วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เลือก “พรรคเพื่อไทย” ได้ พพท. + พผท. + พคท. ? / โดย ไทยทน วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประชาชนเฝ้าติดตามวิธีทำงานของพรรคเพื่อไทยด้วยความ ฉงน แต่พฤติกรรมของพรรคมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเอาผู้ติดคุกด้วยต้องหาคดีก่อการร้ายมาสมัคร ส.ส. กรณีทวงสิทธิ์ดาวเทียมไทยให้สิงคโปร์ กรณีเศรษฐีด้วยระบบทุนผูกขาดนิยมและทุนโกงชาตินิยมกลับอ้างตัวเป็นตัวแทนคน จน ฯลฯ ทำให้เห็นภาพแห่งความเป็นจริงว่า พรรคเพื่อไทย = พพท. + พผท. + พคท. ?


1.พพท. คือ “พรรคเพื่อทักษิณ” : หากติดตามกันดู ก็จะพบว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ “เพื่อไทย” แต่กลับทำหน้าที่ “เพื่อทักษิณ” เสียมากกว่า

... ปมปัญหาเรื่องดาวเทียมไทยคม ว่าสัมปทานผูกขาดตกเป็นของสิงคโปร์ พพท. ไม่สนใจ สนใจเมื่อไทยจะขอทวงให้กลับมาเป็นของคนไทย ดาหน้ากันออกมาบอกว่า ดาวเทียมยังเป็นของไทย วงโคจรผูกขาดยังเป็นของไทย แต่ก็รู้ว่า ลักษณะสัญญาที่ทำไว้เป็น BTO คือ Build-Transfer-Operate คือ สร้าง โอนให้ก็จริง


แต่โอนสิทธิ์ให้ผู้ได้รับสัมปทานบริหารก็คือเจ้าของบริษัท ตั้งแต่ต้น จึงได้กำหนดให้รักษาความเป็นเจ้าของให้คนไทย ต่างชาติไม่ควรถือเกิน 25% แต่ทักษิณก็ย่ำข้ามรัฐธรรมนูญ (ฉบับ 40) ห้ามนายกฯถือหุ้น ก็ “ซุกหุ้น” ไว้กับลูกๆ คนใกล้ชิด แอมเพิลริช วินมาร์ค แล้วก็ใช้อำนาจรัฐเอื้อในการแก้ไขกฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ ก็เห็นภาพว่า เป็นพรรคที่ทำงาน “เพื่อทักษิณ” ไม่ใช่ “เพื่อไทย”


... ตั้งรัฐบาลโนมินี ก็ไปยินยอมจะยกพื้นที่แผ่นดินไทยบริเวณเขาพระวิหารให้เขมร จะทำให้เสียเอกราชบนผืนแผ่นดิน และทรัพย์สินในทะเล ตอนแรกก็คิดว่า ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่คนไทยจะมีใจเป็นอื่น แต่เมื่อเห็นวิธีเชื่อมความสัมพันธ์ส่วนตัว เหนือกว่าความรักชาติ ก็จะเห็นว่ารักกันถึงขั้นร่วมมือกัน จัดฉากใส่ร้ายรัฐบาลไทย สร้างความแตกแยกในอาเซียน ตัดสินให้วิศวกรไทยเข้าคุกถึง 7 ปี ในข้อหาที่ไม่เป็นธรรมกับวิศวกรไทยในเขมร แต่วิศวกรนั้น ก็ไม่เอารัฐบาลไทยช่วยสู้ความเลย เข้าฉากรับโทษ 7 ปี ให้พรรคเพื่อไทยขอพระราชทานอภัยโทษให้


ฉากสะดุดตรงที่ทางเขมรได้มีการพระราชทานอภัย ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะส่งหนังสือไปเสียด้วย และวิศวกรก็จับมือกับฮุนเซน ยิ้มแย้มอย่างสนิทสนม และในที่สุด อยากกลับไปทำงานเขมรเพราะวางใจได้มากกว่า...ฮาจริงๆ


จึงน่าตกใจว่า หลังจากได้รับสัมปทานโทรคมนาคมไป ก็ห่อของขวัญอย่างดี ขายให้สิงคโปร์เอาเงินเข้ากระเป๋า แล้วก็ห่อเขาพระวิหารเตรียมไปค้าขายกับเขมร ต่อไปจะเป็นอะไร ? กฟผ. ? ปตท. ? สุวรรณภูมินคร ? หากมัวแต่เป็นพรรค “เพื่อทักษิณ” อย่างนี้ อนาคตลูกหลานไทยเราจะเหลืออะไรหรือไม่ ??


2.พผท. คือ “พรรคเผาไทย” : บทบาท “เพื่อไทย” ไม่ได้ทำ แต่สิ่งที่ได้ทำ คือ “เผาไทย” เผายางรถยนต์ เผารถเมล์ เผาตึก เผาศาลากลาง เผาส่วนราชการ ฯลฯ จับยังไม่ได้ก็มักจะบอกว่า “รัฐบาลจัดฉาก มิเช่นนั้นก็ต้องเอามาเปิดเผย”


แต่หลักฐานก็เห็นชัดเจนว่า กลุ่ม นปช. เอายางมารอไว้ คนแถวราชประสงค์ก็เห็นมีการเตรียมถังแก๊สไว้ นักข่าวก็เคยนำเสนอก่อนการใช้ด้วย แล้วแกนนำยังประกาศบนเวทีหลายครั้ง ทั้งณัฐวุฒิ อริสมันต์ ซึ่งอ้างถึงจตุพรด้วย ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ถ้าเข้ามาทำร้ายประชาชนก็เผาให้ราบพนาสูร” “ตกใจก็อาจวิ่งไปเอากระเป๋า เอาทรัพย์สิน หรือเผา” ฯลฯ เมื่อยุให้คนโกรธมากๆ และแนะให้ทำผิด และเตรียมอุปกรณ์ให้ จะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หรือไม่เกี่ยวได้อย่างไร ?


พอจับได้อย่างกรณีระเบิดพรรคภูมิใจไทย ก็ถึงยอมจำนน แต่ก็กลับอ้างว่า “ทำเอง เพราะไม่พอใจความเป็น 2 มาตรฐาน” แต่จะว่าไป ความเป็น 2 มาตรฐานระหว่าง ผู้ก่อการร้าย กับ คนมาชุมนุมโดยสันติปราศจากอาวุธ ก็ถูกต้องแล้ว เพราะไม่ว่า คนเสื้อแดง หรือคนเสื้อเหลือง ที่มาชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ รัฐบาลที่ดีก็ไม่ทำร้ายเป็น “มาตรฐานเดียวกัน” อยู่แล้ว ทหารจึงได้ปล่อยประชาชน 3,650 คนกลับภูมิลำเนา


ทหารไทยจะไปทำร้ายประชาชนทำไม ในเมื่อเขาเป็นทหารของคนไทย มีหัวใจไทย และปกป้องประชาชนชาวไทยอย่างเต็มเปี่ยม


แต่แกนนำ และกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัวกับคนเสื้อแดง มีการยิง M79 ยิงระเบิดเพลิง ทำร้ายประชาชนบริสุทธิ์ในชุมชนต่างๆมากมาย และกลับมาใช้พี่น้องเสื้อแดงเป็นโล่มนุษย์อย่างโหดร้าย หากแกนนำคนเสื้อแดงจริงใจกับผู้มาชุมนุมให้เป็นไปด้วยความสงบ เมื่อเห็นว่า มีคนกลุ่มอื่นมาแฝง เผายาง ยิงบั้งไฟ ยิงระเบิดเพลิง ยิง M79 ต้องบอกกับผู้ชุมนุมตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า “พวกนั้นไม่ใช่พวกเรา อย่าไปเข้าใกล้ อย่าเป็นเครื่องมือไปปกป้องผู้ก่อการร้ายเหล่านั้น เรามาอย่างสงบสันติ”


แต่เปล่าเลย กลับพูดชัดว่า “วันนี้ เรามีครบแก้ว 3 ประการแล้ว คือ มวลชน พรรคการเมือง และกองกำลังไม่ทราบฝ่าย” และอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืนตลอดมา แม้ตำรวจจับตัวแกนนำอย่างอริสมันต์ได้ ก็ยังต้องวางปืน ก้มคารวะ และถอยมาเมื่อเจอกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายอันยิ่งใหญ่ของท่าน !!


กลุ่มก่อการร้ายเช่นนี้ ด้วยมาตรฐานเดียวกัน ก็ต้องได้รับผลที่ต่างกันดูเหมือน 2 มาตรฐานกับคนเสื้อแดงที่บริสุทธิ์ ซึ่งก็ย่อมยุติธรรมแล้วอย่างแท้จริง


จะว่าไป คนที่ 2 มาตรฐานตัวจริง ก็คือทักษิณ ก่อนความรุนแรง จะต้องส่งภรรยา และลูกออกต่างประเทศไปก่อนเลย และยังต้องโกหกคนเสื้อแดงด้วยว่า ไม่ใช่หนีความเสี่ยงตายนะ “ไปนิทรรศการ จองไว้นานแล้ว” แล้วก็หายไปตลอดเวลาที่ร้อนแรง หรือ “ไปเยี่ยมพ่อปางตาย” แต่ก็ไปดูหนังกันที่เมืองคานส์ ช็อปปิ้งที่ปารีส 2 มาตรฐานแท้ๆ สำหรับชีวิตคนเสื้อแดงนั้น ทักษิณยอมเสียสละพลีชีพคนเสื้อแดงให้เพื่อปกป้องตนเองได้ แต่ครอบครัวของตัวก็คงไม่พร้อมจะเสียสละให้ได้ !!


ตอนแรกก็ยังเห็นในแง่ดีว่า พรรคการเมือง กับกลุ่มก่อการร้าย อาจจะมีการดำเนินโดยกลุ่มที่มีระดับความคิดแตกต่างกัน แต่ที่ไหนได้ ในที่สุด ก็แสดงตัวชัดเจนว่า เป็นการเคลื่อนไหวเป็นเนื้อเดียวกัน


เมื่อชุมนุมเสร็จ พผท...เอ๊ย...พพท. ก็อภิปรายในสภาฯ ปกป้องกลุ่มผู้เผาบ้านเผาเมือง เมื่อลงเลือกตั้ง แล้วก็เลือกเอาผู้ต้องหาก่อการร้ายในคุกคือ นาย ก่อแก้ว พิกุลทอง มาสมัคร ทั้งที่ก็เป็นแกนนำร่วมบนเวที นปช.เผาไทยมาตลอด สะท้อนความจริงที่เป็นไปได้ 2 กรณี คือ


กรณีที่ 1 พรรคเพื่อไทย ไร้คนมีฝีมือ สะอาด บริสุทธิ์ ต่อสู้ทางการเมืองด้วยวิถีทางทางการเมืองแล้ว หรือหลายคนละอายใจ นึกไม่ถึงว่า สาวกลิทธิทักษิณจะทำเลวถึงขั้นเอาหลอกเอาประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ทำร้ายพี่น้องคนไทยร่วมชาติในชุมชนต่างๆและเผาหลายอาคารหลายพื้นที่ ทำร้ายเศรษฐกิจไทยจนเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน จึงไม่อาจจะเข้ารับเลือกตั้งกับพรรคเพื่อไทยได้อีกต่อไป เหลือแต่พวกเผาบ้านเผาเมือง


ก็อาจเป็นได้ จึงได้เห็นว่า มีการเสนอประเด็นอภิปรายกระทรวงการคลัง แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นอภิปราย ก็คงจนด้วยความจริงตามที่คุณกรณ์ รัฐมนตรีคลังต้องขอชี้แจงประเด็นว่า เศรษฐกิจโลกวิกฤตหนักตั้งแต่ปลาย 2008 และทุกประเทศก็ร่วมกันอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วยการกู้หนี้


แต่ไทยเราก็กู้หนี้น้อยเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศ ซึ่งในยุโรป หลายประเทศมีหนี้เกิน 100% ของจีดีพี แต่ของเราก็กู้อีกไม่มาก และหนี้รวมก็อยู่ในระดับไม่ถึง 50% ของจีดีพี ไตรมาสแรกของปีนี้ จีดีพีของไทยก็เติบโตถึง 12% สูงเป็น 1 ใน 5 ของโลก ขณะที่ยอดคนว่างงานในสหรัฐฯยังสูงใกล้ 10% แต่ของไทย (ทั้งๆที่ลัทธิทักษิณจัดสถานการณ์กลั่นแกล้ง) ก็มีคนว่างงานเพียง 1% เท่านั้น


รัฐมนตรีคลังของไทยจึงได้รับการเลือกให้ได้รับรางวัล “รัฐมนตรีคลังแห่งปี” เป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยอย่างที่คนไทยน่าจะได้ภูมิใจร่วมกันจริงๆ


กรณีที่ 2 พรรคเพื่อไทย มีคนมีฝีมือ แต่ยังตั้งใจ “เผาไทย” ด้วยความเป็นนักจัดฉาก อยากให้ชาวบ้านเห็นว่า เป็นนักรบโอท็อป ใช้แห ใช้หนังยาง ใช้ยางรถยนต์ ใช้ไม้ไผ่ ... แต่จริงแล้ว ยังแฝงด้วย M79 ปืนจริง อาวุธสงครามมากมาย ... เรื่องเลือกตั้งก็เช่นกัน นี่ไม่ใช่ระดับหัวหน้าพรรคที่จะมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี ที่พรรคต้องเลือกคนเดียวมายกชู แต่เป็นการเลือก สส. เท่านั้น ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็น่าจะมี สส. สอบตกในพื้นที่ หรือพื้นที่ข้างเคียงมิใช่หรือ ที่จะมาแข่งขัน


แต่เมื่อไม่อยากแข่งขัน ก็เพียงแต่ต้องการจัดฉาก “เผาไทย” ด้วยการจะไปสร้างความโกรธว่า กลั่นแกล้งผู้สมัครแข่งขันฝ่ายตรงข้าม (ทั้งที่เอาคนอื่นก็ได้) ไปโพนทะนาสร้างภาพเท็จกับชาวโลกว่า “ไทยไม่เป็นธรรมต่อผู้แข่งขันตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการกลั่นแกล้งให้คู่ แข่งติดคุก” ต่อไป ใช่หรือไม่ ?


ไทยทนเชื่อว่า อย่างน้อยสื่อมวลชนไทยเราเข้าใจดีว่า พพท. ยังเลือกผู้สมัครรายอื่นได้มากมาย แต่ต้องการ “ภาพเท็จ” นี้นี่เอง จึงได้เอาคนสวมชุดนักโทษมาสมัครรับเลือกตั้ง และเราก็จะไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้ “ความเท็จ” เผยแพร่ขยายกว้างออกไปราวกับเรื่องจริงจนทำร้ายประเทศไทยในสายตาต่างประเทศ หรือทำให้คนไทยโกรธเกลียดทำร้ายกันอีกต่อไป


3.พคท. คือ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัฐไทยใหม่” : หลายๆคนที่เคยร่วม พคท. คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก็ร่วมด้วยหัวใจใสๆ เพื่อคนไทย ซึ่งในความเป็นจริง แนวความคิด “สงครามชนชั้น” “คนรวยที่เขารวย เราจึงยากจน” เป็นชุดความคิดที่เป็นอันตรายต่อทุกสังคม โดยความคิดแบบคอมมิวนิสต์สุดขั้วนั้น ก็บรรลุเป้าหมายในหลายประเทศ คือ ฐานะเท่าเทียมกัน ไม่เหลื่อมล้ำ...จนเหมือนกันหมด หมอเวียดนามยังต้องทำงานขุดดินสัปดาห์ละครั้ง ผู้เป็นครูก็ต้องไปขุดดินทำการเกษตรในค่ายคอมมิวนิสต์ของจีน


โลกคอมมิวนิสต์ล้มเหลวเชิงเศรษฐกิจอย่างสิ้นเชิง ทั้งรัสเซีย และ จีน จึงเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มกลับมามีแนวความคิด เสรีนิยม หรือ ทุนนิยมมากขึ้น ประเทศที่แตกกัน ก็จะเห็นว่าส่วนที่เป็นคอมมิวนิสต์จะเจริญช้ากว่า เกาหลีเหนือเจริญช้ากว่าเกาหลีใต้ เวียดนามเหนือก็ช้ากว่าเวียดนามใต้ ฯลฯ


และผู้เอาความคิด พคท. มาหนุนในช่วงนี้กลับเป็นทักษิณ ซึ่งมิใช่เป็นตัวแทนคนยากจน แต่เป็นคนที่โกงเก่งที่สุดในแผ่นดิน เอามาบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของคนจนที่ต่อสู้ก็จะทำให้คนจนเสียศักดิ์ศรี เพราะคนจนทั่วๆไปก็มีเกียรติภูมิ ไม่ต้องการโกงใคร โดยเฉพาะจะไม่โกงชาติเหมือนทักษิณ


ทักษิณทำธุรกิจตรงไปตรงมาก็แข่งไม่ได้ อย่างชินอินเตอร์ฯแข่งในต่างประเทศก็เจ๊งไม่เป็นท่า ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในดูไบก็ช่วงก่อนลูกโป่งแตก เหมืองเพชรก็ไม่มีการดำเนินการเพราะมีเอาไว้แค่ฟอกเงิน ฯลฯ รวยได้เฉพาะเมื่อใช้เงินซื้ออำนาจ และเอาอำนาจรัฐมาเอื้อประโยชน์ส่วนตัว เป็น “ทุนผูกขาดนิยม” หรือ “ทุนโกงชาตินิยม” เท่านั้น


ความคิดแบบคอมมิวนิสต์ที่มีผู้อยู่เบื้องหลัง อย่างทักษิณจึงไม่ใช่ พคท.อย่างในอดีต แต่เป็นเพียง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัฐไทยใหม่” อันเป็นหน้าฉากของ “ระบบทุนผูกขาดนิยม” นั่นเอง


ความจริง ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เราจึงเห็นธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กเติบโตขึ้นมากมาย ประเทศไทยจึงก้าวหน้ากว่าหลายประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์มาก่อนไม่ว่าจะเป็น เวียดนามเหนือ เกาหลีเหนือ เขมร ฯลฯ ชาวจีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ก็ยากจนมานาน แต่ปัจจุบัน เริ่มทยอยมีฐานะดีขึ้น ก็เพราะกลับมาเป็นเสรีนิยม หรือ ทุนนิยม ชาวจีนก็เริ่มมีกลุ่มคนที่รวยล้ำหน้าจนเกิด “ความเหลื่อมล้ำ” เป็นธรรมดา


สังคมไทยมีคนที่เคยมีฐานะยากจน และเติบโตขึ้นจนฐานะปานกลางหรือร่ำรวยเป็นล้านๆคน และก็มีความพยายามที่ต่อเนื่องมาให้มีการศึกษา มีการงานที่ดีตลอดมาหลายๆรัฐบาล

โดยในช่วงนี้ เราก็กำลังจะมีการเพิ่มเติมเรื่องสวัสดิการการรักษาพยาบาลฟรี การศึกษาฟรี เบี้ยคนชรา โฉนดชุมชน แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ การประกันรายได้การทำการเกษตร ฯลฯ ก็น่าจะช่วยเหลือผู้มีโอกาสน้อยกว่า ช่วยปฏิรูปเพื่อประเทศอย่างรอบด้าน และน่าจะทำให้ทุกคนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ประโยชน์ทุกอย่างนั้น ก็มาจากภาษีประชาชน เป็นโครงสร้างที่คนรวย จ่ายภาษีมาก ได้ช่วยเหลือคนที่ยากจนกว่าด้วยความรักกันฉันพี่น้องอย่างแท้จริง


ไม่ควรที่ใครจะ “ปล้นด้วยปาก” เอาการใช้เงินภาษีประชาชนไปเป็นบุญคุณส่วนตัวอีกต่อไป แล้วยังสื่อความอย่างไม่รับผิดชอบ ให้คนจนรังเกียจคนรวย ทั้งที่คนจนได้รับการช่วยเหลืออุ้มชูจากภาษีที่จ่ายมากกว่าโดยคนรวย ซึ่งพี่น้องไทยพึงรักและช่วยเหลือกัน เพื่ออ้างเป็นบุญคุณส่วนตัวของคนๆเดียว


เมื่อวิเคราะห์จากความจริงอย่างรอบด้าน จึงสรุปได้ว่า พรรคเพื่อไทย จึงน่าจะมีชื่อเต็มๆว่า “พคท-ผท-พท” คือ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัฐไทยใหม่ - เผาไทย - เพื่อทักษิณ” มากกว่า และสื่อมวลชนหัวใจไทย ก็คงไม่พร้อมจะตกเป็นเครื่องมือ ช่วยเผาไทย หรือ ทำให้คนไทยเกลียดคนไทย จนอาจมีส่วนร่วมให้คนไทยทำร้ายคนไทยกันเองอีกต่อไปครับ


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277700371&grpid&catid=02
read more "เลือก “พรรคเพื่อไทย” ได้ พพท. + พผท. + พคท. ? / โดย ไทยทน วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553"

