนั้นในช่วงปกติก็จะขายทั้ง ขนมเบื้อง ถั่วแระต้ม ลูกชิ้น มันทอด ที่หน้าโรงเรียน

กำไรจากการขาย ได้วันละ 200 กว่าบาทก็ถือว่าเยอะแล้วครับ

นอกจากจะชวนให้คิดถึงภาพในอดีตช่วงที่ว่าซึ่งทั้งสนุกทั้งรู้สึกขี้เกียจ แล้ว ซีรี่ส์ยอดพ่อค้าหัวใจทระนงยังทำให้ผมต้องเข้าไปหาเรื่องย่ออ่าน ซึ่งผมขอคัดลอกจากเว็บไซต์ของช่อง 3 เอามาให้อ่านกันทั้งดุ้นเลยนะครับเผื่อว่าจะกระตุ้นให้ผู้อ่านรู้สึกอยาก ติดตามบ้าง

...จากเรื่องจริงของยอดพ่อค้าแห่งคาบสมุทรเกาหลี เมื่อความแค้นแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น วิถีการค้าที่ต้องใช้วิถีแห่งรักเป็นเดิมพัน

บิดาของ อิมซังอ๊ก มุ่งหวังที่จะเป็นล่ามหลวงมาตลอดชีวิต จึงถ่ายทอดความรู้ด้านภาษา ให้กับ ซังอ๊กจนเขาสามารถพูดภาษาจีนได้ตั้งแต่เด็ก แม้ซังอ๊กจะมีความสามารถทางด้านการค้าแต่พ่อและแม่ของเขาก็ยังคงยืนยันที่จะ ให้ซังอ๊กเป็นล่าม หลวงของราชสำนักอยู่ดี

ในเมืองอึยจูที่ซังอ๊กอาศัยอยู่มีพ่อค้าทรงอิทธิพลอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม "ซงซาน" และ "กังซาน" จากการวิวาทกันของพ่อค้า 2 กลุ่มนี้ ทำให้ซังอ๊กได้พบและรู้จักกับ ปาร์กดานุง ลูกสาวของ ปาร์กจูมุง พ่อค้าใหญ่แห่งกลุ่มซงซาน ดานุงเห็นความสามารถของซังอ๊กจึงชวนเขามาร่วมงานด้วย แต่ซังอ๊กปฏิเสธเพราะเป้าหมายของเขาคือการเป็นล่ามหลวงเท่านั้น แต่แล้วความตั้งใจของเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อเขาและพ่อถูกปาร์กจูมุงหักหลัง ทำให้พ่อของซังอ๊กต้องอาญาประหารชีวิต เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ซังอ๊กสูญเสียทั้งครอบครัว และความฝันที่จะเป็นล่ามหลวง

เมื่อทุกอย่างในชีวิตถูกทำลาย ความแค้นและแรงบีบคั้นในครั้งนั้นผลักให้เขาก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการเชือด เฉือนกันในสนามการค้า ด้วยความเฉลียวฉลาด เป็นกันเองกับทุกคน อีกทั้งยังหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว ไม่คิดที่จะละทิ้งความหวัง คงยืนหยัดต่อสู้ด้วยความเข้มแข็ง ประกอบกับปณิธานอันแรงกล้า ตลอดจนความขยันหมั่นเพียร กับความสามารถทางการค้าที่มี และท้ายที่สุดการที่เขาสามารถใช้ความพอเพียงสยบความโลภได้นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ความเป็นยอดพ่อค้าและมหาเศรษฐีแห่งคาบ สมุทรเกาหลีที่มีคนให้การนับถือมาก ที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว

แต่ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เขากลายเป็นตำนานเล่าขานมาจนปัจจุบันนั่นคือการ ที่เขาเป็นพ่อค้าที่รู้จักให้กลับคืนสู่สังคม เขาได้ช่วยเหลือคนมากมาย ในบั้นปลายชีวิตเขาได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ รวมทั้งนำเงินที่มีอยู่แจกจ่ายให้ผู้คน ยกที่ดินที่ตนมีให้ตกเป็นของแผ่นดิน คุณงามความดีเหล่านี้ทำให้เขายังคงอยู่ในใจชาวเกาหลีไม่เสื่อมคลาย แต่กับความรักที่ดูเหมือนจะเป็นเส้นขนานเมื่อหญิงที่เขารักกลับกลายเป็นลูก สาวของศัตรู เส้นทางรักที่สวนทางกับเส้นทางแห่งการแก้แค้นบนวิถีแห่งการค้าจะจบลงเช่น ไร?...
...
วันที่ดูนั้นพระเอกของเราพลาดท่าการขายกระดาษให้กับพ่อค้าหนุ่มของกลุ่ม ซงซานครับ เนื่องจากว่าอีกฝ่าย(ซึ่งได้ซื้อตัวคนของฝ่ายพระเอกไว้เพื่อแอบสืบการ เคลื่อนไหว)ได้ใช้อุบายสร้างเรื่องว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นกระทั่งทำให้พระเอก ของเราที่ซื้อกระดาษมาเกร็งราคา(ก่อนหน้านั้นก็โดนโก่งเรื่องเยื่อไม้ที่จะ มาทำกระดาษแล้วครั้งหนึ่ง)ต้องรีบขายกระดาษออกไปในราคาที่ขาดทุนย่อยยับ

