ประชาชนเฝ้าติดตามวิธีทำงานของพรรคเพื่อไทยด้วยความ ฉงน แต่พฤติกรรมของพรรคมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเอาผู้ติดคุกด้วยต้องหาคดีก่อการร้ายมาสมัคร ส.ส. กรณีทวงสิทธิ์ดาวเทียมไทยให้สิงคโปร์ กรณีเศรษฐีด้วยระบบทุนผูกขาดนิยมและทุนโกงชาตินิยมกลับอ้างตัวเป็นตัวแทนคน จน ฯลฯ ทำให้เห็นภาพแห่งความเป็นจริงว่า พรรคเพื่อไทย = พพท. + พผท. + พคท. ?
1.พพท. คือ “พรรคเพื่อทักษิณ” : หากติดตามกันดู ก็จะพบว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ “เพื่อไทย” แต่กลับทำหน้าที่ “เพื่อทักษิณ” เสียมากกว่า
... ปมปัญหาเรื่องดาวเทียมไทยคม ว่าสัมปทานผูกขาดตกเป็นของสิงคโปร์ พพท. ไม่สนใจ สนใจเมื่อไทยจะขอทวงให้กลับมาเป็นของคนไทย ดาหน้ากันออกมาบอกว่า ดาวเทียมยังเป็นของไทย วงโคจรผูกขาดยังเป็นของไทย แต่ก็รู้ว่า ลักษณะสัญญาที่ทำไว้เป็น BTO คือ Build-Transfer-Operate คือ สร้าง โอนให้ก็จริง
แต่โอนสิทธิ์ให้ผู้ได้รับสัมปทานบริหารก็คือเจ้าของบริษัท ตั้งแต่ต้น จึงได้กำหนดให้รักษาความเป็นเจ้าของให้คนไทย ต่างชาติไม่ควรถือเกิน 25% แต่ทักษิณก็ย่ำข้ามรัฐธรรมนูญ (ฉบับ 40) ห้ามนายกฯถือหุ้น ก็ “ซุกหุ้น” ไว้กับลูกๆ คนใกล้ชิด แอมเพิลริช วินมาร์ค แล้วก็ใช้อำนาจรัฐเอื้อในการแก้ไขกฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ ก็เห็นภาพว่า เป็นพรรคที่ทำงาน “เพื่อทักษิณ” ไม่ใช่ “เพื่อไทย”
... ตั้งรัฐบาลโนมินี ก็ไปยินยอมจะยกพื้นที่แผ่นดินไทยบริเวณเขาพระวิหารให้เขมร จะทำให้เสียเอกราชบนผืนแผ่นดิน และทรัพย์สินในทะเล ตอนแรกก็คิดว่า ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่คนไทยจะมีใจเป็นอื่น แต่เมื่อเห็นวิธีเชื่อมความสัมพันธ์ส่วนตัว เหนือกว่าความรักชาติ ก็จะเห็นว่ารักกันถึงขั้นร่วมมือกัน จัดฉากใส่ร้ายรัฐบาลไทย สร้างความแตกแยกในอาเซียน ตัดสินให้วิศวกรไทยเข้าคุกถึง 7 ปี ในข้อหาที่ไม่เป็นธรรมกับวิศวกรไทยในเขมร แต่วิศวกรนั้น ก็ไม่เอารัฐบาลไทยช่วยสู้ความเลย เข้าฉากรับโทษ 7 ปี ให้พรรคเพื่อไทยขอพระราชทานอภัยโทษให้
ฉากสะดุดตรงที่ทางเขมรได้มีการพระราชทานอภัย ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะส่งหนังสือไปเสียด้วย และวิศวกรก็จับมือกับฮุนเซน ยิ้มแย้มอย่างสนิทสนม และในที่สุด อยากกลับไปทำงานเขมรเพราะวางใจได้มากกว่า...ฮาจริงๆ
จึงน่าตกใจว่า หลังจากได้รับสัมปทานโทรคมนาคมไป ก็ห่อของขวัญอย่างดี ขายให้สิงคโปร์เอาเงินเข้ากระเป๋า แล้วก็ห่อเขาพระวิหารเตรียมไปค้าขายกับเขมร ต่อไปจะเป็นอะไร ? กฟผ. ? ปตท. ? สุวรรณภูมินคร ? หากมัวแต่เป็นพรรค “เพื่อทักษิณ” อย่างนี้ อนาคตลูกหลานไทยเราจะเหลืออะไรหรือไม่ ??