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ส่องกล้องมองไกล“ข้อดี-ข้อเสีย” จะซื้อหรือยึด “ดาวเทียมไทยคม” / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2553

มีข้อถกเถียงกันมากหลังจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับว่ามีแนวคิดที่จะซื้อดาวเทียมไทยคมที่ถูก ทักษิณ ชินวัตร ปล้นไปเป็นสมบัติของสิงคโปร์กลับมาเป็นสมบัติชาติอีกครั้งว่า รัฐควรเสียเงินซื้อหรือจะยึดคืนมาโดยไม่ต้องจ่ายตังค์ หรือว่าจะยิงดาวเทียมดวงใหม่ไปทดแทนโดยไม่ต้องแคร์กับดาวดวงเก่าที่กำลังจะ หมดอายุสัมปทานในอีก 11 ปีข้างหน้า

ถือเป็นเรื่องที่น่าศึกษาถึงผลดี ผลเสียว่าแนวทางใดจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับบ้านเมือง

ฝ่ายที่เห็นว่าบริษัท ไทยคม จำกัด(มหาชน)ชื่อเดิม ชินแซทเทลไลท์ กระทำผิดกฎหมายจนเป็นเหตุให้ยึดคืนดาวเทียมได้นั้น มีเหตุผลดังนี้

1) ไม่มีดาวเทียมสำรองให้กับดาวเทียมไทยคม 3

2) ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิพากษายึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้านบาท มีเนื้อหาบางตอนวินิจฉัยถึงดาวเทียมไอพีสตาร์ว่าเป็นดาวเทียมที่ยังไม่ได้ รับอนุญาต และไม่สามารถอ้างว่าเป็นดาวเทียมสำรองได้ เนื่องจากไม่สามารถทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 ได้ เพราะลักษณะการใช้งานและคลื่นความถี่ต่างกัน ดาวเทียมไทยคม 3 ใช้ในการถ่ายทอดโทรทัศน์ผ่านความถี่ในย่าน c –band และ ku-band ขณะที่ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมที่อออกแบบมาเพื่อการใช้งานทางอินเตอร์ เน็ตไร้สาย ในย่าน ku-band จึงไม่มี c-band ที่ใช้งานในการถ่ายทอดโทรทัศน์เฉกเช่น ดาวเทียมไทยคม 3 ได้

3) การที่กระทรวงไอซีทีอนุญาตให้บริษัทชินคอร์ปลดสัดส่วนการถือครองหุ้นใน บริษัทไทยคมต่ำกว่าที่สัญญาสัมปทานระบุไว้ คือที่ 51%

4) เงินประกันจำนวน 6.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ได้จากระบบไฟฟ้าที่ขัดข้องทำให้อายุการใช้งานของดาวเทียมไทยคม 3 ลดน้อยลง แทนที่จะคืนให้รัฐ กลับนำไปใช้ในการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมดวงอื่นให้กับลูกค้า

5) กรณีที่ธนาคาส่งออกและนำเข้าให้เงินกู้รัฐบาลพม่าเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ใน กับดาวเทียมไอพีสตาร์

6) กรณีที่บริษัทไทยคมละเมิด ไม่ปฏิบัติตาม พรก ฉุกเฉิน ไม่ตัดสัญญาณการออกอากาศของพีทีวี

ทั้งหกข้อที่กล่าวมาเป็นประเด็นที่สามารถยกเลิกสัญญาสัมปทานกับ บริษัทไทยคมได้จริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะหากพิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่าทางบริษัทสามารถโต้แย้งทางกฎหมายได้ว่าที่ ผ่านมาเขาได้ปฏิบัติทุกอย่างภายใต้ข้อตกลงกับรัฐบาลในขณะนั้น โดยมิได้บิดพลิ้วแต่อย่างใดทุกอย่างที่ทำก็ล้วนแต่ได้รับความเห็นชอบจาก รัฐบาลทั้งสิ้น

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นข้อตกลงกับ รัฐบาลเก่า จะเป็นธรรมกับบริษัทเอกชนหรือไม่ และหากจะมีผู้กระทำความผิดก็ต้องโทษว่า เป็นฝ่ายรัฐในขณะนั้นที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนจนทำให้มีการแปรทรัพยากรชาติไป เป็นสมบัติส่วนตัว

ในทางนี้ บริษัทเอกชนคงสู้คดีแบบหัวชนฝาจนถึง3ศาลอย่างแน่นอน โดยการสู้คดีก็อาจใช้เวลาหลายสิบปีหรืออาจจะมากกว่าอายุสัมปทานดาวเทียมที่ เหลืออยู่อีก 11 ปีด้วยซ้ำ

คำถามคือระหว่างการสู้คดีที่ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะได้ข้อยุติ จะสามารถตอบโจทย์ที่รัฐต้องการแก้ปัญหาด้านความมั่นคงได้หรือไม่ และการสู้คดีระหว่างรัฐกับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะส่งผล ต่อมิติด้านการลงทุนและความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสิงคโปร์หรือไม่

เรื่องเอาคืนดาวเทียมไทยคม สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธาน ทีดีอาร์ไอ สนับสนุนให้ซื้อมากกว่ายึด ด้วยเหตุผลที่ว่า หากยึดคืนจะส่งผลกระทบโดยรวมต่อการลงทุนของต่างชาติ

ดังนั้น จะดีกว่าหรือไม่ หากรัฐบาลจะใช้ข้อได้เปรียบในเรื่องข้อกฎหมายไปต่อรองเพื่อลดราคาดาวเทียม ไทยคมที่ต้องซื้อคืน แทนที่จะไปสู้กันในชั้นศาล ที่อาจต้องสู้กันถึง3ศาลและอาจกินระยะเวลาเป็นสิบปี ขณะเดียวกันก็ต้องไล่บี้ดำเนินคดีอาญากับนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการเอื้อประโยชน์จนเป็นเหตุให้ชาติต้องสูญ เสียรายได้มหาศาล จากการทุจริตเชิงนโยบายในยุคที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจให้ถึงที่สุด เพื่อให้บ้านเมืองปกครองโดยหลักนิติรัฐอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้แล้วกันไปโดยไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิด บรรทัดฐานที่ถูกต้องในสังคม

ส่วนแนวทางที่ว่าจะยิงดาวเทียมลูกใหม่ขึ้นไปทดแทนเลยจะดี หรือไม่ ก็น่าพิจารณา เพราะเวลาที่เราพูดถึงการซื้อดาวเทียมคืนกลับคืนมา คนมักจะคิดว่าเฉพาะดาวเทียมที่ลอยอยู่บนฟ้า แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น สถานี อัพลิงค์ดาวเทียม(ลาดหลุมแก้ว) สถานีควบคุมวงโคจรดาวเทียม (นนทบุรี) และเหนือสิ่งอื่นใด การจะยิงดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรนั้นต้องใช้ระยะเวลา กว่าจะสั่งผลิต กว่าจะสร้างเสร็จ ต้องกินเวลาเป็นแรมปี

ไม่สามารถไปซื้อในร้านสะดวกซื้อได้ทันที ไหนต้องไปยิงสู่วงโคจร ในเกาะโพ้นทะเลอันแสนไกล ซึ่งมีสถานที่ไม่กี่แห่งที่ทำได้ และต้องกำหนดวันที่เวลาที่จะยิงล่วงหน้า ถ้าพลาดวันนั้นไปก็ต้องเว้นไปอีกพักหนึ่ง ไม่ใช่ยิงได้ในวันรุ่งขึ้น สรุปคือเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร

ทีนี้ เรามาพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับบริษัท ไทยคม จำกัด(มหาชน) กันดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร ดาวเทียมที่อยู่ในสภาพที่ยังใช้งานได้มีอยู่สองดวง คือ ไทยคม 5 และดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งเหลืออายุการใช้งาน 10 และ 11ปีตามลำดับ

นอกจากธุรกิจดาวเทียมแล้ว บริษัทไทยคมยังยังถือหุ้นในบริษัทย่อยอีกหลายบริษัท เช่น บริษัท ดีทีวี ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ซีเอส ล๊อกซ์อินโฟ อีกทอด นอกจากนี้แล้วยังถือหุ้นในบริษัทเชนนินตัน ซึ่งถือหุ้นในบริษัทลาวเทเลคอม และบริษัท เอมโฟนในเขมรอีกทอดหนึ่ง รายได้หลักและผลกำไรมาจากดาวเทียมไทยคม และธุรกิจมือถือในลาวและเขมร

ขณะที่ผลขาดทุนส่วนใหญ่มาจากดาวเทียมไอพีสตาร์ เพราะจนถึงปัจจุบัน การที่ดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่สามารถเปิดตลาดที่ประเทศอินเดียได้ตามกำหนดเวลา เดิม ทำให้สูญเสียลูกค้าทั้งปัจจุบันและอนาคตไป จึงมีลูกค้าที่ใช้บริการดาวเทียมไอพีสตาร์เพียงแค่ 30% ของยอดเต็ม ที่ให้บริการได้

ขณะที่กองทุนเทมาเส็ก ก็ไม่ได้สนใจที่จะลงทุนเพิ่มในธุรกิจดาวเทียมของบริษัทไทยคม จึงไม่มีการยิงดาวเทียมเพื่อไปทดแทนดาวเทียมอีกสองดวงที่ได้หมดอายุขัยไป แล้ว คือดาวเทียมไทยคม 1 A และ 2 และไม่มีการยิงดาวเทียมสำรองให้กับดาวเทียมไทยคม 5 จนทำให้ลูกค้าหนีไปใช้บริการกับดาวเทียมของประเทศอื่นในละแวกนี้แทน

ดังนั้นเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะเห็นได้ชัดว่าธุรกิจดาวเทียมของบริษัทไทยคมแทบจะไม่มีอนาคตภายใต้เจ้าของ ที่ชื่อเทมาเส็ก เพราะนับวันก็จะเหี่ยวลงไปเรื่อย ๆ จนแฟบ

ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เทมาเส็กจะรีบตอบรับข้อเสนอที่รัฐบาลไทยจะซื้อคืนดาว เทียมกลับมาเป็นสมบัติของประเทศอีกครั้ง

ถ้าวิเคราะห์ราคาที่เหมาะสมว่าควรอยู่ที่ตัวเลขเท่าใด ในฐานะผู้บริหารชินแซทที่เป็น “คนไทยหัวใจสิงคโปร์”บางคนก็ออกมาเคาะว่าสูงถึงหลักหมื่นล้านบาท บางคนประเมินว่าอาจจะอยู่ที่ตัวเลขประมาณห้าพันล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้จะถูกต้องหรือไม่เพราะในข้อเท็จจริงภายใต้สมมติฐานที่รัฐบาล ไทยจะซื้อคืนเฉพาะธุรกิจดาวเทียม ซึ่งรวมไปถึงสิทธิในการใช้สถานีอัพลิงค์และสถานีควบคุมวงจรดาวเทียม แต่ไม่รวม ดาวเทียมไอพีสตาร์ เพราะต้องถือว่าเป็นดาวเทียมเถื่อนตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

โดยเมื่อนำโจทย์เหล่านี้ไปถามผู้เชี่ยวชาญด้านวาณิชยธนกิจแล้ว ใส่ตัวเลขลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ กดปุ่ม คำนวนมูลค่าทรัพย์สินดู ผู้เชี่ยวชาญฟันธงตรงกันว่า

รัฐบาลน่าจะใช้เงินทั้งสิ้นไม่กี่ร้อยล้านบาทในการซื้อกิจการดาว เทียม

หากตัวเลขนี้เป็นจริงและเทมาเส็กยินดีที่จะขายดาวเทียมคืนใน ราคาหลักร้อยล้านบาท คงพอมีคำตอบแล้วว่า ระหว่างซื้อกับยึดคืนอะไรจะเป็นประโยชน์ต่อชาติมากกว่ากัน

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000083265
read more "ส่องกล้องมองไกล“ข้อดี-ข้อเสีย” จะซื้อหรือยึด “ดาวเทียมไทยคม” / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2553"

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เตือนเสียค่าโง่'ไทยคม'! / ไทยโพสต์ - 16 มิถุนายน 2553

"อภิสิทธิ์" บอกไม่ง่ายซื้อคืนไทยคม ชี้ยังมีเรื่องสลับซับซ้อนพอสมควร โยน "คลัง-ไอซีที" หาแนวทาง "กรณ์" ขอพูดน้อย อ้างพล่ามมากส่งผลต่อราคาหุ้น ต้นทุนพุ่ง "ศิริโชค" เจื้อยแจ้วบอกเป็นนโยบายตั้งแต่อยู่ฝ่ายค้าน เทมาเส็กก็ไม่ขัดขวาง

เด็ก ปชป.แนะสาง 7 ข้อสงสัยก่อนลงทุน เปรียบเหมือน "นารายณ์บรรทมสินธุ์" เป็นสมบัติชาติต้องทวงคืน ลั่นหากไม่ทำ

รัฐบาลนี้ก็หมดสิทธิ์แน่ "นักวิชาการ" เตือนตรองให้ดีก่อนเสียค่าโง่
"เรื่องดาวเทียมไทยคมเป็นเรื่องที่เราได้เห็นปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคง และเป็นสิ่งหนึ่งในช่วงที่ขายไปก็กระทบ

กระเทือนต่อความรู้สึกคนไทยพอสมควร เพราะฉะนั้นเป็นเพียงการบอกว่า พูดง่ายๆ ถ้ากลับมาเป็นของคนไทยก็จะเป็นเรื่องดี

แต่ยังไม่ได้พูดถึงวิธีการจะเป็นอย่างไร แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้

สัมภาษณ์ยืนยันอีกเมื่อวันอังคาร ในการซื้อคืนดาวเทียมไทยคมจากกองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์
นายอภิสิทธิ์ยังยืนยันว่า ทุกอย่างจะดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่แล้ว

ซึ่งยังไม่ถึงขั้นที่จะซื้อขายหุ้นในตลาด ตอนนี้เป็นเพียงการชี้แจงดำเนินการของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเป็นอย่างไร

เพราะบริษัทค่อนข้างไม่ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ส่วนใครได้ประโยชน์และได้มาโดยมิชอบจากเรื่องนี้ ก็สามารถดำเนินการ

ตามกฎหมายได้
นายกฯ ยังปฏิเสธถึงท่าทีของเทมาเส็กในการขายไทยคมคืน โดยระบุว่า ต้องไปถามทางนายกรณ์ จาติกวณิช

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีหลายเรื่องที่ยังพัวพันกันอยู่ ทั้ง

เรื่องคดีหรือคำวินิจฉัยของศาล ยังมีความสลับซับซ้อนพอสมควร
"รัฐมนตรีคลังกำลังคุยอยู่กับหลายคนที่เกี่ยวข้อง และเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังและกระทรวงเทคโนโลยี

สารสนเทศฯ (ไอซีที) จะพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร" นายกฯ กล่าวย้ำ
ในขณะที่นายศิริโชค คนสนิท ก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวว่ามาจากรัฐบาล โดยชี้แจงว่าข่าวนี้มาจากหนังสือพิมพ์ต่าง

ประเทศฉบับหนึ่งสัมภาษณ์ผู้บริหารเทมาเส็ก ซึ่งได้เล่าว่าตนเองและนายกรณ์ได้เดินทางไปสิงคโปร์เมื่อเดือนเมษายน จากนั้น

ก็มีสื่อต่างชาติ 2 ฉบับ คือ บลูมเบิร์ก และรอยเตอร์ มาสัมภาษณ์ต่อ ซึ่งก็ได้ยืนยันว่าเดินทางไปจริง จึงไม่ใช่ข่าวมาจากรัฐบาล

เพราะถ้ามาจากรัฐบาลก็ต้องออกมาตั้งแต่ 2 เดือนที่ผ่านมาแล้ว
นายศิริโชคยอมรับว่า ในการไปสิงคโปร์ได้เกริ่นเรื่องขอซื้อคืน และปัจจุบันจะต่อยอดจากการไปพูดคุยเบื้องต้น

ส่วนจะซื้อแบบไหนนั้นมีหลายวิธี จะซื้อเฉพาะธุรกิจดาวเทียมหรือทั้งบริษัทไทยคม ก็อยู่ที่กระทรวงการคลังต้องหารือกับไอซีที

ทั้งในแง่การลงทุนและกฎหมาย
"เทมาเส็กบอกชัดเจนว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเขาก็ยินดีรับข้อเสนอ เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่

ของกระทรวงการคลังที่ต้องไปติดตามเรื่องนี้" นายศิริโชคกล่าวถึงการตอบรับของเทมาเส็ก
เมื่อถามว่า จะซื้อดาวเทียมหรือกิจการทั้งหมด นายศิริโชคระบุว่า รัฐบาลอยากได้ดาวเทียม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ

บริษัทไทยคม และยังมีธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจโทรศัพท์มือถือที่ลาว ธุรกิจอินเทอร์เน็ต จึงต้องดูวิธีการว่าถ้าจะซื้อเฉพาะดาวเทียม

จะทำอย่างไร ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของบริษัทวาณิชธนกิจเข้ามาดูด้วย ซึ่งการคำนวณราคาก็ต้องดูว่าดาวเทียมใช้งาน

ได้มีกี่ดวง อายุสัมปทานเหลืออีกกี่ปี ลูกค้ามีกี่ราย มีทรัพย์สินอะไรบ้าง ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนนั้นต้องมีข้อตกลงก่อนว่าสรุป

แล้วจะลงทุนในรูปแบบใด
เขายังไม่สามารถยืนยันได้ถึงแนวทางการซื้อดาวเทียมคืน โดยกล่าวว่า ไม่สามารถประเมินมูลค่าการซื้อขายเฉพาะ

ดาวเทียมได้ เนื่องจากต้องพิจารณาว่าจะซื้อเฉพาะดาวเทียมไทยคม 5 หรือรวมดาวเทียมไอพีสตาร์ (ดาวเทียมไทยคม 4 )

ซึ่งศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระบุว่าเป็นดาวเทียมที่ไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นเวลาไปคำนวณต้องมีหลายตุ๊กตา เช่น

ดาวเทียมไทยคม 5 หรือดาวเทียมไทยคม 5 บวกดาวเทียมไอพีสตาร์ หรือดาวเทียมไทยคม 5 บวกดาวเทียมไอพีสตาร์และ

ต่ออายุสัมปทาน
"รูปแบบการซื้อก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะซื้อทั้งบริษัทไทยคม หรือซื้อเฉพาะธุรกิจดาวเทียม หรือว่าซื้อทั้งบริษัทมาก่อน

แล้วขายในส่วนที่ไม่เกี่ยวดาวเทียมออกมีรูปแบบหลายอย่าง เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่ต้องดูว่ารูปแบบไหนเหมาะสม

ที่สุดสำหรับคนไทย" นายศิริโชคกล่าว
ซักว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะได้ดาวเทียมไทยคมโดยไม่ต้องเสียเงิน เนื่องจากมีการกระทำผิดกฎหมายหลาย

ส่วน นายศิริโชคตอบว่า เป็นไปได้ และต้องทำคู่ขนานกันไป กระทรวงการคลังต้องไปดูรูปแบบการลงทุน ส่วนไอซีทีต้องดู

ส่วนการละเมิดกฎหมาย ซึ่งเทมาเส็กก็ต้องสู้เต็มที่อยู่แล้ว ต้องสู้กัน 3 ศาล ตั้งแต่ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ถึงฎีกา ก็อาจกินเวลา

รัฐบาลก็ต้องคำนวณว่าคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดยังไม่ชัดเจน
สำหรับเรื่องที่อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น นายศิริโชคกล่าวว่า ต้องระมัดระวังหากไปยกเลิกสัญญา

ซึ่งเป็นอีกมติที่รัฐบาลต้องคิด เพราะเราใช้สิงคโปร์เป็นฐานส่งออกพอสมควร จึงต้องระมัดระวัง แต่เป็นความตั้งใจของรัฐบาล

ตั้งแต่เป็นฝ่ายค้าน ว่าดาวเทียมไทยคมควรเป็นของคนไทย วันนี้เราพยายามจะสานต่ออุดมการณ์และแนวคิดนี้
"ไม่ใช่ แต่เหตุการณ์นั้นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เรายิ่งเชื่อว่าการที่ไทยคมเป็นของต่างชาติ ย่อมจะมีผลกระทบ

ต่อความมั่นคงของประเทศ" เขาตอบคำถามถึงเหตุผลในการซื้อเกี่ยวกับกรณีสถานพีเพิลแชนแนลหรือไม่
ด้านนายกรณ์ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ได้มอบหมายให้กระทรวงหาวิธีซื้อดาวเทียมไทยคมคืนจากเทมาเส็ก แต่วิธีการรูป

แบบอยู่ระหว่างพิจารณา ซึ่งได้หารือเบื้องต้นกับเทมาเส็กแล้ว แต่ยังไม่ลงลึกในรายละเอียด ส่วนวิธีการจะซื้อโดยให้รัฐ