ไฮไลต์ของวันนั้นจะว่าไปแล้วไม่ได้อยู่ที่ตัวพระเอกหรอกครับ แต่อยู่ที่การเชือดเฉือนคำพูดกันระหว่าง "ปาร์กดานุง" ลูกสาวของกลุ่มซงซาน กับพ่อค้าหนุ่มที่เป็นมันสมองของกลุ่ม(จำชื่อไม่ได้ครับ)เนื่องจากเธอไม่ ค่อยจะเห็นด้วยกับวิธีการคิดถึงแต่เรื่องของ "กำไร" โดยไม่เห็นแก่วิธีการของเขา (ตัวอย่าง เช่นให้คนไปจุดไฟเพื่อให้เกิดความวุ่นวายว่าจะมีสงคราม แล้วเอารองเท้าซึ่งก่อนหน้านั้นเขาได้ไปกว้านซื้อไว้แล้วเอาออกมาขาย เนื่องจากรองเท้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชาวบ้านทั่วๆ ไปในการหนีภัยสงคราม)

"ถ้าทำมาหากิน หรือคิดจะเอากำไรจากชาวบ้านตาดำๆ โดยคิดแต่เพียงว่าตัวเองมีทุนหนากว่า การกระทำเช่นนี้มันก็คงไม่ผิดอะไรเยี่ยงกับโจร"

"บางทีพวกโจรเองยังมีคุณธรรมมีเมตตาธรรมมากกว่าเสียอีก เพราะก่อนจะปล้น คนพวกนี้ยังดูว่าเหยื่อที่จะปล้นมีสภาพเช่นไร เป็นชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ หรือพวกพ่อค้าเศรษฐีร่ำรวย"

นางเอกของเราบอกประมาณนี้(ไม่ตรงทุกคำพูดหรอกนะครับ) หลังจากที่พ่อค้าหนุ่มได้แจ้งให้ทราบถึงแผนการที่จะเข้าไปกว้านซื้อปลามาจาก ชาวบ้านด้วยเงินกำไรที่ได้มาจากฝ่ายพระเอกเพื่อผูกขาดการค้าปลาเพียงเจ้า เดียว โดยตัวเขาเองก็สวนกลับนางเอกไปประมาณว่า

"เป็นพ่อค้า ถ้ามัวแต่กังวลเรื่องอื่นๆ กระทั่งมาหากินไม่ได้กำไร หรือได้ไม่เยอะ ก็ไม่สมควรที่จะเรียกตัวเองว่าพ่อค้า"

"แล้วข้าก็เชื่อด้วยว่า คงจะไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธไม่หยิบ(เศษ)เงินที่ข้าโปรยลงไปให้อย่างแน่นอน"

โดนจริงๆ ครับ (ความจริงยังมีอีกหลายประโยคแต่ผมจำไม่ได้) ถ้าใครมีเวลาผมอยากให้ลองติดตามซีรี่ส์เรื่องนี้ดูบ้าง เพราะเนื้อหาน่าติดตาม เนื้อเรื่องไม่ถึงกับซีเรียสมากนัก ทว่าก็ไม่ถึงขนาดที่จะมีตัวละครนางอิจฉามายืนแว้ดๆ หรือมีตัวตลกแต่งตัวบ้าๆ บอๆ ขายความเซ่อซ่าเพื่อเรียกเสียงหัวเราะ

ทุนนิยมไม่ใช่ระบบที่เลวร้ายอะไรหรอกครับถ้ามีคำว่าคุณธรรมกำกับ

ฟังคำพูดและวิธีคิดของพ่อค้าหนุ่มฝ่ายซงซานแล้ว ผมนึกถึงสภาพของประเทศไทยของเราที่ผ่านมาในช่วงของอดีตนายกทักษิณขึ้นมาทันที

และดูเหมือนว่า วิธีค้ากำไรด้วยการโปรยเศษเงินเป็นเหยื่อล่อปลาตัวเล็กตัวน้อยมันกำลังจะกลับมาอีกแล้ว