2.พผท. คือ “พรรคเผาไทย” : บทบาท “เพื่อไทย” ไม่ได้ทำ แต่สิ่งที่ได้ทำ คือ “เผาไทย” เผายางรถยนต์ เผารถเมล์ เผาตึก เผาศาลากลาง เผาส่วนราชการ ฯลฯ จับยังไม่ได้ก็มักจะบอกว่า “รัฐบาลจัดฉาก มิเช่นนั้นก็ต้องเอามาเปิดเผย”
แต่หลักฐานก็เห็นชัดเจนว่า กลุ่ม นปช. เอายางมารอไว้ คนแถวราชประสงค์ก็เห็นมีการเตรียมถังแก๊สไว้ นักข่าวก็เคยนำเสนอก่อนการใช้ด้วย แล้วแกนนำยังประกาศบนเวทีหลายครั้ง ทั้งณัฐวุฒิ อริสมันต์ ซึ่งอ้างถึงจตุพรด้วย ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ถ้าเข้ามาทำร้ายประชาชนก็เผาให้ราบพนาสูร” “ตกใจก็อาจวิ่งไปเอากระเป๋า เอาทรัพย์สิน หรือเผา” ฯลฯ เมื่อยุให้คนโกรธมากๆ และแนะให้ทำผิด และเตรียมอุปกรณ์ให้ จะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หรือไม่เกี่ยวได้อย่างไร ?
พอจับได้อย่างกรณีระเบิดพรรคภูมิใจไทย ก็ถึงยอมจำนน แต่ก็กลับอ้างว่า “ทำเอง เพราะไม่พอใจความเป็น 2 มาตรฐาน” แต่จะว่าไป ความเป็น 2 มาตรฐานระหว่าง ผู้ก่อการร้าย กับ คนมาชุมนุมโดยสันติปราศจากอาวุธ ก็ถูกต้องแล้ว เพราะไม่ว่า คนเสื้อแดง หรือคนเสื้อเหลือง ที่มาชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ รัฐบาลที่ดีก็ไม่ทำร้ายเป็น “มาตรฐานเดียวกัน” อยู่แล้ว ทหารจึงได้ปล่อยประชาชน 3,650 คนกลับภูมิลำเนา
ทหารไทยจะไปทำร้ายประชาชนทำไม ในเมื่อเขาเป็นทหารของคนไทย มีหัวใจไทย และปกป้องประชาชนชาวไทยอย่างเต็มเปี่ยม
แต่แกนนำ และกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัวกับคนเสื้อแดง มีการยิง M79 ยิงระเบิดเพลิง ทำร้ายประชาชนบริสุทธิ์ในชุมชนต่างๆมากมาย และกลับมาใช้พี่น้องเสื้อแดงเป็นโล่มนุษย์อย่างโหดร้าย หากแกนนำคนเสื้อแดงจริงใจกับผู้มาชุมนุมให้เป็นไปด้วยความสงบ เมื่อเห็นว่า มีคนกลุ่มอื่นมาแฝง เผายาง ยิงบั้งไฟ ยิงระเบิดเพลิง ยิง M79 ต้องบอกกับผู้ชุมนุมตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า “พวกนั้นไม่ใช่พวกเรา อย่าไปเข้าใกล้ อย่าเป็นเครื่องมือไปปกป้องผู้ก่อการร้ายเหล่านั้น เรามาอย่างสงบสันติ”
แต่เปล่าเลย กลับพูดชัดว่า “วันนี้ เรามีครบแก้ว 3 ประการแล้ว คือ มวลชน พรรคการเมือง และกองกำลังไม่ทราบฝ่าย” และอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืนตลอดมา แม้ตำรวจจับตัวแกนนำอย่างอริสมันต์ได้ ก็ยังต้องวางปืน ก้มคารวะ และถอยมาเมื่อเจอกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายอันยิ่งใหญ่ของท่าน !!