วิสาหกิจไปซื้อ หรือให้คนไทยเข้าไปซื้อหุ้นโดยตรงก็ถือว่า เป็นของคนไทยทุกคนอยู่แล้ว โดยรัฐบาลสนใจเฉพาะธุรกิจดาว

เทียมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับธุรกิจคมนาคม
"กรณ์"ขอไม่พูดมาก
"ยังไม่อยากพูดเรื่องนี้มาก เพราะยิ่งพูดราคาหุ้นของไทยคมก็ยิ่งขึ้น มีผลต่อความยากลำบากในการซื้อคืนกลับมา

เป็นของคนไทย เพราะต้นทุนจะสูงขึ้น ดังนั้นหากคนไทยต้องการเห็นดาวเทียมไทยคมเป็นของคนไทย ก็ขอให้ปล่อยคลังได้

ทำหน้าที่ในเรื่องนี้ ส่วนกำหนดเวลาจะซื้อคืนได้เมื่อไร ขึ้นอยู่กับเทมาเส็กจะตัดสินใจขายคืนให้เราเมื่อไร" นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์ยังกล่าวว่า การขายดาวเทียมไทยคมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้เทมาเส็กเมื่อปี

2549 ได้สร้างความผิดหวังให้กับคนไทยอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง แต่ยอมรับว่าสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นที่ดีไม่ได้

สร้างความลำบากใจให้ไทย แต่ปัญหาที่ผ่านมาเพราะกลุ่มอำนาจเดิมที่ไม่ได้รับความร่วมมือจากเทมาเส็กใช้ความสัมพันธ์เครือ

ข่ายที่มีอยู่ในบริษัททั้งที่ไม่ได้ถือหุ้นอยู่แล้ว สร้างปัญหาเรื่องความมั่นคงในช่วงที่ผ่านมา
ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีไอซีที กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ได้หารือกันถึงเรื่องการซื้อหุ้นดาว

เทียมไทยคมคืน เพราะไม่มีการรายงานถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการซื้อจริงหรือไม่ และหากซื้อคืนจริง

เรื่องบางเรื่อง รมว.คลังก็ไม่สามารถพูดได้ เพราะอาจทำให้ประเทศเสียประโยชน์
"คิดว่าสิงคโปร์เคารพสิทธิ์ว่าวงโคจรดาวเทียมเป็นของไทย ทุกประเทศก็มีวงโคจรเป็นของตัวเอง สิ่งสำคัญที่ต้อง

ระวังคือ ไทยเคยมีดาวเทียม 5 ดวง ขณะนี้เหลือเพียงดวงเดียว ถ้าทำอะไรผลีผลามเกิดปัญหาขึ้น คนที่ต้องอาศัยดาวเทียมจะ

มีปัญหาหมด เราจะทำด้วยอารมณ์ไม่ได้ต้องทำด้วยเหตุผล เรื่องความรักชาติ ความมั่นคงต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องรักษาไว้ให้

รอบคอบ ดาวเทียมเป็นของไทย เป็นของใครอื่นไม่ได้ต้องเป็นของไทยแลนด์ ดังนั้นต้องเป็นของคนไทยทั้งประเทศ" นาย

จุติกล่าว
ส่วนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นด้านความมั่นคงในการซื้อคืนดาวเทียมว่า ช่วงเวลาเกิด

เหตุทางการเมือง โทรทัศน์สถานีสีแดงที่ถ่ายทอดผ่านทางดาวเทียมไทยคม เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมประชาชน เพราะ

ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ นี่คือที่มาของเหตุการณ์ที่กลุ่ม นปช. 2-3 หมื่นคนไปบุกไทยคมเมื่อวันที่ 9 เม.ย. เพราะเราไปขอ

ให้ไทยคมยกเลิกการเชื่อมต่อสัญญาณที่ทำให้สถานีโทรทัศน์สีแดงกระจายเสียงไปได้ทั่วประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย บริษัทไทย

คมก็อ้างโน่นอ้างนั่น จนในที่สุดก็ต้องยอมทำ เพราะเราใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่าสถานีโทรทัศน์ที่

ใช้ดาวเทียมถ่ายทอดสัญญาณสามารถทำให้ส่งผลได้ทั้งบวกและลบต่อความมั่นคงของบ้านเมือง
"เรื่องนี้ไม่ค่อยได้เสียงเท่าไหร่ ผมดูแล้วมันไม่เกี่ยว คนเข้าใจไปได้ว่าปลุกกระแสชาตินิยมแล้วจะได้เสียง แต่ดูแล้ว

มันไม่ใช่เรื่องคะแนนเสียง" นายสุเทพปฏิเสธข่าวหาเสียงในการเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา รวมทั้งปฏิเสธว่าไม่ใช่การตามล้างตามเช็ด

พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณขายไปให้เทมาเส็กแล้ว แต่คิดว่าคนไทยบางส่วนยังรู้สึกว่าดาวเทียมไทยคมควรเป็น

สมบัติของคนไทยมากกว่า
ในขณะที่ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรคได้วางแนวทางมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นฝ่ายค้าน

ในการซื้อคืนดาวเทียม ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุมาจากเรื่องการเมือง เพราะไทยคมถือเป็นสมบัติสาธารณะ ส่วนที่ดำเนินการช่วงนี้

เพราะรัฐมนตรีคลัง ไอซีทีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีส่วนร่วมวางนโยบายกับพรรคมาก่อนหน้านี้ โดยการ

ดำเนินการต้องคำนึงถึงผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีอยู่ 58-59% และปฏิบัติตามพ .ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

อย่างเคร่งครัดด้วย
แนะสาง7เรื่องก่อนซื้อดาวเทียม
นพ.บุรณัชย์ยังกล่าวอีกว่า มีเรื่องที่ต้องสะสางก่อนซื้อคืน 7 เรื่อง คือ 1.สถานะของผู้ถือหุ้นเดิมที่มีการซื้อขายโดย

ใช้ชื่อบริษัทกุหลาบแก้ว ซึ่งมีสถานะเป็นนอมินีนั้น ต้องวินิจฉัยว่าเป็นนอมินีโดยสุจริตหรือไม่ และมีสัญชาติไทยหรือต่างด้าว

2.การแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 5 ในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2547 มีการลดสัดส่วนในการถือครองหุ้นจาก 51% เป็นไม่ต่ำกว่า

40% และแก้ไขสัมปทานก็ไม่มีการนำเข้าที่ประชุม ครม. 3.กรณีการขอสิทธิ์ยกเว้นการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น เป็นการ

เตรียมการเพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าและลดภาระในการจ่ายภาษีโดยใช้นโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนของรัฐบาลในอดีต

หรือไม่
4.การใช้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคมในพม่า 5.

การยิงดาวเทียมดวงใหม่ ซึ่งเป็นดาวเทียมหลักเพื่อสำรองแทนดวงเก่า ขัดกับเงื่อนไขตามสัญญาสัมปทาน 6.เงินค่าประกัน

จากดาวเทียมที่ชำรุดนั้น ควรเป็นของเจ้าของสัมปทานคือไอซีที แต่กลับโอนไปให้บริษัทผู้รับสัมปทานเพื่อเป็นการลดภาระ

ของบริษัทดังกล่าว และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการคืนเงินประกันดังกล่าว และ 7.ช่วงเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช.นั้น เกิด

ปัญหายากลำบากในการขอความร่วมมือจากบริษัทไทยคม ทั้งๆ ที่ตามสัญญาข้อ 43 ระบุว่า การรับสัมปทานจะต้องดำเนิน

การภายในกรอบของความมั่นคงแห่งรัฐ
"ทั้งหมดต้องดำเนินการให้ถูกต้อง ส่วนการสะสางนั้นต้องทำด้วยความเป็นมิตรระหว่างรัฐบาลกับเทมาเส็กของ

ประเทศสิงคโปร์ ยืนยันว่าการดำเนินการของรัฐบาลก็เพื่อรักษาประโยชน์ของส่วนรวมและปกป้องสมบัติของชาติ และในวันที่

16 มิ.ย. จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาในคณะกรรมาธิการการสื่อสารและโทรคมนาคม สภาผู้แทนราษฎรด้วย" นพ.บุรณัช

ย์กล่าว
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้เหตุผลในการซื้นคืนดาวเทียมว่า หากใน

อนาคตมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ หากไม่มีดาวเทียมก็อาจเป็นอุปสรรคสำคัญของบ้านเมือง จึงจำเป็นที่ต้องเอาดาวเทียม

ซึ่งเป็นสมบัติเดิมกลับคืนมา และในสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นยุคสงครามข่าวสารและไอที เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศสนับสนุน

แนวคิดดังกล่าว ไม่ว่าการได้กลับคืนมาจะได้มาโดยการซื้อคืน หรือยึดคืนก็เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงและเทคนิคทางกฎหมาย
นายเทพไทกล่าวถึงแนวทางได้คืนดาวเทียมว่า 1.ซื้อโดยรัฐวิสาหกิจ 2.จัดตั้งเป็นกองทุนจากประชาชนในการซื้อคืน

3.เอาเงิน 46,000 ล้านบาทที่ยึดมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณซื้อคืน ซึ่งก็เป็นการสื่อสัญลักษณ์ หรือเตือนความจำว่าสมบัติของชาติที่

ถูกนำเอาไปขาย และวันนี้ก็เอาเงินกลับมาซื้อคืน ซึ่งสมเหตุสมผล และควรดำเนินการโดยเร็วในรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่มีหลัก

ประกันได้ว่ารัฐบาลชุดอื่นเข้ามาสมบัติของชาติชิ้นนี้จะกลับมาได้หรือไม่
"ที่ผ่านมารัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปล่อยปละละเลยไม่ได้นำเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ

สมบัติของชาติในยุคโลกาภิวัตน์ต้องรีบนำคืนมา เพราะในอดีตคนไทยหวงแหน แม้กระทั่งนารายณ์บรรทมสินธุ์ก็ทวงคืนมาได้

ดาวเทียมไทยคมเป็นนามที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควรต้องมาเป็นสมบัติของคนไทยทุกคน" นาย

เทพไทระบุ
ปูด ก.-ศ.ฟันกำไรหลายร้อยล้าน
ด้านพรรคเพื่อไทย โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ตั้งข้อสังเกตถึงการซื้อดาวเทียมคืนว่า ได้รับ

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ว่ามีการเตรียมงานเรื่องนี้มาถึง 2 เดือนแล้ว โดยมีนักการเมืองบางคนให้คนใกล้ชิดเข้าไปซื้อและถือ

ครองหุ้น แล้วปล่อยข่าวออกมา และเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ก็มีคนได้กำไรกว่า 200 ล้านบาท และช่วงเช้าวันที่ 15 มิ.ย.ก็ได้กำไรอีก

100 ล้านบาท ซึ่งวันนี้มีคนที่ได้ผลประโยชน์ทำให้หุ้นของไทยคมมีราคาสูงขึ้น มีอักษรย่อ ก. กับ ศ. ทำให้นักการเมืองจากฝ่าย

ของรัฐบาลได้รับกำไรอย่างมหาศาล
"เป็นการดำเนินการสองเด้ง เด้งแรกคือ ปั่นหุ้น ช้อนหุ้น และปล่อยข่าวเกี่ยวกับไทยคม เอื้อประโยชน์ให้นักการเมือง

ในรัฐบาล เด้งสองยังกลบเกลื่อนเหตุการณ์การสลายการชุมนุม และคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ โดยนำการซื้อหุ้นมาเป็นสมบัติ

ของชาติ สร้างกระแสชาตินิยมเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการบริหารงานประเทศต่อไป" นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย แถลงว่า คณะทำงาน

ฝ่ายเศรษฐกิจของพรรคจะประชุมกัน เพราะทราบว่าการออกข่าวนี้ เป็นแผนลับลมคมในการปั่นหุ้นหรือไม่ ความจริงแล้วรัฐบาล

ไม่ควรซื้อคืน เพราะเป็นดาวเทียมธุรกิจ ไม่ใช่ดาวเทียมโทรคมนาคม
"ขอฟันธงว่าเรื่องนี้เป็นการปั่นหุ้นให้ได้กำไร เราจะขอให้ ก.ล.ต.ตรวจสอบว่าก่อนจะออกข่าวซื้อคืนดาวเทียมไทยคม

มีบุคคลใดที่ซื้อหุ้นบ้าง เพราะรัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมแล้ว เพราะมือหนึ่งเปื้อนลือด และอีกมือหนึ่งทุจริต" นายประเกียรติ

กล่าว
บังหนุนซื้อเต็มสูบ
ยังมีความเห็นจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานที่ปรึกษาพรรคมาตุภูมิ อดีตประธาน คมช.ที่เห็นด้วยกับซื้อคืน

โดยกล่าวว่า หากจำได้เคยพูดตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว ว่าดาวเทียมมีความสำคัญในเรื่องของความมั่นคง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะทางทหารเท่า

นั้น แต่รวมถึงเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม และที่สำคัญ หากข้อมูลหลุดไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าประเทศอะไร นอกจาก

เศรษฐกิจจะพังแล้ว ประเทศอื่นยังรู้ความเคลื่อนไหว หรือแผนการต่างๆ ที่ไทยจะดำเนินการ ส่วนจะช้าไปที่รัฐบาลเพิ่งจะคิด

ซื้อดาวเทียมคือในเวลานี้ คงตอบไม่ได้ แต่เห็นว่ารัฐบาลที่สามารถทำได้ก็คงมีเพียงรัฐบาลนี้เท่านั้น
ส่วนนายอานุภาพ ถิรลาภ นักวิชาการอิสระสื่อสารและสารสนเทศกล่าวว่า ต้องดูว่าการซื้อไทยคมคืนด้วยเหตุผล

อะไร ถ้าเป็นเหตุผลความมั่นคง ก็ไม่ต้องไม่ซื้อคืน แต่ให้ออกกฎหมายหรือหลักเกณฑ์มาควบคุมการแพร่ภาพกระจายเสียง

ข้ามพรมแดนเหมือนเช่นต่างประเทศที่มีการควบคุมการส่งข้อมูลขาลง โดยผู้ที่จะส่งต้องได้รับอนุญาตก่อน ในขณะที่คนภาย

ในประเทศจะสามารถส่งข้อมูลขาขึ้นเป็นจำนวนเท่าใดก็ได้แทน
"หากเป็นเหตุผลที่เกี่ยวกับเรื่องของวงโคจรของประเทศนั้น อยากแนะรัฐบาลว่าควรทำข้อมูลให้กระจ่างก่อนตัดสิน

ใจซื้อ เช่น การถือหุ้นของต่างชาติในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท ไทยคม จำกัด (

มหาชน) ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการของคนต่างด้าว รวมถึงที่ผ่านมา ไทยคมได้ดำเนินการผิดสัญญาหรือไม่ ซึ่งที่ผ่าน

ก็ถือว่าชัดเจนส่วนหนึ่ง เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ติดสินว่าผิดสัญญา เพราะไม่ยิงดาว

เทียมสำรอง แต่กลับยิงไอพีสตาร์ 4 แทน ขณะเดียวกันกฎหมายยังได้กำหนดว่าสัญญาณใดที่มาการส่งจากต่างประเทศต้อง

ให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.ตรวจสอบก่อน ซึ่งที่ผ่านมาไทยคมได้มีการปฏิบัติหรือไม่" นาย

อานุภาพแนะ
เตือนระวังเสียค่าโง่
เขากล่าวว่า ถ้ามีการตรวจสอบแล้ว และไทยคมปฏิบัติตามทุกอย่างถูกต้อง รัฐบาลจะซื้อก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าผิด

สัญญาสัมปทานก็ต้องการให้ดูตัวอย่างกรณีไอทีวีที่ภาครัฐฟ้องร้องเพื่อเรียกเงินในส่วนที่เสียหาย และถ้าไม่ได้ก็ยึดคืน แต่

ขณะนี้กลายเป็นว่ารัฐบาลยังไม่ดำเนินการอะไรก็จะซื้อดาวเทียมไทยคมคืนแล้ว ซึ่งการได้คืนมาหมายถึงการได้วงโคจรนั้นยัง

ไม่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความมั่นคงได้จริง เพราะดาวเทียมมีรอบโลก ขณะที่ซื้อมาแล้วมีการตรวจสอบว่าไทยคมดำเนินการผิด

สัญญาก็เท่ากับว่าเราเสียค่าโง่เหมือนซื้อของผิดกฎหมาย
"เอาเงินประชาชนไปซื้อต้องถามก่อนว่าสมควรหรือไม่ เพราะมีหลายหนทางที่ควรทำ เช่นการทำข้อมูลให้กระจ่าง

ถ้าพิสูจน์ว่ากุหลาบแก้วเป็นนอมินีของต่างชาติก็จบ เราไม่ต้องบากหน้าไปเทมาเส็ก ไทยคมเป็นของไทยแต่เราไปเจรจากับ

สิงคโปร์ และถ้าเราซื้อไทยคมมาแล้ว มีการส่งสัญญาณข้อมูลจากกลุ่มเสื้อแดงจากดาวเทียมดวงอื่นเราก็ไม่ต้องไปซื้อดาวเทียม

ดวงอื่นด้วยหรือ" นายอานุภาพกล่าว.

http://www.thaipost.net/news/160610/23613
read more "เตือนเสียค่าโง่'ไทยคม'! / ไทยโพสต์ - 16 มิถุนายน 2553"

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เพื่อไทย ไส้แตก !!! ทาสแม้วส่อหนีตาย ภายหลังพรรคร้าว และ แล้งทุนทรัพย์อัดฉีด !!!..

.. สายสัมพันธ์นายใหญ่ยังร้าว ทาสบริวารเลยเจริญ รอยตาม..ซัดกันเละ !! ..

.. ขอบคุณภาพจาก ผู้จัดการ เนชั่น ไทยรัฐ และ อื่นๆในอินเตอร์เน็ต ..

......................................

เพื่อ ไทย ไส้แตก !!! ทาสแม้วส่อหนีตาย ภายหลังพรรคร้าว และ แล้งทุนทรัพย์อัดฉีด !!!..

เอาไปเอามา..

กลาย เป็นว่า ระบอบทักษิณ กำลังจะสิ้นชื่อเพราะคนในกันเองแท้ๆ ..

กัดกัน เอง แย่งชามข้าว เห่ากันไปเห่ากันมา สุดท้ายตายยกคอก มีสภาพยิ่งกว่าหมาจนตรอก เพราะหมาจนตรอกข้างถนนมันยังมีโอกาสฮึดสู้อย่างมีศักดิ์ศรี แต่หมาจนตรอกสายพันธุ์ไพร่ทั้งหลายเหล่านี้ แค่แนวโน้มชามอาหารจะแห้งขอดและว่างเปล่าไปอีกนานแค่เนี่ย มันก็ดันมามีกระแสแตกทัพไปซบรังใหม่เรียบร้อยโรงเรียนเนวินล่ะ ..

จะ ว่าไปแล้วเรื่อง ส.ส.เพื่อไทยจะหนีแม้วแล้วไปซบตักเนวิน หรือ ไปสมทบขออยู่กับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆนั้น ผมเคยเขียนถึงมานานแล้ว เรื่องที่ว่าในอนาคตจะเกิดปรากฎการณ์งูเห่าภาคสาม ภาคสี่ ภาคห้า ภาคหก จนสุดท้ายพรรคเพื่อไทยก็จะสลายตัวลงกลายเป็นพรรคขนาดกลางๆพรรคหนึ่ง ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่ ชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอยอีกต่อไป..

หาก เราทบทวนทิศทางการต่อสู้ของพรรคการเมืองที่นิยมเผาประเทศชาติบ้านเมืองตัว เองพรรคนี้ดูแล้ว เราจะพบเห็นเส้นทางเสื่อมของคนพวกนี้ได้เป็นอย่างดี ว่ากันตามหลักวิชาการตามสถิติเลยเราก็จะพบเห็นว่า คะแนนนิยมในตัวพรรคการเมืองของทักษิณ ลดต่ำลงมาเรื่อยๆตั้งแต่ครั้งได้รับชัยชนะเลือกตั้งสมัยสุดท้ายที่มีพรรค พลังประชาชนได้เป็นรัฐบาล และ มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ..

.. ขงเบ้งตุ๊ต๊ะ ผู้นำไอเดียฉิบหาย..มาสู่พรรคเพื่อไทยตัวจริงเสียงจริง !! ..

...................................

ระบอบทักษิณอาจ จะชนะคู่แข่งในครั้งนั้นก็จริง ทว่า คู่แข่งกลับได้เก้าอี้ ส.ส. เพิ่ม โดยเฉพาะคู่แข่งสำคัญอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำทัพโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ..

ภายหลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นผลโพลกี่ผลโพล ไม่ว่าจะเป็นแบบสำรวจสอบถามความคิดเห็นประชาชนของสำนักใด หรือ ข้อมูลสถิติใดๆที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มทิศทางการเมือง หรือ เกี่ยวกับคะแนนนิยมในตัวผู้นำทางการเมือง พรรคการเมือง และ นักการเมืองของระบอบทักษิณ หรือ แม้แต่ตัวทักษิณ ชินวัตรเอง ล้วนต่างมีคะแนนนิยมตกต่ำลงมาเรื่อยๆ ..

ในทางตรงกันข้ามคะแนนนิยมของ พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์กลับพุ่งทะยานสวนทางมาโดย ตลอด คะแนนนิยมของนายอภิสิทธิ์ และ พรรคประชาธิปัตย์ พุ่งสูงมากในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมานี้ ..

ในขณะที่สนามต่อสู้อีกด้าน ภายหลังกองทัพงูเห่าของเนวิน ฉกกัดนายใหญ่จนเลือดกำเดาไหลไม่หยุด เป็นโรคชักกระตุกนอนไม่หลับมานาน ก็ดูเหมือนว่าทัพแม้วจะสกัดดาวรุ่งพุ่งทะเยอทะยานรุนแรงแรงอย่าง "พรรคภูมิใจไทย" ไม่อยู่เสียแล้ว ..

หลายพื้นที่ในภาคอีสานโดนพรรค ภูมิใจไทยยึดตีกินฐานเสียงไปเกือบเกลี้ยง ไปไหนมาไหนเจอแต่ป้าย "ต้านรัฐไทยใหม่" เจอแต่ป้าย "ปกป้องสถาบัน" ของกระทรวงมหาดไทยเต็มไปหมด ..

ตอน นี้ธงแดงในภาคอีสานที่เห็นเด่นชัดที่สุด..

ก็เห็นจะ มีแต่ธงแดง..ตรงเพิงขายข้าวหลามแถวๆเมืองอุดรนั่นล่ะมั้ง ??!!!..

ขนาด ที่พรรคเพื่อแม้วอุตส่าห์เดินเกมใต้ดินหวังใช้ "พรรคเพื่อแผ่นดิน" มาสกัดกั้นความแรงของพรรคภูมิใจไทยในสภา ทว่า ก็โดนพรรคของเนวินโต้กลับฉับพลัน จนถึงขนาดพรรคเพื่อแผ่นดินต้องตกเก้าอี้รัฐมนตรีกันเป็นทิวแถวเพียงชั่วข้าม คืน ..

.. งูเห่าลิ้นห้อย ..ไม่แน่จริง ..ไม่ฉกนายใหญ่จนตายทั้งเป็นหรอก !! ..

.................................

สาเหตุ ของการยกมือสวนในครั้งนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เพื่อแผ่นดิน กับ ภูมิใจไทย ห่ำหั่นกันรุนแรงมากในพื้นที่เขตอีสานบางจังหวัด ประเภทไม่เผาผีกันแล้ว อยู่ที่ว่ากรรมการที่อยู่ตรงกลางอย่าง พรรคประชาธิปัตย์จะเอายังไงกันแน่ ?..

พรรคเพื่อแผ่นดินจะว่าไปแล้วก็เหมือนพวกเส้นผมบังภูเขา คือไปคิดเรื่องเล็ก แต่ไม่คิดเรื่องใหญ่ สุดท้ายก็เลยโดนจับตอนยกพรรค หวังจะสร้างภาพด้วยการเหยียบย่ำพวกเดียวกันเองเพื่อสร้างภาพนักตรวจสอบ ทั้งๆที่พวกตนนั้นนั่นแหละ ที่อุดมไปด้วยพวกนักการเมืองขี้ฉ้อยกพรรค จนชาวบ้านเขานินทากันให้แซด !!..

แล้วเป็นไงล่ะตอนนี้..ภาพนักตรวจสอบ ก็ไม่ได้สร้าง งานก็ไม่มีให้ทำ ระกำกระเป๋าสตางค์ไปอีกนานเลย นั่งตีกินสบายๆไม่ชอบ ดันชอบโชว์ออฟสวนกระแส สุดท้ายหัวทิ่มไม่เป็นท่า !!!..

ทว่า ..อย่าเป็นห่วงพรรคการเมืองประเภทนี้เลย อยู่ตรงข้ามรัฐบาลได้ไม่นานหรอก ..

เชื่อขนมกินได้ เดี๋ยวพวกก็แอบคลานเข้ามาหารัฐบาล เพื่อเข้ามาขอไกล่เกลี่ย..

ปู ทางสู้เส้นทางทำมาหากินทางการเมืองเหมือนเดิมจนได้นั่นแหละ !!!..

.................................................

.. มันมากับซอง !!! เด็จพี่ถูกพรรคใช้งานเยี่ยงทาส จนเกือบโดนชาวสมุยรุมกระทืบ !!..

.............................................

.. ส่วน ตู่ จตุพร ..กำลังจะหมดแรงแถ ..และ เชื่อว่าน่าจะจบชีวิตในคุก !!! ..

.....................................

ดัง นั้น ..

เราจะมองเห็นว่าในอนาคตฝ่ายตรงข้ามทักษิณ ชินวัตร..

มี แต่แนวโน้มของการเจริญเติบโตขึ้นทั้งนั้น ไม่มีฝ่ายใดมีแนวโน้มตกต่ำลงมาเลย ..

ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย เพื่อแผ่นดิน ชาติไทยพัฒนา หรือ พรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆ ล้วนต่างจะเติบโตขึ้น พร้อมกับการตกต่ำลงของพรรคทักษิณ ..

จะมีก็แต่พรรคการเมืองใหม่ของ สนธิ ลิ้มทองกุล แอนด์ เดอะแก๊งค์นั่นแหละ ที่ยังลูกผีลูกคนหาเงินหนุนพรรคยังไม่ได้ จะทำอะไรจะขับเคลื่อนอะไรก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย ประชาชนคาดหวังอะไรก็ไม่ได้ เพราะไร้ความแน่นอนในทิศทางทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ..

.. ปรมาจารย์สนธิ กลับมาอีกครั้งกับแนวคิดประหลาดๆ ..ที่เข้าทางทักษิณจนส่อพิรุธ !! ..

..........................................

.. ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ..นำรัฐบาลเดินหน้าแผนปรองดองเพื่อสร้างสันติสุข ..

...................................

สนธิ ลิ้มทองกุล ..ตอนนี้โผล่มาทีก็บอกว่าต้องปฎิวัติ โผล่มาทีก็ขอนายกฯพระราชทาน โผล่มาอีกกี่ทีต่อกี่ที ก็วนเวียนอยู่กับการด่าโจมตีรัฐบาล โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์เนี่ยด่าจังเลย ด่าแม้กระทั่งแผนปรองดองของคนไทยทั้งชาติ ..

ทว่า ผลกรรมมันมีจริง พรรคการเมืองใหม่ และ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ผ่านมาแทนที่จะด่าชาวบ้านเขาแล้ว จะได้รับผลลัพธ์ดีๆกลับไปเป็นคะแนนนิยมเข้าหาพวกตนหรือก็เปล่า ? ..

แต่ ที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ คำด่านั้นกลับเป็นดาบสองคมทิ่มแทงพวกตนอย่างหนัก ในฐานะตัวอิจฉา และ พวกทำลายบรรยากาศในการสร้างความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ..

แถม ยังโดนค่อนแคะตำหนิอย่างรุนแรงอีกด้วย ในโทษฐานที่นำเสนอทางออกอะไรออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ก็เป็นทางออกที่ไปเข้าทาง ทักษิณ ชินวัตร หมดเลย ..

มันเป็น ความไม่ชอบมาพากลที่ส่อพิรุธมากๆ ที่คนมีสติปัญญาดีๆที่ไหนมันจะคิดออกได้ ..

ถ้าไม่ใช่พวกสติปัญญาเลวๆพอๆกับทักษิณ ที่ชื่นชอบแนวคิดวิธีมอมเมาสาวก..

ด้วยวาทกรรมและ แนวคิดแปลกๆ !!!..

..............................................

.. พรรคการเมืองเผาไทยนี้..เต็มไปด้วย โจรก่อการร้าย และ อันธพาล เต็มพรรคจริงๆ !!! ..

................................................

สุด ท้ายนี้ ..

เราจะเห็นว่าสถานการณ์ในเกมช่วงชิงอำนาจของทักษิณ ชินวัตร..

ดูเหมือนจะตีบตันมองไม่เห็นอนาคตไปแทบจะทุกทิศทาง แม้แต่การหวังให้พรรคการเมืองใหม่ของอดีตเพื่อนรักอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล เข้ามาตัดแต้มทำลายคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานเสียงกรุงเทพฯ และ ภาคใต้ ก็ดูจะเป็นเพียงฝันลมๆแล้งๆไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย..

ดัง นั้น หากทักษิณ ชินวัตร จะหวังอะไรอยู่ในใจตอนนี้ ผมว่าเขาคงจะหวังให้เกิดการปฏิวัติขึ้นมาอีกสักครั้ง เพื่อดึงคะแนนนิยมกลับไปหาเขา ดึงภาพลักษณ์เผด็จการไปให้ทหาร เพื่อเอาไปสร้างภาพนักประชาธิปไตยให้กับตัวเขาเอง ..

.. แผนนำทหารเข้าพรรค ในทฤษฎีล้มปืน ..ที่ผลออกมาพังไม่เป็นท่า !! ..

.............................................

ทักษิณ ชินวัตร คงไม่อยากคาดหวังถึงผลการเลือกตั้งในอนาคต ที่พวกเขาแทบจะหมดโอกาสชนะการเลือกตั้งกลับมาอีกครั้งในสนามแข่งขันทางการ เมืองคราวหน้า เพราะเท่าที่เป็นอยู่ภายในพรรคเพื่อแม้ว ณ ตอนนี้ ก็ฟาดฟันกัดกันเป็นใหญ่จนแทบจะหมดสภาพพรรคอยู่แล้ว..

ทุกวันนี้ใคร ขึ้นมานั่งแถลงข่าวคนในพรรคยังต้องวิเคราะห์ต่อเลยว่า คนๆนั้นเป็นลูกน้องใคร ? เป็นเด็กใคร ? เด็กเจ๊ หรือ เด็กเหลิม หรือ เด็กจิ๋ว หรือ เด็กแม้ว? ..บอกตรงๆว่าสถานการณ์ตอนนี้พรรคการเมืองของทักษิณพรรคนี้ ..มีสภาพแตกกระจายเละเทะดูไม่จืดจริงๆ !! ..

อีกไม่นานนับจากนี้ พวกเขาจะต้องพบศึกหนัก ที่ศึกนั้นไม่ใช่ศึกเลือกตั้ง แต่จะเป็นศึกหนีตายจากการโดนยุบพรรค โทษฐานกบฎ และ เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ !!!..

หากคดีความต่างๆโดยทีมงาน ของ นายคณิต ณ นคร และ ทีมงานในส่วนของ DSI นำสืบพยานและหาข้อเท็จจริงจนไปพบว่า มีการทุ่มทุนสร้างฉากม็อบ มีการว่าจ้างกลุ่มก่อการร้าย และ มีการวางแผนเผาเมือง โดยการรู้เห็นเป็นใจของพรรคเพื่อไทยที่นิยมเผาไทยพรรคเนี่ยเมื่อไหร่? ก็เป็นอันว่าทักษิณ เจ๊งบ๊ง อีกรอบวันนั้นนั่นแหละ !!..

.. คู่กัดสำคัญ ..ที่ทำให้พรรคเพื่อไทย ..เจริญลง เจริญลง !!! ..

..........................................

ผม มองว่า ..สมาชิกพรรคเพื่อแม้วหลายๆคนตอนนี้คงปูทางอนาคตของพวกตนไว้แล้วล่ะ รอเวลาทยอยย้ายสัมภาระออกจากรังนายใหญ่เพื่อไปซบตักนายใหม่แค่นั้นแหละ ..

ล่า สุด เทพไท เสนพงษ์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็มาบอกว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ สายพันธุ์แม้ว ออกมายอมรับเองว่า อาจจะมี ส.ส. ราวๆ ๒๐ คน ย้ายออกจากพรรค ซึ่งผมว่ามันน่าจะเป็นตัวเลขที่น้อยไปเสียด้วยซ้ำ !!!..

ตอนนี้พรรค เพื่อไทย อย่าเพิ่งหวังไปต่อสู้ต่อกรกับใครเขาเลย เอาแค่ชนะใจลิ่วล้อทาสบริวารของทักษิณ ที่เริ่มจะคิดต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆเหล่านี้ให้ได้ก่อนเถอะ ที่สำคัญควรกลับไปคิดแผนต่อสู้ที่จะทำให้พวกตนนั้นหลุดพ้นเส้นทางของการถูก ยุบพรรคหนที่สามให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยกลับมาฝันว่าจะได้กลับมาครองอำนาจรัฐ และ ครองความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง ..

ทุกวันนี้สู้กับผลเวรผล กรรมที่พวกตนก่อไว้ก็แทบจะบักโกรกอยู่แล้ว !!!!..

อย่า คาดหวังที่จะไปเห่าหอนต่อกรต่อความยาวสาวความยืดเพื่อดิสเครดิตใครเขาเลย ..

เพราะ มันช่างเป็นภาพที่น่าสมเพช เวทนา ..และ ชวนฮา เป็นอย่างมาก !!!! ..

.. ซากปรักหักพังจากการเผาไทย..

จะอยู่ในความทรงจำของคนไทยไปอีกนานแสนนาน !!!..

...........................................

วินเซนต์

ริม โขง หนองคาย

๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๓

.........................................

http://www.oknation.net/blog/vincentoldbook3/2010/06/14/entry-2
read more "เพื่อไทย ไส้แตก !!! ทาสแม้วส่อหนีตาย ภายหลังพรรคร้าว และ แล้งทุนทรัพย์อัดฉีด !!!.."