Credit :: http://www2.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9510000016290
read more "ประเทศไทยยุค "อิมซังอ๊ก"/อำนาจ"

อิม ซัง อ๊ก:ปรัชญาเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ

ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ เมื่อครั้งเรียนมหา,ลัย เมื่อหลายสิบปีก่อน อาจารย์ผู้พร่ำสอนให้อ่านสาระความสำคัญในครั้งนั้นคือ ดร.ธำรงค์ อุดมไพจิตกุล ผู้ทุ่มเทสอนเศรษฐศาสตร์แก่นักศึกษาด้วยความจริงใจ เมื่อครั้งเรียนก็ไม่ได้คิดอะไรแต่พอมาใช้ชีวิตจริง ก็เริ่มซาบซึ้งในความลุ่มลึกของหลักเศรษฐศาสตร์ภายใต้แนวคิดปรัชญาแบบตะวัน ออก หรือปรัชญาเชิงพุทธนั่นเอง

จริง ๆคนเขียนเรื่องนี้คือ ผู้เขียน คือ อี เอฟ ชูมัคเคอร์

ส่วนฉบับภาษาไทยนั้นตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ภายใต้ชื่อว่า จิ๋วแต่แจ๋ว – เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ โดย สมบูรณ์ ศุภศิลป์

ในหนังสือเล่มนี้ เขาชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องของทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ปัจจุบัน ว่าไม่อาจนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพของสังคม ในการอยู่ร่วมอย่างผสานสอดคล้องกับโลกกับมนุษย์ด้วยกันเอง อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงได้ อำนาจในการพิจารณา “ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ” ที่ตกอยู่ในมือของนักเศรษฐศาสตร์จำต้องถูกตรวจสอบอย่างถ่องแท้ ว่ามีปัจจัยในการพิจารณาครบถ้วนรอบด้านหรือไม่ มิใช่ละทิ้งคุณค่าความดีงาม ดังที่ปรากฏอยู่ในรูปของ ประชาธิปไตย ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ มาตรฐานการครองชีพ การตระหนักรู้ในตนเอง หรือเบียดเบียนทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ร่วมโลกด้วยกัน ทั้งที่อยู่ต่างถิ่นต่างที่ และคนรุ่นหลังที่ยังมิได้ถือกำเนิด เราจำต้องตระหนักว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งของมนุษย์ในการพัฒนาสังคม ต้องมองเห็นว่าทิศทางของการพัฒนานั้นจะนำเราไปสู่สังคมแบบใด

เขาได้ยกตัวอย่างคุณค่าที่อยู่ในศาสนา ในที่นี้คือ ศาสนาพุทธ ขึ้นมากล่าวถึงหนทางดำรงชีพอันชอบ เป็นทางสายกลาง เป็นสัมมาอาชีวะ ก่อตัวขึ้นมาเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อมและผู้อื่น คุณค่าทางจิตวิญญานเช่นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องสร้างขึ้น ด้วยการจัดระบบการศึกษาซึ่งปลูกฝังและระบบคุณค่าดีงามขึ้นมา มีจิตสำนึกในการบริโภคที่ก่อให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และมุ่งการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหา ทั้งนี้ต้องประกอบด้วยความเป็นมนุษย์ร่วมด้วยเสมอ

จากประสบการณ์ในการเดินทางที่อินเดีย และการเป็นที่ปรึกษารัฐบาลอินเดีย เขาได้เสนอความคิดในการพัฒนาเทคโนโลยีขนาดกลาง ซึ่งมีต้นทุนต่ำ และเหมาะสมกับสภาพปัญหาของประเทศยากจน ที่แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว เขากล่าวถึงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีขนาดกลาง ความคิดนี้แม้จะถูกปฏิเสธในทีแรกแต่ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในภายหลัง

แม้ในการทำธุรกิจเขาก็เสนอแนวคิด และมีส่วนร่วมในการก่อตั้งบริษัท ที่มิได้มุ่งหวังผลกำไรเป็นตัวเงิน ซึ่งมีเป้าหมายสี่ประการ คือ (๑) ทำธุรกิจโดยไม่ขาดทุน (๒) มีการพัฒนาคุณภาพสินค้าเสมอ (๓) ผู้ร่วมงานมีความสุขความพอใจในการทำงานมีการพัฒนาตนเอง และ (๔) มีจิตสำนึกทางสังคมและการเมือง โดยมีกรอบในการปฏิบัติ คือ บริษัทมีขนาดกลาง มีตำแหน่งงานราว ๓๕๐ คน เพื่อที่จะมองเห็นความคิดความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ถ้วนทั่ว