กลุ่มก่อการร้ายเช่นนี้ ด้วยมาตรฐานเดียวกัน ก็ต้องได้รับผลที่ต่างกันดูเหมือน 2 มาตรฐานกับคนเสื้อแดงที่บริสุทธิ์ ซึ่งก็ย่อมยุติธรรมแล้วอย่างแท้จริง
จะว่าไป คนที่ 2 มาตรฐานตัวจริง ก็คือทักษิณ ก่อนความรุนแรง จะต้องส่งภรรยา และลูกออกต่างประเทศไปก่อนเลย และยังต้องโกหกคนเสื้อแดงด้วยว่า ไม่ใช่หนีความเสี่ยงตายนะ “ไปนิทรรศการ จองไว้นานแล้ว” แล้วก็หายไปตลอดเวลาที่ร้อนแรง หรือ “ไปเยี่ยมพ่อปางตาย” แต่ก็ไปดูหนังกันที่เมืองคานส์ ช็อปปิ้งที่ปารีส 2 มาตรฐานแท้ๆ สำหรับชีวิตคนเสื้อแดงนั้น ทักษิณยอมเสียสละพลีชีพคนเสื้อแดงให้เพื่อปกป้องตนเองได้ แต่ครอบครัวของตัวก็คงไม่พร้อมจะเสียสละให้ได้ !!
ตอนแรกก็ยังเห็นในแง่ดีว่า พรรคการเมือง กับกลุ่มก่อการร้าย อาจจะมีการดำเนินโดยกลุ่มที่มีระดับความคิดแตกต่างกัน แต่ที่ไหนได้ ในที่สุด ก็แสดงตัวชัดเจนว่า เป็นการเคลื่อนไหวเป็นเนื้อเดียวกัน
เมื่อชุมนุมเสร็จ พผท...เอ๊ย...พพท. ก็อภิปรายในสภาฯ ปกป้องกลุ่มผู้เผาบ้านเผาเมือง เมื่อลงเลือกตั้ง แล้วก็เลือกเอาผู้ต้องหาก่อการร้ายในคุกคือ นาย ก่อแก้ว พิกุลทอง มาสมัคร ทั้งที่ก็เป็นแกนนำร่วมบนเวที นปช.เผาไทยมาตลอด สะท้อนความจริงที่เป็นไปได้ 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 พรรคเพื่อไทย ไร้คนมีฝีมือ สะอาด บริสุทธิ์ ต่อสู้ทางการเมืองด้วยวิถีทางทางการเมืองแล้ว หรือหลายคนละอายใจ นึกไม่ถึงว่า สาวกลิทธิทักษิณจะทำเลวถึงขั้นเอาหลอกเอาประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ทำร้ายพี่น้องคนไทยร่วมชาติในชุมชนต่างๆและเผาหลายอาคารหลายพื้นที่ ทำร้ายเศรษฐกิจไทยจนเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน จึงไม่อาจจะเข้ารับเลือกตั้งกับพรรคเพื่อไทยได้อีกต่อไป เหลือแต่พวกเผาบ้านเผาเมือง
ก็อาจเป็นได้ จึงได้เห็นว่า มีการเสนอประเด็นอภิปรายกระทรวงการคลัง แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นอภิปราย ก็คงจนด้วยความจริงตามที่คุณกรณ์ รัฐมนตรีคลังต้องขอชี้แจงประเด็นว่า เศรษฐกิจโลกวิกฤตหนักตั้งแต่ปลาย 2008 และทุกประเทศก็ร่วมกันอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วยการกู้หนี้
แต่ไทยเราก็กู้หนี้น้อยเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศ ซึ่งในยุโรป หลายประเทศมีหนี้เกิน 100% ของจีดีพี แต่ของเราก็กู้อีกไม่มาก และหนี้รวมก็อยู่ในระดับไม่ถึง 50% ของจีดีพี ไตรมาสแรกของปีนี้ จีดีพีของไทยก็เติบโตถึง 12% สูงเป็น 1 ใน 5 ของโลก ขณะที่ยอดคนว่างงานในสหรัฐฯยังสูงใกล้ 10% แต่ของไทย (ทั้งๆที่ลัทธิทักษิณจัดสถานการณ์กลั่นแกล้ง) ก็มีคนว่างงานเพียง 1% เท่านั้น
รัฐมนตรีคลังของไทยจึงได้รับการเลือกให้ได้รับรางวัล “รัฐมนตรีคลังแห่งปี” เป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยอย่างที่คนไทยน่าจะได้ภูมิใจร่วมกันจริงๆ