กฎหมาย-มนุษย์เขียน, กฎกรรม-ธรรมชาติเขียน / เปลว สีเงิน 15 มิถุนายน 2553

ท่านเคยนึกไหมว่าตลอด ๒๔ ชั่วโมง สังคมโลกและสังคมมนุษย์มีการบริหาร-จัดการด้วยตัวของมันเองอยู่ตลอด อาจจะแบ่งเป็นส่วนกว้างๆ ได้ ๒ ส่วน คืองานส่วนที่มนุษย์บริหาร-จัดการ และอีกส่วนที่เรามองไม่เห็น หรือมองข้าม นั่นคือส่วนที่ธรรมชาติบริหาร-จัดการ ผมอยากให้ท่านได้เข้าใจตรงส่วนหลังนี้ ให้ถ่องแท้ "กรรมดี-กรรมชั่ว" ที่เราเข้าใจว่าเป็นคติทางศาสนานั้น จริงๆ แล้ว "กรรมและผลของกรรม" ก็นับรวมอยู่ในคำว่าธรรมชาตินั่นเอง
ธรรมะกับ ธรรมชาติ คืออันเดียวกัน แต่ถ้าถามว่า "ธรรมะ คืออะไร?"
เอออ...เอ้า.. งงเหมือนเสียบอลเดินตกท่อไปละซี..ท่า ก็ได้ยิน-ได้ฟังมาแต่อ้อนแต่ออก ชินหู-ชินใจ แต่เมื่อถามกันจริงๆ ก็ปรากฏว่า "ไม่ชินใจ" เหมือนรู้ เหมือนเข้าใจ แต่พูดไม่ออก บอกไม่ถูก
อย่าว่าแต่ท่านเลย ผมก็เหมือนกัน เอางี้...มีคำอธิบายอยู่หลายสำนวน แต่สาระตรงกัน ผมจะคัดลอกมาซัก ๑ สำนวนที่เห็นว่าสั้น กระชับ แต่ครอบคลุมความหมายของคำว่าธรรมะมาให้อ่านกัน จากเว็บ "กองงานพระธรรมทูต" ดังนี้ครับ
"หน้าที่ที่เราควรทำนั่นแหละ คือ ธรรมะ การทำงานให้ถูกต้องตามหน้าที่คือ การปฏิบัติธรรม อย่าเข้าใจผิดๆ ว่าการงานอยู่ที่บ้าน ธรรมะอยู่ที่วัด ที่ใดมีหน้าที่การงานที่ถูกต้อง ที่นั่นแหละมีธรรมะ ในโบสถ์อาจจะไม่มีธรรมะ ในทุ่งนา ในออฟฟิศ อาจมีธรรมะอย่างมากมายก็ได้
ธรรมะนั้นเป็น สภาพที่ทรงไว้สำหรับผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกต่ำไปในทางที่ชั่ว ใครบ้างเล่าอยากตกไปในทางที่ชั่ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'จะเป็นคนเจริญหรือเป็นคนเสื่อมก็รู้ได้ง่าย ผู้ชอบธรรมะ เป็นผู้เจริญ ผู้ชังธรรมะ เป็นผู้เสื่อม' ธรรมะ คือ หน้าที่ เพราะฉะนั้น ผู้เจริญ คือ ผู้รักหน้าที่ ผู้เสื่อม คือผู้ชังหน้าที่
นักเรียนที่เรียนเก่ง ก็เพราะเขารักหน้าที่ รักการเรียน เขาจึงเจริญในเรื่องการเรียน คนที่ทำงานเก่งก็เพราะเขารักการงาน มีธรรมะของผู้นำ ของผู้ทำการงาน
การ ทำความดี เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของมนุษย์ ผู้ที่รักที่จะทำความดีจึงเป็นมนุษย์ที่ดี มั่งคั่ง พรั่งพร้อมไปด้วยความดี ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร เขาต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ขอให้สำนึกอยู่เสมอๆ ว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก ยากอย่างไร ขอให้นึกเปรียบเทียบดู กับกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเถิดว่า มันมีจำนวนท่วมท้นกว่าจำนวนของมนุษย์มากมายเพียงใด
พระพุทธเจ้าเกิดใน โลกเพื่อประกาศสัจธรรม เช่นคำว่า ธรรม หมายถึงกฎธรรมดา (Law of Nature) เช่นว่า ทุกข์ต้องเกิดมาจากสิ่งนั้น ความดับทุกข์มีได้เพราะสิ่งนั้น หรือว่า สิ่งทั้งปวงต้องเป็นอย่างนั้นๆ เป็นต้น หน้าที่ของเรา คือต้องทำตัวให้เข้ากันได้กับกฎนั้นบ้าง รู้จักนำเอากฎนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง
ธรรมเป็นสากลนิยม ปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาล และตำแหน่งแห่งหน ไม่จำกัดชนชั้นวรรณะ เพศ วัย พระพุทธองค์ทรงวางพื้นฐานเป็นขั้นเป็นตอน คือ
๑.รักษาศีล เพื่อความสะอาด กาย วาจา ใจ
๒.ฝึกสมาธิ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต
๒.ฝึก วิปัสสนา เพื่อปัญญาความรู้ยิ่ง"
ก็น่าจะเข้าใจกันแล้วนะครับ ฉะนั้น ในหลายเรื่อง-หลายราวในบ้านเมืองตลอดระยะเวลา ๒-๓ ปีมานี้ ทำให้เราขุ่นข้องขัดใจกันมาก เพราะหลายอย่างไม่เป็นดั่งใจ
ผมอยากจะบอก ว่า บางอย่างก็ต้องให้เป็นหน้าที่ของ "เจ้าหน้าที่บ้านเมือง" เขาใช้กระบวนการทางกฎหมาย "บริหาร-จัดการ" คนและปัญหาไปตามเหตุปัจจัย บนเป้าหมาย เพื่อร้อยรัดสังคมให้อยู่ร่วมกันเป็นสุข
แต่บางอย่าง ด้วยเหตุปัจจัยของมัน ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ธรรมชาติใช้เครื่องมือของเขาคือ "ตัวกรรม" อันได้แก่การกระทำของแต่ละคนนั่นแหละ "บริหาร-จัดการ" แต่ละชีวิตไปตามโทษานุโทษ สุดแท้แต่ความหนัก-เบาในสิ่งที่เขาทำ อย่างหัวโจกกบฏทักษิณ บางคนต้องอยู่ในที่ควบคุม บางคนต้องคุมขัง แต่บางคนได้ประกัน บางคนซอกซอนหลบหนี บางคนหลบไปเสวยสุขแถมลอยหน้าเห่าประเทศอีกตะหาก
และบางคน "ตาย" ชนิดไม่รู้ว่าลูกปืนมาจากไหน?
อย่างเช่น พลตรีขัตติยะ หรือนายอ้วน บัวใหญ่ เป็นต้น นั่นก็มาจากการบริหาร-จัดการของธรรมชาติผ่านตัวกรรมที่เราไม่สามารถรู้ได้ ถึงตัวเพิ่ม-ลดบทลงโทษที่ เร็ว-ช้า, หนัก-เบา อันแตกต่างกันไป เพราะการตัดสินของกรรมต่างจากการตัดสินของกระบวนการศาลที่มีคำอธิบายให้ทราบ
ส่วน การพิพากษาของกรรม ไม่มีใครรู้ (นอกจากผู้ถึงอภิญญา ๖ สามารถระลึกชาติได้ด้วยปุพเพนิวาสานุสติญาน) กระทั่งเจ้าตัวแต่ละคนเองว่า ในอดีตได้สร้างกรรมดี-กรรมชั่วอย่างใดไว้มากน้อยเท่าใดเป็นตัวเร่ง เป็นตัวลด หรือเป็นตัวทำให้กรรมปัจจุบันส่งผลช้า-เร็วผิดไปจากที่คนทั่วไปคาดหวัง เพราะการบริหาร-จัดการของกรรมที่คนไม่เข้าใจนี่แหละ จึงทำให้เกิดคำพูดที่ชินหูกันเสมอๆ ว่า
ทำดีไม่ได้ดีบ้าง ทำบุญคุณคนไม่ขึ้นบ้าง ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปบ้าง มันโกงบ้าน-กินเมืองเห็นชัดๆ แต่กลับรวยวันรวยคืนบ้าง ทำดีตลอดชีวิต ทำชั่วครั้งเดียวต้องติดตะรางบ้าง
แล้ววกมาลงที่ตัวอย่าง "คนชั่วอย่างทักษิณไม่เห็นตาย!?"
ก็นี่แหละ "กรรม" คือการกระทำของเขาในอดีตซึ่งเราไม่เห็น เห็นแต่ปัจจุบัน เราก็เลยสับสน จะเทียบให้เห็นจากการ "บริหาร-จัดการ" ตามกระบวนการศาล บางคนที่เราเห็นต่อหน้า-ต่อตาว่าฆ่าคนตาย แต่ถึงศาลท่านจะบอกถึงเหตุผลที่ตัดสินประหารตลอดชีวิต หรือปล่อยพ้นผิดว่า คนนี้เคยประกอบคุณงามความดีอะไรมาบ้างหรือไม่ เคยต้องโทษมาก่อนหรือไม่ มีเจตนาในการฆ่าหรือไม่ เหตุผลและองค์ประกอบในการทำความผิดเป็นอย่างไร
กระทั่ง ว่า การฆ่านั้น เป็นการทำหน้าที่ เป็นการป้องกันตัว ป้องกันเกียรติ จงใจเจตนาฆ่า หรือนิสัยสันดานโหดร้ายพึงพอใจในการฆ่าเป็นอาจิณ!?
ทักษิณ ก็เช่นกัน ในอดีตเขาอาจประกอบคุณงามความดีไว้มากก็ได้ ที่จะวิบัติทันที ก็ค่อยๆ วิบัติ ที่จะตายทันที ก็เลยได้รับความปรานีเป็นค่อยๆ ตาย จัดสรรเข้าไปอยู่ในระบบ "ตายทั้งเป็น" และ "ตายผ่อนส่ง" ไงล่ะ!
วัน-สอง วันนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมต้องเอาเรื่องเวร-เรื่องกรรม พูดรวมๆ คือเรื่องธรรมะมาคุยกะท่านซ้ำซาก พอจะจิ้มนิ้วบนแป้นคอมพิวเตอร์ทีไร เรื่องที่ตั้งใจจะคุยก็ไม่ได้คุย แต่เรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจ นิ้วมันก็ไปเอง คงเป็นเพราะว่า สังคมประเทศไทยเมื่อหลุดพ้นเปลาะนี้ไปแล้ว
ด้วยธรรมชาติ บริหาร-จัดการ คนดีมีศีล-มีธรรมเท่านั้น จะอยู่คู่กับประเทศไทยสู่ยุคเฉิดฉาย-ไฉไล ที่เขาเรียกกันว่ายุคศิวิไลซ์นั่นกระมัง ส่วนคนไร้ศีล-ไร้ธรรม ก่อกรรมแต่ให้บ้านเมืองตกต่ำอับเศร้าหมองศรี เห็นที...ทั้งกฎหมายบริหาร-จัดการ และทั้งธรรมชาติบริหาร-จัดการ
จะกวาด ลงใต้พื้นดินเรียบ!?
ผมถึงบอก เราต้องถือ "อุเบกขา" กันให้มากๆ อุเบกขาไม่ใช่วางเฉย ธุระไม่ใช่ ใครจะขึ้นช้าง-ลงม้า กูไม่เกี่ยวนะ แต่หมายถึงว่า เราไม่โกรธใคร ไม่อาฆาตพยาบาทใคร ให้เมตตา ให้อภัย ให้สติ กับทุกคนที่ประพฤติตน "หลงทิศ-ผิดทาง" ได้กลับเนื้อกลับตัวและกลับใจ ร่วมเป็นไทย-ศิวิไลซ์ด้วยกัน
แต่ถ้าทั้งสังคม และทั้งกฎหมายให้เมตตา ให้อภัย ให้สติแล้ว ยังไม่กลับตัว-กลับใจ นั่นเราก็ต้อง "อุเบกขา" คือวางใจนิ่งกับสิ่งที่เขาจะต้องได้รับทั้งทางกฎหมายจัดสรร และทั้งทาง "กรรมจัดสรร"
ไม่ช้า...ไม่ช้าแล้ว...ท่านทั้งหลายเอ๋ย ผมบอกท่านได้เท่านี้!?
อ้อ...มีแถมท้ายหน่อย เดี๋ยวจะลืม ท่านผู้มีเมตตาธรรมต่อผมซึ่งใช้นามว่า "คุณหลวง" ส่งหนังสือ "หลวงตาวัดป่าบ้านตาด" รวมเรื่องเล่า...สิ่งที่เห็น เล่มที่ ๗ พูดง่ายๆ คือหนังสือเกี่ยวกับ "พระหลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน" มาให้ผม ๕ เล่ม ผมเก็บเข้าชุดไว้ ๑ เล่ม เหลืออีก ๔ เล่ม ท่านใดต้องการมารับได้ที่สำนักงานนี่นะครับ
โทร.มาบอกกับเลขาฯ ผมที่เบอร์ ๐-๒๒๔๙-๔๕๔๙ ก่อนจะมา เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเที่ยว และผมจะมอบหนังสือ "เชิญตะวัน" กับ "การสร้างสันติภาพท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนไทยในปัจจุบัน" ของท่าน ว.วชิรเมธี รวมอีก ๒ เล่ม ไปให้กับท่านด้วย แต่ถ้าหนังสือพระหลวงตามหาบัวหมด ต้องการของท่าน ว.วชิรเมธี ยินดีครับ มีมอบให้ท่านแน่ๆ
อีกเรื่อง เมื่อวันเสาร์ แฟนๆ ใน FB บอกว่า "คุณหมอกันตพัฒน์ วรพิมล" ที่นราธิวาส ต้องการได้รับการสนุนหยูกยา เครื่องเวชภัณฑ์ ผมก็ก๊อปปี้เบอร์โทรศัพท์ตามที่แจ้งมาบอกกล่าวให้ทราบกัน ปรากฏว่าแฟน FB บอกว่าเบอร์ผิด ติดต่อไม่ได้ และวานนี้ "คุณเนตรสวรรค์" ก็แจ้งมาด้วยข้อความว่า
"โทร.หาคุณหมอกันตพัฒน์ วรพิมลได้แล้วคะ 08-1830-4595 หน่วย ฉก.30 วัดสวนธรรม ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ปณ.96150 E-mail : Kantapat.V@hotmail.com"
ผม เอาที่ผมลงไปวันก่อนมาเทียบ ก็เบอร์เดียว "ตรงกัน" นี่ครับ เอาละ...ลองดูใหม่ ได้ความอย่างไร แฟนๆ FB แช้ตๆๆๆ มาบอกด้วยละกัน
หมด...คือ หมดเนื้อที่แล้ว เลยไม่ได้คุยเรื่องราวข่าวประจำวันกัน แถมท้ายนิดหนึ่งก็ได้ ผมสนับสนุนรูปแบบไปสู่ความปรองดองตามแนวที่ ดร.คณิต ณ นคร ทำอยู่ตอนนี้ และสนับสนุนหลักการ-แนวคิด "แยกประชาชนคนชุมนุมออกจากคนเผาบ้าน-เผาเมือง" ตามที่คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี DSI ทำอยู่ ส่วนจะนำไปปฏิบัติผ่านรูปแบบไหน จะออกกฎหมาย หรือทำอย่างที่ประธานวุฒิสภาให้ความเห็น เฟ้นสมองหลายๆ ฝ่ายหน่อยก็ดีครับ.

http://www.thaipost.net/news/150610/23555
read more "กฎหมาย-มนุษย์เขียน, กฎกรรม-ธรรมชาติเขียน / เปลว สีเงิน 15 มิถุนายน 2553"

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เหตุผลที่ ตู่ จตุพร นักสู้ข้างถนนร่างทรงทักษิณ..กลัว คณิต ณ นคร ..เหลือเกิน ??!!! .. / vincentoldbook - 9 มิถุนายน 2553

.. ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต ..

....................................

เหตุผล ที่ ตู่ จตุพร นักสู้ข้างถนนร่างทรงทักษิณ..กลัว คณิต ณ นคร ..เหลือเกิน ??!!! ..

ชั่วโมง นี้..

ใครหน้าไหนก็ไม่มีคุณสมบัติดีพอหรอก ??..

ในมุมมองของแกน นำไพร่จอมแถอย่าง ตู่ จตุพร..

สำหรับ ตู่ จตุพร แล้ว เขาคงคิดว่าคนเดียวที่เหมาะสมต่อทุกๆบทบาทของโลกมนุษย์นี้ หนีไม่พ้นคุณพ่อหน้าเหลี่ยม ทักษิณ ชินวัตร ของเขานั่นแหละ ..

ไม่ ว่า ตู่ จตุพร จะคิดเห็นประการใด ? หรือ ขับเคลื่อนพฤติกรรมกักขฬะ วิปริตวิปลาส อาฆาตพยาบาท เถื่อน ดิบ ถ่อย สถุนอะไรออกมา ? ..

เขา ต่างได้รับแรงบันดาลใจ และ คำบัญชาการมาจาก ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น !!!!!..

สมองตุ๊ดตู่นี้จะคิดอ่านอะไรเองเป็นหรือเปล่า ???.. ก็ไม่รู้ ??.. แต่ที่รู้แน่ๆก็คือว่า ประสิทธิภาพการทำงานของ นายคณิต ณ นคร ที่ผ่านมานั้น มันทำให้ ตู่ จตุพร และ สาวกแก๊งค์กบฎล้มเจ้าที่กำลังพะงาบๆนอนรอวันโดนเชื่อดอยู่ ณ ตอนนี้นั้น ..

ไม่ ไว้วางใจด้วยประการทั้งปวง !!!!..ตัดตอนได้ต้องตัดตอน..ทันที !!! ..

เหตุ เพราะ..นายคณิต ณ นคร เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันดีกับ ทักษิณ ชินวัตร มาก่อนเมื่อสมัยร่วมตั้งพรรคไทยรักไทยด้วยกันมา ทว่า ก็ตีจากทักษิณไปก่อนน้ำผึ้งจะหวานเสียด้วยซ้ำไป แสดงว่ามีความขัดแย้งบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจของทั้งสองฝ่าย..

ประการ สำคัญ การที่ นายคณิต ณ นคร เคยเป็นประธานสอบคดีฆ่าตัดตอนยาบ้า ๒,๐๐๐ ศพ ในยุคของรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มานั้น ยิ่งทำให้ ตู่ จตุพร มองเห็นอนาคตนายใหญ่ของตน และ กลุ่มพวกตน ได้เข้าไปสิงสถิตย์อยู่ในกรงขังชัดขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนภาพเวรกรรมที่มาล่องลอยอยู่หน้าบ้าน อยู่หน้าอาคารชินวัตรยังไงยังงั้น ..

นี่จึงเป็นที่มาที่ไปของการออก มาตะแบง ตำหนิว่า นายคณิต ณ นคร นั้น มีสายสัมพันธ์ในอดีตเชื่อมโยงอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ขุดอดีตตั้งแต่สมัยปีมะโว้ ที่นายคณิตเคยเป็นทนายฝึกหัด อยู่ในสำนักงานทนายของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ..ไปโน้น !!!..

อย่างว่า ล่ะนะ ..สุดยอดดาวแถ และ ดาวไถ แห่งประเทศไทย จะมีใครเกิน ตู่ จตุพร คนวอนนอนคุกคนนี้ไปได้ วันนี้ทำอวดเก่งปากดีเพราะเมื่อวานเพิ่งเสียเงินจ่ายค่าประกันตัวเองให้ออก มาอยู่อย่างสุขสบายกว่าเพื่อนร่วมแก๊งค์ข้างถนนของตนมาหมาดๆ เป็นวงเงินถึง ๑ ล้านบาท ..

ก็คงจะไม่ใช่เงินตนเองจ่ายแน่ๆ ..ขี้ข้าบริวารลูกจ้างประจำของทักษิณเข้าไส้แบบนี้ ทักษิณไม่ปล่อยให้ไปจนมุมในจุดที่เสี่ยงต่อการคายความลับได้แน่ๆ ..

ดัง นั้น เราจึงได้เห็นภาพปฏิบัติการ ..เซฟวิ่ง ไพรเวท ..ไร_จัญ !! เกิดขึ้น !!...ที่ศาลอาญาเมื่อวานนี้..

เพื่อ เอามาใช้งานประเภทดิสเครดิตคนรู้ทันทักษิณโดยเฉพาะ !!! ..

......................................

ตู่ จตุพร ..

เผยแพร่ความหวาดกลัวของตนและนายใหญ่ออกมาให้สังคมได้เห็น..

ผ่าน การโจมตีคนที่จะมาเป็นประธานสอบสวนหาข้อเท็จจริงคดีนองเลือดเผาเมืองที่ผ่าน มาตั้งแต่ในช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยพยายามเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ของนายคณิตกับพรรคประชาธิปปัตย์ แบบเหวี่ยงแหครอบคลุมมั่วไปหมด..

ทั้งในสมัยเป็นทนายฝึกหัด ทั้งในสมัยเป็นอัยการสูงสุดที่ ตู่ จตุพร อ้างว่า นายคณิตไม่ได้สั่งฟ้อง นายชวน และ เทพเทือก ในคดี สปก. ๔-๐๑ ..ซึ่งเป็นคดีหากินของแก๊งค์ทักษิณที่นำมาเป็นประเด็นดิสเครดิตประชาธิปัตย์ มาโดยตลอด !!..

ทว่า ในสายสัมพันธ์ที่นายคณิต มีความหลังลึกซึ้งอยู่กับ ทักษิณ ชินวัตร มาก่อน ตู่ จตุพร กลับปัดบอกว่าไม่เกี่ยวกัน แถมยังไม่ยอมพูดถึงเรื่องที่นายคณิต ณ นคร เป็นประธานสอบฯคดีฆ่าตัดตอนด้วย ..เรื่องนี้ทำให้เราเห็นความไม่ชอบมาพากล และ เล่ห์เหลี่ยมของลิ่วล้อทักษิณได้ชัดเจนดี ..

การดิสเครดิตคนดีๆ มีผลงาน คือ งานประจำของพวกลูกจ้างเห็บหมัดหมาเหล่านี้จริงๆ !!!..

อ่าน รายละเอียดข่าวเรื่องนี่้ตามลำดับดังนี้ ..

"จตุพร"ให้"คณิต"ถามใจตัวเองเป็นธรรมหรือไม่นั่ง ปธ.สอบ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1276058103&grpid=00&catid=

"นพดล"คัดค้าน รบ.ตั้ง"คณิต-สมบัติ" บอกเป็นกองเชียร์ ปชป.

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1276058103&grpid=00&catid=

"มาร์ค"ลั่นให้"คณิต"เดินหน้าต่อ แม้พท.–เสื้อแดงเห็นไม่เป็นกลาง ซัด"ตู่"โยงมั่ว สวนเป็นคนก่อตั้งทรท.

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1276064283&grpid=00&catid=

....................................................

วิเคราะห์ข่าว วิเคราะห์สถานการณ์ ..

ปมปริศนา ??..

ในสายสัมพันธ์ของ นายคณิต ณ นคร ..

กับ ทักษิณ ชินวัตร มหาเศรษฐีหนีคุกหนีคดีก่อการร้ายอยู่ในขณะนี้นั้นมีความน่าสนใจเป็นอย่าง ยิ่ง..

มีความน่าสนใจตรงที่ นายคณิต ณ นคร เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานค่อนข้างสูง มีต้นทุนทางสังคมสูง มีความน่าเชื่อถือในเรื่องประสบการณ์จากการงานด้านกฎหมายที่ทำ เป็นที่หมายปรองนำมาช่วยเป็นเครื่องมือสร้างภาพให้กับทักษิณและพรรคไทยรัก ไทยในยุคตั้งไข่..

เขาผ่านประสบการณ์ทั้งการเป็นทนาย ผู้พิพากษา และ มาเป็นอัยการสูงสุด ก่อนจะมาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย มาเป็นแนวร่วมสำคัญในการก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ก่อนจะอำลาจากทักษิณ ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่มีใครทราบได้ ??..นี่คือ ข้อน่าสงสัย ??..

นาย คณิต ณ นคร เห็นความไม่ชอบมาพากลอะไรในตัวทักษิณ ???..ถึงได้ชิ่งหนี และ คนที่ชิ่งหนีทักษิณมาทุกคน กลายเป็นคนที่ทักษิณและพวกพ้องลิ่วล้อหมายหัวกากบาทไว้เป็นบุคคลอันไม่พึง ประสงค์ไม่ว่าจะกรณีใดๆทั้งนั้น..นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก ?? ..

ใน คดีฆ่าตัดตอนเหมือนกัน ..เป็นคดีความสำคัญมากคดีความหนึ่ง ที่จะสามารถนำไปใช้ไล่ล่าทักษิณในเวทีสากลได้ ..คดีนี้นายคณิต ก็เป็นอดีตประธานสอบฯ มาแล้วด้วย และ ผลสอบออกมาก็เป็นที่น่าพอใจด้วย จนถึงขนาดที่ว่า กระทรวงยุติธรรมในยุครัฐบาลมาร์คเนี่ย กำลังจะรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใหม่ ผ่านการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานสำคัญทั้งหมดโดย DSI เพื่อฟ้องร้องเอาผิดทักษิณ..

หาก ทักษิณ โดนคนรู้ทัน ..ทั้งกระทรวงยุติธรรม ทั้งธาริต DSI ทั้งคณิต ณ นคร อดีตประธานสอบฯคดีฆ่าตัดตอน และ อนาคตประธานสอบฯคดีก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมืองล่าสุด โอบล้อมแบบนี้โอกาสที่ทักษิณและสมุนชั่วๆจะหลุดรอดคดีความก็เป็นไปได้ยาก..

อย่า ลืมว่า..ประชาคมโลก รับไม่ได้จริงๆกับคดีฆ่าตัดตอน และ พฤติกรรมทักษิณในสมัยมีอำนาจก็เป็นที่จับตาของประชาคมโลกมาโดยตลอด การตายอย่างไร้เหตุผลและไร้การสอบสวนหามูลเหตุของการเสียชีวิตในคดียาเสพติด ๒,๐๐๐ กว่าศพนั้น มันทำให้ทักษิณโดนวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงมาโดยตลอด ..

ดัง นั้น ..บทบาทของ ตู่ จตุพร หรือแม้แต่ ทนายหน้าหออย่าง นพดล ปัทมะ ในตอนนี้ ล้วนต่างเป็นพฤติกรมหวังฆ่าตัดตอนนายคณิต ให้หลุดพ้นวงจรของกระบวนการสืบสวนเอาผิดทักษิณให้ได้ทั้งสิ้น..

หวัง จะดิสเครดิต โดยสร้างกระแสไม่ยอมรับให้เกิดขึ้นด้วยสูตรสำเร็จเดิมๆนั่นคือ..

ชี้ ไปว่านายคณิตเป็นคนสนิทชิดเชื้ออยู่กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ !!!..

เป็น พวกประชาธิปัตย์ !!! ..

............................................

จะ ว่าไปแล้ว..

พวกไพร่ฝ่ายทักษิณคือส่วนประกอบอันสำคัญมากของปัญหานี้ ..

เป็นจำเลยสำคัญในหลายๆคดีที่ผ่านมา พวกเขาไม่มีสิทธิ์เลือกอยู่แล้ว ..

การเลือกคนกลางเข้ามาทำหน้าที่นี้ รัฐบาลเขาก็เลือกจากบุคคลที่ไม่มีประวัติหน้าที่การงานด้างพร้อย ทว่า ต้องเป็นคนที่สังคมยอมรับได้ มีผลงานเป็นที่น่าเชื่อถือ ซึ่ง นายคณิต ณ นคร เนี่ย คุณสมบัติล้นเหลือทุกประการ..

อันที่จริงเรื่องความพยายามที่ จะกีดกันไม่ให้คนรู้ทัน หรือ คนขัดใจ มาทำงานเพื่อชี้เป็นชี้ตายพวกตนนั้น คนในระบอบทักษิณทำมาจนติดเป็นนิสัยสันดานมาโดยตลอดอยู่แล้ว ..