ชูมัคเคอร์ยืนยันว่า เราจำต้องเปลี่ยนทัศนะที่ว่า เงินตราหรือทุนเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เขาเสนอไม่ได้เป็นเพียงความคิดเลื่อนลอย หากแต่เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้
ในการพิเคราะห์ปัญหาอย่างรอบด้าน ได้ก่อตัวเป็นความคิด เรื่องการพัฒนาที่ไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์

วันนี้ ก็ได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง อิม ซัง อ๊ก จนถึงตอนอวสานก็ให้นึกขึ้นได้ว่าภาพยนตร์เกาหลีเรื่องนี้ได้ปลูกฝังค่านิยม ทางเศรษฐกิจที่ดีงามตามแนวเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ได้อย่างมีรสชาด จนยากจะหาที่ติ ค่านิยมที่ดีที่ผมได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้คือ

-ค่านิยมการดำเนินธุรกิจที่ผูติดอยู่กับจริยธรรมความรับผิืดชอบที่มีต่อสังคมและประชาชน

-ค่านิยมที่ปลูกฝั่งแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสไม่แอบอิงกับระบบเส้นสายหรือระบบมูลนาย

-ค่า นิยมที่ยึดมั่นในการทำงานด้วยความมุมานะพยายาม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้มิใช่จะเป็นสิ่งที่ได้มาง่าย ๆ ถนนแห่งความดีมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อะไรประมาณนั้น

-ค่า นิยมของการยึดมั่นในความดี แม้ว่าการกระทำความดีจะไม่ได้ผลตอบสนองเป็นสิ่งที่ดีในทุกครั้ง แต่สิ่งที่เราจะต้องยึดมั่นคือ ทำความดีเพื่อความดี ในที่สุดผลที่แท้จริงก็จะตอบสนองในคุณค่าของมันเอง

-ค่า นิยมที่ไม่ยึดมั่นในวัตถุนิยม ดังจะเห็นได้จากการดำเนินชีวิตของแม่และตัวอิม วัง อ๊กเอง ซึ่งในที่สุดก็ยินดีสละทุกอย่างเพื่อเข้าถึงความจริงอันว่างเปล่าแห่งสัจ จธรรมเชิงพุทธ วิถีชีวิตและการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ชี้ให้เห็นแนวทางการดำเนิน ชีวิตและการต่อสู้ของผู้คนและอาณาจักรโซซอน เพื่อความอยู่รอดและก้าวหน้าตามวิถีแห่งความพอเพียงโดยแ้ท้

นี่คือสิ่งที่ผมได้รับแล้วท่านหละคิดอย่างไร...........กับคุณค่าของปรัชญาตะวันออกที่ชาวเกาหลีนำเสนอต่อเรา

Credit :: http://www.oknation.net/blog/Mangtra/2008/04/13/entry-2
read more "อิม ซัง อ๊ก:ปรัชญาเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ"

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การวางแผนการเงินส่วนบุคคล Personal Financial

หลักสูตรการวางแผนการเงินส่วนบุคคล Personal Financial
1. TFPA โรงเรียนนักวางแผนการเงิน

ตำแหน่งงานการวางแผนการเงินส่วนบุคคล Personal Financial
1. การเงินส่วนบุคคล Personal Financial
2. ที่ปรึกษาการเงินส่วน บุคคล - บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด(มหาชน)
3. การจัดการเงินส่วนบุคคล -- เงินคำแนะนำส่วนตัวการจัดการ | Money

บทความดีๆ ของที่อื่นๆ
1. ดุลยภาพใหม่การเกษตรโลก (The New Normal of Global Agriculture)
2. 10 crazy business ideas that worked: FarmVille

Farming is hard. The hours are long, crop prices fluctuate wildly, and a couple of storms can ruin your season. So why would anyone accept the headaches and hassles of farming without the payoff of cultivating something tangible?

FarmVille is a real-time farm-simulation game developed by Zynga Game Network. The game allows Facebook members to manage a virtual farm by planting, growing and harvesting virtual crops and raising virtual livestock.

For some of the game's 80 million registered users, virtual farming appears to be surprisingly addictive, according to an article in The New York Times that quoted a woman who felt her husband was too absorbed in his FarmVille hobby. The anonymous woman blogged that she was pregnant and wrote: "I was starving . . . and he told me I'd have to wait a few more minutes so he could HARVEST HIS RASPBERRIES!"

Credit & Other Interesting Topics :: 10 crazy business ideas that worked: Surprising ideas that caught on - MSN Money

3. Zappos CEO Tony Hsieh Happy Making $36,000 A Year Working For Amazon
4. 5 คำแนะนำในการซื้อบ้านที่ถูกยึด
read more "การวางแผนการเงินส่วนบุคคล Personal Financial"