กรณีที่ 2 พรรคเพื่อไทย มีคนมีฝีมือ แต่ยังตั้งใจ “เผาไทย” ด้วยความเป็นนักจัดฉาก อยากให้ชาวบ้านเห็นว่า เป็นนักรบโอท็อป ใช้แห ใช้หนังยาง ใช้ยางรถยนต์ ใช้ไม้ไผ่ ... แต่จริงแล้ว ยังแฝงด้วย M79 ปืนจริง อาวุธสงครามมากมาย ... เรื่องเลือกตั้งก็เช่นกัน นี่ไม่ใช่ระดับหัวหน้าพรรคที่จะมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี ที่พรรคต้องเลือกคนเดียวมายกชู แต่เป็นการเลือก สส. เท่านั้น ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็น่าจะมี สส. สอบตกในพื้นที่ หรือพื้นที่ข้างเคียงมิใช่หรือ ที่จะมาแข่งขัน
แต่เมื่อไม่อยากแข่งขัน ก็เพียงแต่ต้องการจัดฉาก “เผาไทย” ด้วยการจะไปสร้างความโกรธว่า กลั่นแกล้งผู้สมัครแข่งขันฝ่ายตรงข้าม (ทั้งที่เอาคนอื่นก็ได้) ไปโพนทะนาสร้างภาพเท็จกับชาวโลกว่า “ไทยไม่เป็นธรรมต่อผู้แข่งขันตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการกลั่นแกล้งให้คู่ แข่งติดคุก” ต่อไป ใช่หรือไม่ ?
ไทยทนเชื่อว่า อย่างน้อยสื่อมวลชนไทยเราเข้าใจดีว่า พพท. ยังเลือกผู้สมัครรายอื่นได้มากมาย แต่ต้องการ “ภาพเท็จ” นี้นี่เอง จึงได้เอาคนสวมชุดนักโทษมาสมัครรับเลือกตั้ง และเราก็จะไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้ “ความเท็จ” เผยแพร่ขยายกว้างออกไปราวกับเรื่องจริงจนทำร้ายประเทศไทยในสายตาต่างประเทศ หรือทำให้คนไทยโกรธเกลียดทำร้ายกันอีกต่อไป
3.พคท. คือ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัฐไทยใหม่” : หลายๆคนที่เคยร่วม พคท. คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก็ร่วมด้วยหัวใจใสๆ เพื่อคนไทย ซึ่งในความเป็นจริง แนวความคิด “สงครามชนชั้น” “คนรวยที่เขารวย เราจึงยากจน” เป็นชุดความคิดที่เป็นอันตรายต่อทุกสังคม โดยความคิดแบบคอมมิวนิสต์สุดขั้วนั้น ก็บรรลุเป้าหมายในหลายประเทศ คือ ฐานะเท่าเทียมกัน ไม่เหลื่อมล้ำ...จนเหมือนกันหมด หมอเวียดนามยังต้องทำงานขุดดินสัปดาห์ละครั้ง ผู้เป็นครูก็ต้องไปขุดดินทำการเกษตรในค่ายคอมมิวนิสต์ของจีน
โลกคอมมิวนิสต์ล้มเหลวเชิงเศรษฐกิจอย่างสิ้นเชิง ทั้งรัสเซีย และ จีน จึงเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มกลับมามีแนวความคิด เสรีนิยม หรือ ทุนนิยมมากขึ้น ประเทศที่แตกกัน ก็จะเห็นว่าส่วนที่เป็นคอมมิวนิสต์จะเจริญช้ากว่า เกาหลีเหนือเจริญช้ากว่าเกาหลีใต้ เวียดนามเหนือก็ช้ากว่าเวียดนามใต้ ฯลฯ
และผู้เอาความคิด พคท. มาหนุนในช่วงนี้กลับเป็นทักษิณ ซึ่งมิใช่เป็นตัวแทนคนยากจน แต่เป็นคนที่โกงเก่งที่สุดในแผ่นดิน เอามาบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของคนจนที่ต่อสู้ก็จะทำให้คนจนเสียศักดิ์ศรี เพราะคนจนทั่วๆไปก็มีเกียรติภูมิ ไม่ต้องการโกงใคร โดยเฉพาะจะไม่โกงชาติเหมือนทักษิณ