พวก ลิ่วล้อทักษิณเนี่ย มันด่าตะบันตั้งแต่ ..ตำรวจ ทหาร ข้าราชการกระทรวง สื่อ อัยการ หรือ แม้แต่ผู้พิพากษาในศาล !! ..

คนพวกนี้ มันก็คือ โจร !!! ที่พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะบิดเบือนให้เกิดภาพความไม่ยุติธรรมขึ้นในสังคม ไทย เพื่อฟ้องต่อประชาคมโลก เพื่อสร้างราคาให้กับทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าแก๊งค์ของพวกมัน !!..

งานประจำของพวกลิ่วล้อ เห็บหมัดหมาของทักษิณเหล่านี้ จริงๆก็มีไม่กี่เรื่อง ท่องจำกันมาในเรื่องเดิมๆเหมือนทักษิณ ชินวัตรนั่นแหละ ..

คือ อะไรไม่ถูกใจ และ เป็นอันตรายต่อพฤติกรรมชั่วๆของพวกตน ก็จะบอกว่า ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย ..วนเวียนคำพูดลักษณะนี้ ไปๆมาๆ จนชาวโลกเขาเบื่อหน่าย ..

เนื่องเพราะ..นานวันไป มันก็เหมือนพวกมนุษย์แผ่นเสียงตกร่อง..

สมองตก ส้วม..เข้าไปทุกทีๆ !!!!..

............................................

วินเซนต์

ริม โขง หนองคาย

๙ มิถุนายน ๒๕๕๓

...........................................


http://www.oknation.net/blog/vincentoldbook3/2010/06/09/entry-3
read more "เหตุผลที่ ตู่ จตุพร นักสู้ข้างถนนร่างทรงทักษิณ..กลัว คณิต ณ นคร ..เหลือเกิน ??!!! .. / vincentoldbook - 9 มิถุนายน 2553"

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"อย่าโทษชาวบ้านเสื้อแดงโง่ ผิด เขาไม่เกี่ยววางเกมซับซ้อน" / ประสิทธิ์ ไชยชมพู 7 มิถุนายน 2553

ญาติจะไม่โกรธหรือ เห็นพี่น้องล้มตายบาดเจ็บมากมายขนาดนั้น อย่ายกระดับถึงขั้นก่อการร้าย...รัฐต้องสมานฉันท์กับคนข้างล่าง ข้างบนให้แค่พิธีกรรม

น่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงสงครามการเมือง ประวัติศาสตร์นองเลือดครั้งใหญ่พึ่งผ่านไปหมาดๆ สังเวยเสียชีวิตรวม 88 ศพ บาดเจ็บเกือบ 1,900 คน ตัวเลขผู้สูญหายยังไม่เปิดเผย

แม้จะสยบม็อบเสื้อแดง นปช.ได้ สกัดกั้นกองกำลังติดอาวุธ จับกุมแกนนำบางส่วนและแนวร่วมอีกจำนวนมาก ก็ยังไม่ใช่หลักประกันความสงบสุขจะยาวยืน ความรุนแรงยังกรุ่นในบรรยากาศ

มีข้อเสนอแนวทางออกจากวิกฤติจากนัก วิชาการ ปัญญาชน นักคิดผ่านสื่อมวลชนพรั่งพรู สำหรับ นายบำรุง บุญปัญญา นักพัฒนารุ่นแรกของเมืองไทย ยังคลุกคลีเคลื่อนไหวกับปัญหาชาวอีสาน มีทัศนะมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้

คาดคิดมาก่อนหรือไม่จะเกิดความ รุนแรงถึงขั้นนองเลือด วินาศกรรมเผากรุงขนาดนี้
เพราะระบบเลือก ตั้งตัวแทนของการเมืองไทยภายใต้ทุนธุรกิจมันแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็นำไปสู่การต่อสู้นอกสภา จากการชุมนุมธรรมดา กลายเป็นการปลุกระดมด้วยสื่อ มีการใช้อาวุธปะทะกัน ซึ่งสั่นสะเทือนสังคมอย่างมาก

มันเป็นขั้นตอนตามประวัติศาสตร์ คร่าว ๆ คือ ความล้มเหลวของระบอบรัฐสภาหรือประชาธิปไตยทางอ้อม เมื่อแก้ปัญหาประเทศไม่ได้ ก็ถูกรัฐประหาร ต่อเมื่อกำลังทหารใช้ไม่ได้ อำนาจไม่ยั่งยืน การสร้างมวลชนขึ้นมาล้มอำนาจรัฐ โดยมีทุนหนุนหลังอยู่เหมือนเดิม ความจริงมันคือทุนเก่ากับทุนใหม่สู้กัน ถ้าสู้สันติไม่ได้ ก็เป็นการเมืองแบบหลั่งเลือด

ระลอกแรก การเรียกร้องชุมนุมเป็นค่อยๆ เป็นค่อยไป เรียกร้องประชาธิปไตย ปัญญาชนฝ่ายซ้าย นักศึกษา มวลชนออกมาต่อต้านรัฐประหาร เผด็จการคณาธิปไตย พยายามไม่อิงทักษิณ แต่ในที่สุดก็ค่อยๆ เผยคนอยู่เบื้องหลัง แน่นอนยังต้องพึ่งทุน เป็นพันธมิตรกับทักษิณซึ่งเชื่อมลงถึงทุนท้องถิ่น ทักษิณเองก็คว่ำรัฐธรรมนูญ 2540 สร้างระบอบทักษิณหรือธนาธิปไตยขึ้น ซึ่งเป็นเผด็จการรัฐสภา

ระลอกที่สอง ความต้องการเพิ่มปริมาณมวลชนเพื่อกดดันรัฐบาล จึงต้องผ่านทุนท้องถิ่นในคราบส.ส.เกณฑ์มวลชนมา ปัญญาชน คอมมิวนิสต์ อยากจะเลยประเด็นทักษิณไป แต่ชาวบ้านไม่เชื่อยังอยู่กับทักษิณ ยิ่งแกนนำรุ่น 2 จัดตั้งมวลชนแบบนักเลงไร้ระเบียบ จากหัวคะแนนท้องถิ่น เปิดให้แนวทางรุนแรง สายเหยี่ยวกุมการนำม็อบ การปะทะจึงเกิดขึ้นตลอดมา

ดังนั้น ยุทธการราชประสงค์ล้มเหลว แม้พยายามจะชูว่าเลยประเด็นทักษิณไปแล้ว แต่จริงๆ ยังไม่เลย และปัจจัยชี้ขาดทำให้พ่ายแพ้ ก็คือในขบวนการขัดแย้งกันเอง หรือแพ้ภัยตัวเอง เมื่ออำนาจรัฐไม่ตอบสนอง สถานการณ์นี้จึงกดดันให้สายพิราบกลายเป็นสายเหยี่ยว จึงผสมวิธีการทั้งเคลื่อนไหวมวลชน ในสภา สื่อสารมวลชน และกองกำลังติดอาวุธ และขณะนี้กำลังนำไปสู่สถานการณ์ต่อสู้ใต้ดิน ซึ่งต่อสู้แบบเปิดเผยผ่านพรรคการเมือง มวลชน จะยังมีอยู่

รัฐบาล ศอฉ.ผิดผิดพลาดตรงไหน
ก็ น่าจะรู้ ความขัดแย้งของกลุ่มคนกับอำนาจรัฐมีมาเป็นพันปีแล้ว เช่น คาธอลิกเจ้าศาสนจักรกับคริสต์โปแตสแต็นท์ การสู้รบระหว่างชนเผ่ากับจักรวรรดินิยม สงครามกลางเมืองกัมพูชา หรือแม้แต่มาร์ติน ลูเธอร์ คิงกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ก็ล้วนต้องจบลงด้วยการเจรจา เพราะที่ผ่านมาต้องสูญเสียนองเลือด ในเมื่อรัฐบาลไทยเลือกวิธีการปราบ จึงถือว่าผิดธรรมชาติความเป็นรัฐ

ถ้าเป็นความผิดทางการเมืองไม่ถือว่า เป็นอาชญากร ก็ไม่ควรปฏิบัติกับพวกเขาแบบนักโทษรุนแรง แต่การตั้งข้อหาก่อการร้ายย่อมมีนัยสำคัญ หมายความว่าถ้าเคลื่อนไหวอีกไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทักษิณก็ต้องถูกปราบ เท่ากับรัฐไปยกระดับให้ นปช.มีฐานะเท่ากับ กลุ่มอัลกออิดะฮ์ กบฏในอัฟกานิสถาน อาบูไซยัฟในฟิลิปปินส์ แต่สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐยังเรียกเป็นแค่ ผู้ก่อความไม่สงบ

ข้อหาก่อการร้าย จึงเป็นเสมือนชี้เป้าศัตรู ข้อหาก่อการร้ายทำให้ลงใต้ดินโดยปริยาย จึงมีนัยอยากกำจัดกินรวบทั้งทักษิณ ทั้งซ้ายเก่า และทหารแตงโม ส่อถึงฝ่ายความมั่นคงต้องการใช้กำลังต่อไป และต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไป

การปราบ การไล่ล่า จะทำให้สายพิราบกลายเป็นสายเหยี่ยว จากนี้ถ้าเสื้อแดงข้ามพ้นทักษิณได้ ตั้งหลักได้ จัดระเบียบได้ โรงเรียนการเมืองของพวกเสื้อแดงทำได้ แนวทางใต้ดินก็จะเป็นปึกแผ่น ก็จะคล้ายกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ยังต้องชูเรียกร้องประชาธิปไตย

ประชาชนที่ตาย บาดเจ็บ จะไปโทษเขาไม่ได้ว่าหลงผิด หรือสมควรกำจัด เพราะคนจนก็มีสิทธิความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน

ถ้ามีเลือกตั้งเกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องฟัดกับพรรคเพื่อไทยอย่างหนักแน่นอน อาจเกิดการยิงฆ่ากันนองเลือดเหมือนฟิลิปปินส์เพิ่งผ่านไปหยกๆ และแม้เลือกตั้งได้ แต่ตัวละครก็เหมือนเดิม สภาแบบเดิม จึงยังน่าสงสัยอยู่ นองเลือดราชประสงค์แล้วจะยังมีการเลือกตั้งได้จริงหรือ

โรดแม็ปปรองดอง รัฐบาลแห่งชาติ จะเกิดหรือไม่
รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์นอง เลือดได้จริงหรือ ตั้งแล้วจะได้รับความเชื่อถือหรือไม่ แผนปรองดองน่าจะเป็นแค่เป้าหลอก เพราะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบก็ไม่สำเร็จ แต่แผนที่แน่ชัดคือรัฐบาลต้องการผ่านงบประมาณปี 54 แล้วก็รอเลือกตั้งกันใหม่ ซึ่งปัญหาก็รออยู่แล้ว ความง่อนแง่นของรัฐบาล จะทำอย่างไรไปภาคเหนือ ภาคอีสานก็ลำบาก แม้แต่กทม.เอง ก็น่าเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์เองจะไม่สามารถเพิ่มเก้าอี้ได้ อาจจะมีพรรคใหม่แทรกขึ้นมา คล้ายกับช่วงเกิดพรรคพลังธรรม

ส่วนรัฐบาลแห่งชาติในความหมายจากบุคคล อื่นที่ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นักเลือกตั้งที่คุมเสียงพื้นที่แล้ว เป็นไปได้ยาก เพราะทุนท้องถิ่นจะไม่ยอมให้ใครชุบมือเปิบ ขณะที่ทักษิณยังทำตัวเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ เคลื่อนไหวระดับสากล

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยังสามารถ อยู่ได้ แม้มีคนตายจำนวนมาก ผิดกับเหตุการณ์ในอดีต
ในอดีต รัฐบาลที่มีคนตายต้องรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ลาออก ยุบสภา แต่สำหรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนหนึ่งเพราะปมกองกำลังติดอาวุธ กับคนชั้นกลางผนึกกันต่อต้าน นปช. แต่ที่สำคัญคือกลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล

ถ้าเลือกตั้งใหม่เชื่อว่าทักษิณจะกลับ มามีอำนาจ และถ้ารัฐบาลไม่ยกเลิกข้อหาก่อการร้าย จะเป็นเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง ซึ่งก็เป็นการเลือกตั้งแบบล้มเหลวอีกอย่างแน่นอน ปัญหายุ่งยากรออยู่และม็อบจะเกิดอีก ถ้าม็อบไม่เข้าลักษณะก่อความรุนแรงก็จะดี สังคมจะได้ตื่นรู้ประชาธิปไตยทางตรง ตื่นจากการแยกขั้ว คนจะมาสมานฉันท์กัน และต้องมาสมานฉันท์กับคนจนเท่านั้น ในการแก้ปัญหาของพวกเขาจึงจะตรงจุดที่สุด การสมานฉันท์กับข้างบนขอให้เป็นแค่พิธีกรรมก็พอ เช่น นำสวดมนต์กันทั่วประเทศ สำหรับสื่อมวลชนถ้ายังมองคนจน มองคนเสื้อแดงแบบศัตรู ก็จะกดดันไปสู่กองเพลิงอีก

คุณบำรุงเห็นกลุ่มมวลชนเสื้อ แดงคนอีสานเป็นอย่างไร
ต้องเข้าใจว่าคนอีสานผ่านกระบวนการ ต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการมาหลายยุค ทั้งในขบวนการเสรีไทย หลังขบวนการเสรีไทยก็สูญเสีย 4 รัฐมนตรีภาคอีสาน ต่อสู้ผ่านพรรคสังคมนิยม และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รวมทั้งขบวนการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)

มวลชนคนยากจนด้อยโอกาสต่อต้านสังคม ในรูปเดินขบวนชุมนุมประท้วง แม้แต่นอนหลับทับสิทธิ์ไม่ไปเลือกตั้ง หรือกาโนโหวตก็ทำมาแล้ว นี่คือช่องทางพวกเขาจะทำได้ ขอให้มีพื้นที่จะทำได้ ดังนั้น เมื่อเกิดความรุนแรง แล้วรัฐบาลใช้วิธีการรุนแรงตอบโต้ ก็เท่ากับเป็นคนร้ายเสียเอง เมื่อมีคนตายบาดเจ็บจากการกระทำของรัฐ ปัญหาตอนนี้จึงไม่ใช่แดงไม่ใช่เหลือง แต่เป็นปัญหาประชาชนกับรัฐ

ทุกคนที่ถูกตัดชีวิตก็เป็นคนเท่ากัน รัฐหรือใครจะมาตราหน้าว่าคนจนที่เข้าร่วมกับขบวนการ นปช.โง่ ผิด อยู่ร่ำไปไม่ได้ เพราะเหตุผลพวกกุมยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการต่อสู้อย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนต่าง ๆ พวกผู้ชุมนุมชาวบ้านไม่ได้รู้เห็นด้วย จะอ้างกองกำลังติดอาวุธในกลุ่มผู้ชุมนุม ชาวบ้านเขาก็ไม่รู้ด้วย มันเป็นแค่ช่องทางแสดงออกไม่พอใจต่ออำนาจรัฐ จุดยืนของชาวบ้านก็มีเท่านั้น เรียกร้องให้รัฐบาลมาแก้ปัญหาของพวกเขา

คิดดูสิชาวบ้านโดนรีดไถ ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้ แล้วเรื่องกองกำลังอะไรนั้น พวกกูจะไปรู้ได้อย่างไง (เสียงเริ่มเคร่งเครียดจริงจัง) ทีนี้สื่อมวลชนก็ยังไม่มีสติปัญญาพอ ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์การต่อสู้กับอำนาจรัฐที่มีมาตลอดทุกชนชาติอยู่แล้ว จนมีข้อสรุปว่าการฆ่าทำลายล้างผู้ต่อต้านไม่ใช่ทางออก การทำลายล้างละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ผ่านมา ในสงครามเวียดนาม สงครามอีรัก หรือในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ก็สื่อมวลชนก็มีส่วนเช่นกัน

นี่เป็นการมองจากข้างล่าง ซึ่งไม่เกี่ยวกับแบบมองจากข้างบน ที่ออกแบบซ้อนแผน วางกลไกเพื่อทำลายล้างกัน พวกข้างล่างนี่ไม่รู้ไม่เกี่ยว ดังนั้น จะไปตัดสินพวกเขาเป็นศัตรูก็จะเป็นอันตราย

อุดมการณ์ของเสื้อแดง นปช. คืออะไรกันแน่
อุดมการณ์แดงนปช. ซึ่งก่อรูปมาหลายสมัยแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ก็อุดมการณ์เดียวกัน ถ้าถึงขั้นสูงเลยตัวบุคคลทักษิณไปแล้ว ก็จะไปหารัฐไทยใหม่ รัฐของไพร่ สถาบันสำคัญที่เป็นอุปสรรคต้องสิ้นสุด ทหารกองทัพต้องอยู่ภายใต้ประชาชนปฏิวัติ ชัดเจนอยู่แล้ว

ระหว่างชุมนุมก่อนถูกปราบ พวกชุมนุมด้วยกันเองก็ถามตัวเองอยู่บ้างว่าที่พวกเขาทำไปนี่มันรุนแรงไปหรือ เปล่า แต่หลังจากถูกปราบปรามแล้ว คำคอบก็ชัด คือไม่ใช่แล้ว ให้คิดดูญาติเขาเห็นพี่น้องต้องมาตาย ต้องบาดเจ็บถึงขนาดนี้ เขาจะไม่โกรธแค้นหรือ ส่วนจะแสดงออกช่องทางไหน ถ้าเขาทำได้ก็คงทำ ตอนนี้สถานการณ์เป็นสามกลุ่ม คือ รัฐ กับ กลุ่มต่อต้านรัฐ และกลุ่มพลังเงียบ ซึ่งกลุ่มพลังเงียบนี่แหละกำลังถูกช่วงชิงจากสองกลุ่มด้วยเครื่องมือสื่อสาร

ภาคประชาชนภาคอีสาน จะเสนอแนวทางออกอย่างไร
เราย้ำเสมอ ภาคประชาชนเสนอมาตลอด เราปฏิเสธการเมืองสามานย์ที่เป็นอยู่ ธุรกิจนำการเมือง พรรคของทักษิณชินวัตร จึงถูกต่อต้านจากภาคประชาชน เพราะนำโครงสร้างธุรกิจมาครอบงำการเมือง เพราะต้องการความรวดเร็ว มือเติบ พลิกแพลง ควบรวม ฮุบกิจการรัฐวิสาหกิจ เกิดผลประโยชน์กลับเข้ากระเป๋าทุนการเมืองอย่างมหาศาล ซึ่งก่อผลสะเทือนทั้งสังคม ใช้ทุนสู้ทุน เพื่อล้มอำนาจการเมืองของทุนเก่า

ทุนนิยมสุดขั้วแบบทักษิณ คือไม่รับกติกา แก้กติกาเพื่อตัวเอง ฮุบ ข่มขู่ เลี่ยงหลบกฎหมาย ส่วนที่อ้างสร้างรัฐสวัสดิการในรูปโครงการประชานิยมต่างๆ แต่เป็นการสร้างภาระหนี้สินให้สังคม เพราะไปกู้ต่างประเทศมา หรือออกพันธบัตรกู้ในประเทศ แต่สิ่งที่ควรต้องทำกลับไม่ทำ นั่นคือ แก้ไขกฎหมายภาษีก้างหน้า กฎหมายมรดก ซึ่งนำมูลค่าส่วนเกินสะสมในกลุ่มมั่งคั่งร่ำรวยนำมาเฉลี่ยแก่คนในสังคม กลุ่มทุนธุรกิจการเมืองไม่มีใครอยากทำ หากเป็นสวัสดิการแบบลวงๆ แบบนี้ก็จะลงเอยแบบละตินอเมริกาอย่างแน่นอน รวมทั้งล่าสุด กรีซ ในกลุ่มยุโรปกำลังเจอ

ข้อเสนอของภาคประชาชนคือ 1.สร้างประชาธิปไตยทางตรงนำ ประชาธิปไตยตัวแทนตามหลัง 2.ส่งเสริมพหุสังคม หรือเอกภาพบนความหลากหลา คนทุกชาติพันธุ์ในประเทศไทยได้รับสิทธิ เสรีภาพเสมอหน้ากัน ซึ่งสอดคล้องกับชีวนิเวศ หรือทางสังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา เรียกนิเวศวัฒนธรรม ซึ่งกินความหมายลึกซึ้ง กว้างไกลกว่า เอกภาพดินแดน

เราเสนอสิทธิตามธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่ กำเนิด ซึ่งใช้โต้แย้งรัฐธรรมนูญที่ละเมิดสิทธิเราได้ เพราะรัฐธรรมนูญก็มีโรคแทรกซ้อนเยอะ เฉพาะคนภาคอีสานโดยรวมเราเรียกว่า ธรรมนูญอีสาน ที่ประกอบจากธรรมประเพณี จารีต นิเวศน์ ประวัติศาสตร์ เช่นที่เราเสนอให้ทุกรัฐบาลไปแล้ว คือต้องปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ กฎหมายป่าชุมชนคนอยู่กับป่า กฎหมายภาษีอัตราก้าวหน้า กฎหมายที่ดิน แต่รัฐบาลไม่ยอมทำ หรือทำทีไม่เข้าใจ


http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/news-maker/20100607/119590/news.html
read more ""อย่าโทษชาวบ้านเสื้อแดงโง่ ผิด เขาไม่เกี่ยววางเกมซับซ้อน" / ประสิทธิ์ ไชยชมพู 7 มิถุนายน 2553"

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แผนดับซ่า“ก๊วนพินิจ” เขี่ยทิ้ง “เพื่อแผ่นดิน” ปฏิบัติการ“เด็ดหัวพญานาค” / นกหวีด - 7 มิถุนายน 2553

ถึงอยากจะเห็นครม.อภิสิทธิ์5 มีคนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีบริหารบ้านเมือง ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงานได้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เพียงสลับสับเปลี่ยนเก้าอี้ตามโควตา เก้าอี้ดนตรี หรือสมบัติผลัดกันชม

แต่ด้วยข้อจำกัดทางการเมือง ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายก รัฐมนตรีต้องบริหารจัดการควบคู่กันไปกับภารกิจบริหารประเทศชาติบ้านเมือง ครม.ชุดใหม่ที่คลอดออกมาหลังผ่านวิกฤติม็อบเสื้อแดงและการอภิปรายไม่ไว้วาง ใจ

ก็ถือว่าพอไปไหว ได้น้ำได้เนื้อพอสมควร

แม้ไม่อาจเรียกได้ว่ายกเครื่องคุณภาพกันครั้งใหญ่ อาจเรียกว่าเป็นการจัดครม.ที่ให้น้ำหนักกับการบริหารการเมืองเป็นหลักโดย เฉพาะเรื่องระบบโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งการแก้ไขความแตกแยกระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อแผ่น ดิน จากศึกซักฟอก

หลังครม.เปิดโฉม แน่นอนว่าจะต้องให้โอกาสการพิสูจน์ฝีมือการทำงานในแต่ละจุด

แต่ที่พอเรียกได้ว่าเป็นที่หวัง คือการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่ดูแลสื่อ

จากนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย มาเป็นนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่จะเข้ามาเป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ

ถือได้ว่าการปรับเปลี่ยนจุดนี้ “อภิสิทธิ์”รับฟังเสียงสะท้อนจากสังคมพอสมควร อีกทั้งการให้ องอาจ คล้ามไพบูลย์ มาดูแลงานด้านสื่อรัฐแทน ก็ถือว่าจัดคนได้เหมาะกับงานใน ในฐานะรมต.ที่ เคยผ่านงานทางด้านหนังสือพิมพ์ น่าจะมีความรู้ความเข้าใจงานสื่อพอสมควร

โดยเฉพาะการบริหารงานสื่อรัฐ โดยเฉพาะในการต่อสู้แข่งขันกับการปลุกปั่นของสื่อของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เริ่มขยับเคลื่อนไหวเตรียมปูพรมเผยแพร่ข้อมูลที่กระตุ้นให้เกิดความแตก แยกขึ้นอีกครั้งแล้ว

นอกจากนี้ ปัญหาที่ไม่ควรละเลยของนายกฯและผู้จัดการรัฐบาล สุเทพ เทือกสุบรรณ กับแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นทั้งในพรรคประชาธิปัตย์ คนถูกปรับออกก็ส่งสัญญาณความไม่พอใจออกมาให้เห็นแล้ว

“อภิสิทธิ์-เทพเทือก”ต้องใช้เหตุผลอธิบาย ชี้แจงถึงความจำเป็น รัฐมนตรีที่อกหักต้องได้รับการ“เยียวยาความไม่พอใจ”

ปัญหาใหญ่อีกด้านที่ต้องเจอหนักแน่ ก็คือการบริหารจัดการแรงกระเพื่อมทางการเมืองจากนอกพรรค ในการโละรัฐมนตรีของกลุ่มใหญ่ในพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีปัญหาการลงคะแนนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในลักษณะโหวตสวน2รัฐมนตรีจาก พรรคภูมิใจไทย

การเขี่ยทิ้งโควตาของเพื่อแผ่นดิน ในกลุ่มของว่าที่ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี เกษม รุ่งธนเกียรติ และแนวร่วม พินิจ จารุสมบัติ ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ถือได้ว่า “อภิสิทธิ์-เทพเทือก”กล้ามากที่จะจัดการกับความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาล

แม้ทางหนึ่งจะถูกมองว่า อภิสิทธิ์ เลือกอุ้มรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ที่หลังการอภิปรายฯ ยังมีข้อกังขาในแง่ความไม่โปร่งใสในการบริหารงาน และมีคะแนนไว้วางใจรั้งบ๊วย

ทำให้ภาพที่ออกมา “อภิสิทธิ์”ถูกเนวิน ชิดชอบ ผู้ยิ่งใหญ่ของพรรคภูมิใจไทยขี่คอบงการ โดยนายอภิสิทธิ์ ก็รู้ดีและระมัดระวังภาพลักษณ์ตรงนี้ แต่เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องจัดการแบบแยกส่วน

กล่าวคือ ข้อกล่าวหาทุจริตคอรัปชั่นของสองรัฐมนตรีและพรรคภูมิใจไทยเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องจัดการต่อไป แต่อีกปัญหาใหญ่เฉพะหน้าที่ต้องจัดการก่อน คือความไร้เอกภาพในการคุมเสียงของผู้มีบารมีในกลุ่มของพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่จะส่งผลเสถียรภาพรัฐบาล

โดยเฉพาะท่าทีของกลุ่มก๊วนเพื่อแผ่นดิน ที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการทำงาน โดยเฉพาะกระทรวงไอซีทีในการสกัดกั้นสื่อออนไลน์เว็บไซต์อินเตอร์เน็ต ไม่มีส่วนร่วมกับการแก้ไขวิกฤติม็อบเสื้อแดงเท่าที่ควร

มิหนำซ้ำ ยังมีกระแสข่าวต่อเนื่อง เตรียมชิ่งไปจับมือพรรคเพื่อไทย มีความเคลื่อนไหวการต่อสายไปยังทักษิณ ชินวัตร แม้ยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายวิเคราะห์เกมการเมืองของประชาธิปัตย์ จับตามาพักใหญ่

และคีย์แมนพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลือกที่จะจัดการตัดไฟแต่ต้นล้ม ด้วยการปรับรัฐมนตรีในโควต้าของกลุ่มการเมือง3กลุ่มนี้ออกจาก ครม.

เพราะนอกจากกลุ่มโคราชของไพโรจน์ และกลุ่มสุรินทร์ ของนายเกษม
รุ่งธนเกียรติแล้ว การเขี่ยเพื่อแผ่นดินครั้ง ยังถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่กลุ่มวังพญานาค ของพินิจ –ปรีชา เดินแต้มผิดพลาดจนต้องหลุดวงโคจรอำนาจ


โดยเฉพาะ พินิจ ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือยุทธจักรการเมืองระดับที่เรียกกันว่า“เซียน เหยียบหิมะไร้ร่องรอย” เดินเกมล้ำลึกจนสามารถเข้าร่วมแบ่งปันอำนาจ มีตำแหน่งมาตลอดทุกยุคสมัย แม้กระทั่งในรัฐบาลขิงแก่ หลังการรัฐประหาร

ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก ที่เจ้าพ่อวังพญานาคเสียท่า ด้วยเพราะการประเมินและเดินเกมพลาด เร่งเกมกดดันนายกฯและรัฐบาล หักดิบกับพรรคคู่แข่งภูมิใจไทย ด้วยเพราะ“ความแค้นสั่งสม”

โดยตั้งแต่กลุ่มการเมืองวังพญานาคเข้าร่วมรัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็ไม่พอใจที่พรรคภูมิใจไทยมีแต้มต่อทีเหนือกว่า จนได้โควตาเก้าอี้เกรดเอไปครองหลายกระทรวง ขณะที่เครือข่ายตัวเอง ได้รับการจัดสรรโควต้ากระทรวงที่ด้อยกว่า

ขณะเดียวกันก็เกิดกระทบกระทั่งกับพรรคภูมิใจไทยในการร่วมรัฐบาล ขบเหลี่ยมปีนเกลียวเรื่องกันในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคอีสาน ที่ต่างถือว่าเป็นพื้นที่เป้าหมายในสนามเลือกตั้ง

จนมีปัญหาการแบ่งปันงบฯ คำขอฝากเด็กในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการของใครของมัน ต่างฝ่ายต่างตัดขาด ไม่ให้การสนับสนุน เสมือนประกาศตัวเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจน

ความไม่พอใจทั้งหมดที่สั่งสม กลุ่มโคราช สุรินทร์ และก๊กวังพญานาค จึงจับมือกันเดินเกมที่คิดว่าจะเป็นการหักหน้าเพื่อสั่งสอนพรรคภูมิใจไทยและ นายเนวิน ในวันลงมติศึกซักฟอก

โดยประเมินว่า ด้วยเสียงที่คุมอยู่3กลุ่ม10-20เสียงจะเป็นพลังต่อรอง ที่ทำให้พรรคแกนนำประชาธิปัตย์ ไม่กล้าหักหาญทำอะไรให้ส่งผลต่อเสียงสนับสนุนรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการต้องอาศัยมือในการโหวตผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณอีกไม่ กี่เดือนหน้านี้

แล้วการเมืองสูตรคณิตศาสตร์ของพินิจ ก็โดนพิษ “สูตรแก้เผ็ด”ของประชาธิปัตย์และเนวิน

เพราะพรรคประชาธิปัตย์ มีแผนและเดินเกมรองรับไว้ล่วงหน้า เห็นได้จากการแก้รอท่าทีอาการยึกยักของพรรคเพื่อแผ่นดินหลายครั้ง ในรูปแบบเดียวกันกับที่ใช้กับพรรคภูมิใจไทย

ทั้งการ“บอนไซ”การเติบโต โดยการกำหนดกรอบการจัดสรรงบฯอย่างเข้มงวด อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรมที่นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ต้องออกมาบ่นผ่านเสียงเพลง น้อยเนื้อต่ำใจ หรือการยื้อเมกะโปรเจ็กต์ในกระทรวงไอซีที โดยเฉพาะเค้กก้อนโต โครงการโทรศัพท์ 3 จี รวมทั้งการดองโปรเจ็กต์ในกระทรวงการคลัง ในความรับผิดชอบของ นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์

แถมยังต่อสายหาอะไหล่สำรอง กรณีฉุกเฉิน ทั้งในกลุ่มอื่นๆของพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ใครก็มองออกว่าไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียว 32เสียงแบ่งแยกกันถึง 6 กลุ่มย่อย

รวมทั้งที่สำคัญคือบรรดาส.ส.กลุ่มดาวกระจาย ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้แทนฯหน้าใหม่ ประเภท“ปรอทวิ่งจับขั้ว” ไหลไปไหลมาตามดุลอำนาจและพลังอัดฉีดของกลุ่มก๊วนในแต่ละช่วงสถานการณ์

พรรคประชาธิปัตย์ จึงอาศัยช่องทางตรงนี้ ดึงส.ส.มาทดแทนเสียงที่ขาดหายไปจาก 3กลุ่มเพื่อแผ่นดิน แม้แต่การอาศัยต่อสายตรงกับคนพรรคประชาธิปัตย์เก่า ไชยยศ จิรเมธากร ส.ส.อุดรฯ ในสังกัดกลุ่มวังพญานาคเอง

รวบรวมเสียงดาวกระจาย แม้กระทั่งสมาชิกกลุ่มพญานาคที่ไม่อยากปิ๋วไปเป็นฝ่ายค้านมาสนับสนุนให้นั่ง เก้าอี้รัฐมนตรีได้สำเร็จ และได้เสียงหนุนรัฐบาลทดแทนที่ขาดหาย

อีกด้านกับการประสาน ดร.มั่น พัธโนทัย รักษาการหัวหน้าพรรค มาตุภูมิ หอบ 3 เสียง ส.ส.พรรคนี้มาเติมแต้มรัฐบาล และยังได้บางส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดิน จากสายของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกที่ แตะมืออยู่กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานที่ปรึกษาพรรคมาตุภูมิ

ไม่เท่านั้น ประชาธิปัตย์ยังมีแผนสำรองที่เตรียมไว้ ทั้งการต่อสายทางพรรคประชาราช ของเสนาะ เทียนทอง โดยได้นายเนวิน ที่สนิทสนมกับเจ้าพ่อวังน้ำเย็น ลูกหลานตระกูลเทียนทองไปร่วมประชุมพรรคภูมิใจไทยหลายครั้ง และอาจได้ตัวมาร่วมพรรคในอนาคต

ยังมีเสียงจากงูเห่าในเพื่อไทย นอกจากสายของนายเนวินไข่ทิ้งไว้โดยตรง ยังมีบางส่วนก็ต้องใช้การอัดฉีดสนับสนุน ทั้งหาสปอนเซอร์มาเองหรือใช้ของหลวง “ซื้อใจ”ไว้ได้อีกนับสิบราย โดยเฉพาะส.ส.ในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือหลายจังหวัด

จำนวน10-20ราย ที่มีใจให้กับเนวิน และไม่ยากที่หากจะเรียกใช้บริการ หรือเป็นตัวช่วยอะไหล่สำรองให้รัฐบาลในยามฉุกเฉิน และเมื่อมีการร้องขอ

ฉะนั้น จึงพูดได้ว่า เสียงส.ส.10-20รายที่ ไพโรจน์-เกษม-พินิจ-ปรีชา คิดจะใช้เดินเพิ่มน้ำหนักในการต่อรอง เดินเกมหนักและแรง

สั่งลูกทีมโหวตสวนรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย เรื่องนี้มีการรับรู้ข้อมูลความเคลื่อนไหว และมีการประเมินสถานการณ์กันไว้ล่วงหน้า

จึงได้เห็น อภิสิทธิ์-เทพเทือก และเนวิน ไม่กลัวที่จะหักดิบกลุ่มก๊วนในพรรคเพื่อแผ่นดิน จับมือกันเปิดยุทธการ “เด็ดหัวพญานาค”สำเร็จ!!

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000078140
read more "แผนดับซ่า“ก๊วนพินิจ” เขี่ยทิ้ง “เพื่อแผ่นดิน” ปฏิบัติการ“เด็ดหัวพญานาค” / นกหวีด - 7 มิถุนายน 2553"

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แฉ 7 อุปสรรคใหญ่ลาก “แม้ว” ลงโทษไม่ได้ หวั่นเกมพลิกให้ 'แดงตัวพ่อ' ชนะ! / ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 3 มิถุนายน 2553

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ฟันธง 7อุปสรรคใหญ่ขวางรัฐบาลไทยลากคอ พ.ต.ท.ทักษิณ มาลงโทษในคดีก่อการร้าย ขณะที่ 'แม้ว' มีโอกาสพลิกเกมเป็นฝ่ายชนะสูง จากการต่อสู้ 3 ประเด็นใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนสู้อ้าง “ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง-กลัวถูกฆ่า-กลัวถูกทรมาน” อีกทั้งกฎหมายมอนเตรเนโกรเป็นเกราะปกป้องที่สำคัญ โดยเฉพาะประเด็นสัญชาติที่ท้ายสุดไทยจะต้องขึ้นสู้ในศาลมอนเตรเนโกรก่อน พร้อมแนะรัฐอย่าท้อเดินหน้าพิสูจน์หลักฐานโยง 'ทักษิณเป็นผู้ก่อการร้ายตัวพ่อ' ต่อ เชื่อหลักฐานท่อน้ำเลี้ยงสำคัญสุดในการชี้แจงต่างชาติ


แม้เหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศไทยจะจบไปแล้ว แต่ภาพที่ติดตาคนไทยทุกคนคือภาพการเผาบ้านเผาเมือง ภาพการใช้อาวุธสงคราม ภาพการวางระเบิดตามบ้านคนสำคัญของประเทศไทย ภาพการก่อวินาศกรรมระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งบนดินและใต้ดิน กระทั่งประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องอยู่ในภาวะตื่นกลัว เกิดความไม่มั่นใจความไม่ปลอดภัย

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น รัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)สะท้อนให้เห็นว่ามีการเชื่อมโยงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จึงเป็นที่มาให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เตรียมฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีก่อการร้ายดังกล่าว ด้วยความมั่นใจว่าหลักฐานในมือแน่นหนาสุดๆ และถ้ามีการดำเนินคดีอาญาฯในประเทศไทยโอกาสชนะก็มีสูง แต่ทว่าเรื่องนี้กลับเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง และโอกาสเอาตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาลงโทษยังมีแค่ริบหรี่ ด้วยอุปสรรคที่เกิดจากปัจจัยภายในและภายนอกประกอบกัน

3 ปัจจัยภายใน
ขวางรัฐลากคอทักษิณ!


สำหรับปัจจัยภายในประเทศ มี 3 ประเด็นสำคัญ คือ

ประเด็นแรก ขึ้นอยู่กับวินิจฉัยขององค์คณะผู้พิพากษาศาลอาญา แม้ว่าขณะนี้ศาลอาญาฯจะอนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว แต่ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ยื่นอุทรณ์เพิกถอนหมายจับ ซึ่งศาลจะพิจารณาในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ และมีสิทธิที่ศาลจะพิจารณาเพิกถอนหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณได้เช่นกัน

ผศ.วิชัย ศรีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ศาลอาญาของไทยจะเป็นผู้พิจารณา ว่าจะเพิกถอนหมายจับหรือไม่ โดยการเพิกถอนหมายจับจะเกิดขึ้นเมื่อทนายฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ มีหลักฐานที่ยืนยันว่าจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับการก่อการร้ายที่เกิดขึ้น ก็สามารถเพิกถอนได้ แต่แม้จะเพิกถอนก็ต้องยอมรับว่าคดีก่อการร้ายจะยังไม่จบ เนื่องจากมีความเสียหายเกิดขึ้นกับประเทศชาติ ฉะนั้นหากศาลเพิกถอนหมายจับของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดีเอสไอหรือตำรวจก็สามารถหาพยานเพิ่มเติมมาเพื่อขอให้ศาลพิจารณาออกหมายจับ อีกครั้งหนึ่งได้ ฉะนั้นดีเอสไอจะต้องมีหลักฐานที่แน่นหนาพอ

ประเด็นที่สอง หากมีปัญหาเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างประเทศ ศาลอาญามีสิทธิที่จะพิจารณาคดีลับหลังกับจำเลยไม่ได้

ผศ.วิชัย กล่าวว่าคดีอาญาทุกคดีจะไม่สามารถพิจารณาลับหลังได้ โดยเฉพาะกฎหมายอาญาของไทยที่มีข้อกฎหมายเรื่องของอายุความกำหนดไว้ กล่าวคือถ้าไม่ฟ้องจำเลยภายในอายุความ ใครจะฟ้องจำเลยในกรณีนี้อีกไม่ได้ จึงทำให้คดีอาญาฯในประเทศไทยต้องมีตัวจำเลย คือ พ.ต.ท.ทักษิณมาปรากฎตัวในการพิจารณาคดี จึงต้องอาศัยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และต้องดำเนินคดีตามอายุความตามคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาตรา 135 คือสิบปี ฉะนั้น หากไม่มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ศาลอาญาของไทยก็ไม่สามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้

ประเด็นที่สาม กระทรวงต่างประเทศ ทำงานตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณได้ยาก ขณะที่ดีเอสไอต้องรอการเดินหน้าประสานกับต่างประเทศของกระทรวงต่างประเทศ และอัยการต่างประเทศ

กรณีนี้ ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้ว่า ขั้นตอนตามที่กระทรวงการต่างประเทศสามารถกระทำได้นั้น คือ การรวบรวมข้อเท็จจริง และพิจารณาข้อกฎหมายระหว่างประเทศที่มีความแตกต่างในแต่ละรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องทำหนังสือเพื่อประสานจับกุมตัวพ.ต.ท.ทักษิณชั่วคราวให้มีความ สอดคล้องทั้งกฎหมายของไทยและประเทศนั้นๆ ดังนั้น จึงค่อนข้างเป็นการยากและต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควรในเรื่องดังกล่าว

นอกจากนี้ยังต้องขอความร่วมมือถึงการเดินทางและการพำนักในประเทศ ต่างๆเพื่อทำการศึกษาข้อกฎหมายของประเทศนั้นๆเพื่อนำไปสู่การดำเนินการจับ กุมตัวต่อไป รวมถึงการพิสูจน์ทราบถึงที่พำนักของพ.ต.ท.ทักษิณเพื่อนำไปสู่การทำหนังสือ และการประสานการออกหมายจับดังกล่าวด้วย ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีการที่อยู่ในลักษณะไล่จับและค่อนข้างช้าเพราะต้อง อาศัยการทำงานของสถานทูตในแต่ละประเทศเข้าช่วยด้วย ซึ่งหากได้รับการร่วมมือจากตำรวจสากลที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงจะสามารถ ดำเนินการได้รวดเร็วกว่ามาก

ขณะที่ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ในส่วนของดีเอสไอท้ายที่สุดแล้วจะต้องรอการประสานขอให้มีการส่งตัวผู้ร้าย ข้ามแดนจากต่างประเทศ โดยกระทรวงต่างประเทศกับอัยการต่างประเทศก่อน ทั้งนี้ในการประสานงานระหว่างประเทศ หากกระทรวงต่างประเทศกับอัยการต่างประเทศได้ประสานงานกับประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปอาศัยอยู่เรียบร้อยแล้ว ดีเอสไอก็พร้อมที่จะนำหลักฐานที่ดีเอสไอมีอยู่ไปแสดงกับต่างประเทศ ซึ่งเชื่อมั่นว่าเป็นหลักฐานที่มัดตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีก่อการร้ายได้ เพราะกฎหมายความผิดฐานก่อการร้ายในไทย ได้มีการยกร่างในมาตรา 135/1 135/2 135/3 ตามหลักสากลมาก่อนหน้านี้ ทำให้พยานหลักฐานที่เก็บรวมรวมเป็นพยานหลักฐานที่มีมาตรฐานเดียวกันกับหลัก สากล ฉะนั้นมั่นใจว่าต่างชาติจะเชื่อในหลักฐานที่ดีเอสไอมีอยู่

3 ข้อต่อสู้ศาลนอกเห็นใจทักษิณ

ขณะที่ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศไทย ดูเหมือนว่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องทำงานหนักกว่าปกติ และการจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดีในไทยนั้นยิ่งยากมากกว่าคดีปกติโดยทั่วไป โดยปัจจัยภายนอกจะประกอบด้วย

ประเด็นที่สี่ การต่อสู้ด้านการตีความเรื่องการเกี่ยวข้องกับการเมือง ระหว่างสำนักงานอัยการสูงสุดและรัฐบาลไทย ให้ต่างประเทศเข้าใจ เป็นเรื่องยาก

ผศ.วิชัย มองว่า ขณะนี้สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะต่อสู้นั้นมีอยู่ 3 เรื่องคือ ต่อสู้ว่าคดีก่อการร้ายที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอยู่นั้นเป็นคดีทางการ เมือง มีเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่เป็นอันดับแรก

จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะต่อสู้ในประเด็นที่ว่าตัวเขากลัวการถูกลงโทษประหารชีวิต โดยตามคดีก่อการร้ายนั้นได้ระบุไว้ชัดว่า แม้ดีเอสไอจะขอให้ศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดียุยงก็ตาม แต่โทษการกระทำผิดก็มีโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิด คือ มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ซึ่งในประเทศยุโรปกับประเทศที่มีภาคีของพิธีเลือกรับ ฉบับที่ 2 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง (The Second Optional Protocol to the ICCPR) ซึ่งจะให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มาก และจะไม่ส่งตัวใครก็ตามที่เห็นว่าอาจถูกรัฐบาลนั้นๆ ลงโทษประหารชีวิต

ที่น่าเป็นห่วงคือกรณีของประเทศไทย ไทยไม่มีการลงโทษประหารชีวิตมาแล้วเป็น 10 ปี แต่ปีที่แล้วกลับมีการลงโทษประหารชีวิตนักโทษ 2 รายในคดียาเสพติด ซึ่งในต่างประเทศถือว่าคดียาเสพติดไม่จำเป็นต้องลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต หาก พ.ต.ท.ทักษิณต่อสู้ในวิธีนี้ โอกาสที่ประเทศทางยุโรปและภาคีพิธีเลือกรับจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณก็มีอยู่มาก

เว้นแต่ว่าประเทศนั้นๆ จะให้รัฐบาลไทยทำคำรับรองว่าจะไม่มีการประหารชีวิต ปัญหาคืออำนาจบริหารกับอำนาจตุลาการในประเทศไทยแยกกันอย่างชัดเจน หากรัฐบาลยอมทำคำรับรอง แต่กระบวนการยุติธรรมของไทยก็ต้องตัดสินตามความเป็นจริง ก็อาจตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิตอยู่ดี หากไม่ลงโทษประหารชีวิตก็จะเป็นการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรมกับคนที่โดนโทษ นี้เช่นกัน แต่หากลงโทษประหารชีวิต รัฐบาลไทยที่ไปทำคำรับรองไว้กับประเทศนั้นๆแล้วก็จะทำผิดกฎระเบียบสากล

อีกทั้งยังน่าจะต่อสู้ว่ามีความกลัวว่าจะถูกทรมานในรูปแบบการลด ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กรณีนี้ ราเกซ สักเสนา ได้มีการต่อสู้มาก่อน โดยมีการนำสภาพคุกในประเทศไทยให้ศาลต่างชาติดู ซึ่งกรณีนี้ทุกประเทศในโลกจะให้ความสำคัญ และจะไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนให้ประเทศนั้นๆ

ทั้งนี้ ประเด็นนี้ไม่น่าห่วงเท่าความกลัวด้านการประหารชีวิต เพราะรัฐบาลไทยสามารถต่อสู้ว่า กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นคนดัง คงไม่มีใครทรมานได้ก็ได้เช่นกัน

เชื่อท่อน้ำเลี้ยงหลักฐานชัดสุด

ประเด็นที่ห้า เกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของประเทศต่างๆ และการขอความร่วมมือจากตำรวจสากล

ผศ.วิชัย กล่าวว่า รัฐบาลไทยมีหน้าที่ต้องทำให้ประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่ และตำรวจสากลเชื่อให้ได้ว่า คดีก่อการร้ายที่เชื่อมโยง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คดีที่เกี่ยวข้องกับการถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งมีทางเป็นไปได้ เพราะมีการกระทำ และมีผลของความเสียหาย ซึ่งผลของความเสียหายนั้นมีความชัดเจนมาก เหลือแต่ต้องพิสูจน์ว่าใครมีส่วนในการกระทำให้ได้ ซึ่งเป็นคดีอาญาล้วนๆ ต่างกับคดีที่ดินรัชดา ซึ่งต่างชาติยังมองว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง 50:50%

ทั้งนี้ รัฐบาลโดยเฉพาะอัยการต่างประเทศจะต้องทำงานหนัก และพิสูจน์ให้ต่างชาติเห็นให้ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดจริงในฐานก่อการร้าย โดยเฉพาะเชื่อว่าหลักฐานท่อน้ำเลี้ยงจะเป็นหลักฐานที่มัดตัวพ.ต.ท.ทักษิณได้ มากที่สุดในต่างประเทศ เพราะต่างประเทศให้ความสำคัญ หลังจากนั้นถ้าตำรวจสากลให้ความร่วมมือก็จะสามารถจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีในไทยได้ หาก พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกจากประเทศมอนเตรเนโกไปประเทศอื่น ซึ่งแม้พ.ต.ท.ทักษิณจะอยู่ในประเทศมอนเตรเนโก แต่ตำรวจสากลก็สามารถเข้าไปจับได้เช่นกัน แต่กรณีจับได้ที่มอนเตรเนโกรจะต้องขึ้นศาลมอนเตรเนโกรให้ตัดสินในคดีนี้แทน

เช่นเดียวกับ ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามที่ เห็นว่า กระทรวงต่างประเทศกับอัยการต่างประเทศไทยจะต้องทำให้ 3 ฝ่ายเชื่อให้ได้ก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายในประเทศไทยจริง คือ 1.รัฐบาลต่างประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่พำนัก 2.ตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล และ3.สถานทูตต่างประเทศ จึงจะเป็นการปิดกั้นการตีปี๊ปของ พ.ต.ท.ทักษิณได้

สัญชาติมอนเตรฯคุ้มกันแม้ว

ประเด็นที่หก กรณีสัญชาติ พ.ต.ท.ทักษิณ และกฎหมายของประเทศมอนเตรเนโกรที่เป็นเกราะกำบังให้ พ.ต.ท.ทักษิณในขณะนี้ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด

รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในประเด็นสัญชาติว่ากรณี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพลเมืองของมอนเตรเนโกรจริงหรือไม่จะขึ้นอยู่กับกฎหมายสัญชาติของประเทศ มอนเตรเนโกรด้วย โดยจะเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ หรือพลเมืองตามกฎหมายก็ได้ ซึ่งปกติของไทยมักจะให้คำจำกัดความของพลเมืองกิตติมศักดิ์ว่าเป็นการให้ เกียรติบุคคลนั้นๆ มากกว่าเป็นพลเมืองที่แท้จริง แต่สำหรับประเทศมอนเตรเนโกรนั้นเป็นประเทศใหม่ ต้องไปดูว่ามีการระบุหรือไม่ว่าพลเมืองกิตติมศักดิ์เป็นพลเมืองตามกฎหมาย ด้วย หากเป็นเช่นนั้น พ.ต.ท.ทักษิณก็จะเป็นพลเมืองตามกฎหมายของมอนเตรเนโกร

ทั้งนี้ ประเด็นคือปัจจุบันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เสียสัญชาติไทยไปแล้วหรือไม่ โดยการเสียสัญชาติไทยนั้น จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณไปแปลงสัญชาติเป็นคนสัญชาติมอนเตรเนโกรจริง ก็มีผลทำให้เสียสัญชาติไทยตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 หรือไม่พ.ต.ท.ทักษิณก็สามารถสละสัญชาติไทยได้ด้วยเช่นกัน เรียกว่าการเสียสัญชาติไทยโดยเจตนาของเอกชน ซึ่งจะสละสัญชาติไทยหรือไม่ก็ได้ หากไม่สละสัญชาติไทย พ.ต.ท.ทักษิณก็จะมีสถานะเป็น “คนสองสัญชาติในสองทะเบียนราษฎร”จึงมีสิทธิในสัญชาติทั้งสอง แต่อาจไม่ได้แสดงตนเป็นสัญชาติไทย

อย่างไรก็ดีเรื่องสัญชาติเอาเข้าจริงแล้วจะไม่เกี่ยวกับคดีอาญา เพราะการติดตามผู้ร้ายในคดีอาญานั้นจะไม่เกี่ยวกับเรื่องสัญชาติ แต่จะเกี่ยวข้องแค่ว่า รัฐธรรมนูญของมอนเตรเนโกรระบุว่าจะไม่ส่งตัวพลเมืองเป็นผู้ร้ายข้ามแดนให้ ประเทศอื่น ดังนั้นจึงต้องดำเนินคดีนี้ในศาลมอนเตรเนโกร ซึ่งก่อนจะถึงการพิจารณาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายจริงหรือไม่ จะต้องพิสูจน์ก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนชาติมอนเตรเนโกรจริงหรือไม่ ก่อนที่จะดำเนินคดีก่อการร้ายได้ ซึ่งต้องใช้เวลา

ประเด็นที่เจ็ด การใช้หลักต่างตอบแทนในการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐ

อย่างไรก็ดี ความหวังสุดท้ายของคนไทยจึงไปอยู่ที่ หลักต่างตอบแทน โดยหากประเทศนั้นๆ ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน รัฐบาลไทยสามารถใช้หลักต่างตอบแทนได้ด้วยเช่นกัน เพื่อนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีในไทยได้ โดยรัฐบาลไทยจะต้องมีการเจรจากับประเทศที่พ.ต.ท.ทักษิณอาศัยอยู่ โดยมากมักจะเป็นคำสัญญาว่าหากภายหลังมีกรณีก่อการร้ายเกิดขึ้นกับประเทศ นั้นๆ และผู้ก่อการร้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย ประเทศไทยจะส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปให้ประเทศที่ตกลงด้วยทันที กรณีนี้จึงขึ้นอยู่กับต่างประเทศนั้นๆ ว่าจะยอมรับการเจรจานี้หรือไม่ด้วย

นั่นคืออุปสรรคชิ้นโตที่วันนี้คาดว่ารัฐโดย ดีเอสไอ อัยการต่างประเทศ และกระทรวงต่างประเทศเข้าใจปัจจัยเหล่านั้นดีที่สุด

อย่างไรก็ดี แม้ว่าอุปสรรคการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดีในไทยอาจจะเป็นเรื่องยากลำบากสักแค่ไหน โดยเฉพาะฝ่ายฟ้องร้องดำเนินคดีที่ท้ายที่สุดแล้ว อาจจะต้องไปดำเนินคดีนี้ในประเทศมอนเตรเนโกร ซึ่งมีสิทธิที่คดีจะพลิกได้ทุกเมื่อ แต่วันนี้ก็ต้องบอกว่าประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยก็ยังเอาใจช่วยรัฐบาลโดย เฉพาะผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการเอาผิดกับคนที่ทำลายชาติบ้านเมืองให้ได้!

**************

พลิกฟ้าล่า'หัวโจก-สมุน'แก๊งค์ก่อการร้าย

เปิดรายชื่อ 20 โจกแดง ดีเอสไอ ป้ายหัว มือก่อการร้ายทั้งใน-นอก ประเทศพร้อมทำหนังสือ ล่า ก่อการร้ายตัวพ่อ ใน 187 สมาชิกของตำรวจโลก

วีรกรรมเผาเมืองจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงนอกจากจะส่งผลกระทบต่อ สังคม แล้วบรรดาตัวผู้นำต่างก็ได้รับผลตอบแทนที่สาหัสไม่แพ้กันโดยเฉพาะข้อหาการ ก่อการร้าย ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติและออกหมายจับดังรายชื่อต่อไปนี้

ชุดแรก) 1.วีระ มุสิกพงศ์ 2.จตุพร พรหมพันธุ์ 3.ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ 4.น.พ.เหวง โตจิราการ5.สุภรณ์ อัตถาวงศ์ 6.อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง 7.ขวัญชัย ไพรพนา 8.พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ 9.พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสียชีวิต)


ชุดที่ 2) 10.พ.ต .ท.ทักษิณ ชินวัตร 11.อดิศร เพียงเกษ 12.วิภูแถลง พัฒนภูมิไท 13.พายัพ ปั้นเกตุ 14.เจ๋ง ดอกจิก15.วิเชียร ขาวขำ 16.อารี ไกรนรา 17.สุขเสก พลซื่อ 18.สุรชัย เทวรัตน์ 19.รชต วงศ์ยอด

ชุดที่ 3) 20.ก่อแก้ว พิกุลทอง21.การุณ โหสกุล 22.นิสิต สินธุไพร 23.ชินวัฒน์ หาบุญพาด 24.ศิริวรรณ นิมิตรศิลป25.พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง 26.เจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ 27.อรรณพ แซ่ตัน28.จักรชลัช คงสุวรรณ 29.ศักดา แก้วผูกนาค 30.ยงยุทธ ท้วมมี 31.จรัญ ลอยพูล32.มงคล สารพันธ์ 33.สมบัติ มากทอง34.อร่าม แสงอรุณ 35.ว่าที่ ร.ต.สุรภัศ กันทิมา 36.อำนาจ อินทรโชติ 37.อัครพล ขันทกาญจน์ 38.สมพงษ์ บัวชม39.มานพ ชาญช่างทอง รวมทั้งสิ้น 39 ราย พร้อมเตรียมรวบรวมข้อมูลเพื่อขออนุมัติออกหมายจับในชุดที่ 4 ในเร็วๆนี้

รวมถึง การที่ดีเอสไอได้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังตำรวจสากล เพื่อจับกุมตัวพ.ต.ท.ทักษิณไปยังสมาชิกกว่า 187 ประเทศ ดังนี้

1.อัฟกานิสถาน 2.อัลบาเนีย 3.แอลจีเรีย 4.อันดอร์รา 5.แองโกลา 6.แอนติกาและบาร์บูดา 7.อาร์เจนตินา 8.อาร์เมเนีย 9.อาลูบาร์10.ออสเตรเลีย 11.ออสเตรีย 12.อาเซอร์ไบจัน 13.บาฮามาส14.บาห์เรน15.บังคลาเทศ16.บาร์เบโดส17.เบลารุส18.เบลเยียม 19.เบลีซ20.เบนิน21.ภูฎาน22.โบลิเวีย23.บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา24.บอตสวา นา25.บราซิล26.บรูไนดารุสซาลาม27.บัลแกเรีย28.บูร์กินาฟาโซ 29.บุรุนดี 30.กัมพูชา31.แคเมอรูน32.แคนาดา33.เคปเวิร์ด34.สาธารณรัฐแอฟริกากลาง35. ชาด36.ชิลี37.จีน38.โคลัมเบีย39.คอโมโรส40.คองโก 41.สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก42.คอสตาริกา43.ไอเวอร์รี่โคสต์44. โครเอเชีย45.คิวบา46.ไซปรัส47.สาธารณรัฐเช็ก48.เดนมาร์ก49.สาธารณรัฐจีบูติ 50.เครือรัฐโดมินิกา

51.สาธารณรัฐโดมินิกัน 52.เอกวาดอร์ 53.อียิปต์ 54.เอลซาวาดอร์ 55.สาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินี 56.รัฐเอริเทรีย 57.เอสโทเนีย58.เอธิโอเปีย 59.ฟิจิ 60.ฟินแลนด์ 61.อดีตสาธารณรัฐยูดกสลาฟมาซิโดเนีย 62.ฝรั่งเศส 63.กาบอน 64.แกมเบีย 65.จอร์เจีย 66.เยอรมัน 67.การ์นา 68.เกรเนดา 69.กัวเตมาลา 70.กีนี 71.กีนี-บิสเซา 72.กูยานา 73.เฮติ 74.ฮอนดูรัส 75.ฮังการี 76.ไอซ์แลนด์ 78.อินเดีย 79.อินโดนีเซีย 80.อิหร่าน 81.อิรัก 82.ไอร์แลนด์ 83.อิสราเอล 84.อิตาลี 85.จาไมกา 86.ญี่ปุ่น 87.จอร์แดน 88.คาซัคสถาน 89.เคนย่า 90.เกาหลีใต้ 91.คูเวต 92.คีกิซสถาน 93.ลาว 94.ลัตเวีย 95.เลบานอน 96.เลอโซโท97.ไลบีเรีย 98.ลิเบีย 99.ลิกเตนสไตน์ 100.ลิทัวเนีย 101.ลักเซมเบิร์ก 102.มาดาร์กัสการ์

103.มาลาวี 104.มาเลเซีย 105.มัลดีฟท์ 106.มาลี 107.มอลตา 108.หมู่เกาะมาร์แชล 109.มอริเตเนีย 110.มอริเชียส 111.เม็กซิโก 112.มอลโดวา 113.โมนาโก 114.มองโกเลีย 115.มอนเตเนโกร 116.โมร็อคโค 117.โมซัมบิค 118.พม่า 119.นามิเบีย 120.นารูอู 121.เนปาล 122.เนเธอร์แลนด์

123.เนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส 124.นิวซีแลนด์ 125.นิคารากัว 126.ไนเจอร์ 127.ไนจีเรีย 128.นอร์เวย์ 129.โอมาน 130.ปากีสถาน 131.ปานามา 132.ปาปัวนิวกีนี 133.ปารากวัย 134.เปรู 135.ฟิลิปปินส์ 136.โปแลนด์ 137.โปรตุเกส 138.การ์ตาร์ 139.โรมาเนีย 140.รัสเซีย 141.รวันดา 142.สหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเนวิสวิส143.เซนต์ลูเซีย 144.เซนต์ วินเซนต์และแกรนเนดีนส์ 145.ซามัว 146.ซานมาริโน 147.เซาโตเมและปรินซิเป 148.ซาอุดิอาระเบีย 149.เซเนกัล 150.เซอร์เบีย 151.เซเชลส์

152. เซียร์รา ลีโอน 153.สิงคโปร์154.สโลวาเกีย 155.สโลเวเนีย 156.โซมาเลีย 157.แอฟริกาใต้ 158.สเปน159.ศรีลังกา 160.ซูดาน 161.ซูรินาเม 162.สวาซิแลนด์ 163.สวีเดน 164.สวิตเซอร์แลนด์ 165.ซีเรีย 166.ทาจิกิสถาน 167.ทานซาเนีย 168.ติมอร์-เลสเต้ 169.โตโก 170.ตองก้า 171.ตรินิแดด และโตเบโก 172.ตูนีเซีย 173.ตุรกี 174.เติร์กเมนิสถาน 175อูกานดา 176.ยูเครน 177.สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 178.สหราชอาณาจักร 79.สหรัฐอเมริกา 180.อุรุกวัย 181..อุซเบกิสถาน 182.รัฐวิติกัน183..เวนเซูเอลา184.เวียดนาม 185.เยเมน 186.แซมเบีย 187.ซิมบับเว...


http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9530000076346
read more "แฉ 7 อุปสรรคใหญ่ลาก “แม้ว” ลงโทษไม่ได้ หวั่นเกมพลิกให้ 'แดงตัวพ่อ' ชนะ! / ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 3 มิถุนายน 2553"