ทักษิณทำธุรกิจตรงไปตรงมาก็แข่งไม่ได้ อย่างชินอินเตอร์ฯแข่งในต่างประเทศก็เจ๊งไม่เป็นท่า ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในดูไบก็ช่วงก่อนลูกโป่งแตก เหมืองเพชรก็ไม่มีการดำเนินการเพราะมีเอาไว้แค่ฟอกเงิน ฯลฯ รวยได้เฉพาะเมื่อใช้เงินซื้ออำนาจ และเอาอำนาจรัฐมาเอื้อประโยชน์ส่วนตัว เป็น “ทุนผูกขาดนิยม” หรือ “ทุนโกงชาตินิยม” เท่านั้น
ความคิดแบบคอมมิวนิสต์ที่มีผู้อยู่เบื้องหลัง อย่างทักษิณจึงไม่ใช่ พคท.อย่างในอดีต แต่เป็นเพียง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัฐไทยใหม่” อันเป็นหน้าฉากของ “ระบบทุนผูกขาดนิยม” นั่นเอง
ความจริง ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เราจึงเห็นธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กเติบโตขึ้นมากมาย ประเทศไทยจึงก้าวหน้ากว่าหลายประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์มาก่อนไม่ว่าจะเป็น เวียดนามเหนือ เกาหลีเหนือ เขมร ฯลฯ ชาวจีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ก็ยากจนมานาน แต่ปัจจุบัน เริ่มทยอยมีฐานะดีขึ้น ก็เพราะกลับมาเป็นเสรีนิยม หรือ ทุนนิยม ชาวจีนก็เริ่มมีกลุ่มคนที่รวยล้ำหน้าจนเกิด “ความเหลื่อมล้ำ” เป็นธรรมดา
สังคมไทยมีคนที่เคยมีฐานะยากจน และเติบโตขึ้นจนฐานะปานกลางหรือร่ำรวยเป็นล้านๆคน และก็มีความพยายามที่ต่อเนื่องมาให้มีการศึกษา มีการงานที่ดีตลอดมาหลายๆรัฐบาล
โดยในช่วงนี้ เราก็กำลังจะมีการเพิ่มเติมเรื่องสวัสดิการการรักษาพยาบาลฟรี การศึกษาฟรี เบี้ยคนชรา โฉนดชุมชน แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ การประกันรายได้การทำการเกษตร ฯลฯ ก็น่าจะช่วยเหลือผู้มีโอกาสน้อยกว่า ช่วยปฏิรูปเพื่อประเทศอย่างรอบด้าน และน่าจะทำให้ทุกคนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ประโยชน์ทุกอย่างนั้น ก็มาจากภาษีประชาชน เป็นโครงสร้างที่คนรวย จ่ายภาษีมาก ได้ช่วยเหลือคนที่ยากจนกว่าด้วยความรักกันฉันพี่น้องอย่างแท้จริง
ไม่ควรที่ใครจะ “ปล้นด้วยปาก” เอาการใช้เงินภาษีประชาชนไปเป็นบุญคุณส่วนตัวอีกต่อไป แล้วยังสื่อความอย่างไม่รับผิดชอบ ให้คนจนรังเกียจคนรวย ทั้งที่คนจนได้รับการช่วยเหลืออุ้มชูจากภาษีที่จ่ายมากกว่าโดยคนรวย ซึ่งพี่น้องไทยพึงรักและช่วยเหลือกัน เพื่ออ้างเป็นบุญคุณส่วนตัวของคนๆเดียว
เมื่อวิเคราะห์จากความจริงอย่างรอบด้าน จึงสรุปได้ว่า พรรคเพื่อไทย จึงน่าจะมีชื่อเต็มๆว่า “พคท-ผท-พท” คือ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัฐไทยใหม่ - เผาไทย - เพื่อทักษิณ” มากกว่า และสื่อมวลชนหัวใจไทย ก็คงไม่พร้อมจะตกเป็นเครื่องมือ ช่วยเผาไทย หรือ ทำให้คนไทยเกลียดคนไทย จนอาจมีส่วนร่วมให้คนไทยทำร้ายคนไทยกันเองอีกต่อไปครับ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277700371&grpid&catid=02