วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

“ไข่แม้ว” โวยร้องหาปรองดอง “มาร์ค” เหน็บจริงใจ กลับถูกปฏิเสธ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 31 พฤษภาคม 2553

“วรวัจน์” ส.ส.ไข่แม้ว โวยวายกลางสภา ยืนยันภาพคลิปทหารบนรางรถไฟฟ้าเป็นพลแม่นปืน หวังยิงประชาชน โวยวายร้องหาปรองดอง อ้างประเทศเจ็บปวดมากแล้ว ขณะที่ “สุเทพ” แจงซ้ำรู้แล้วทหารบนบีทีเอสเป็นใคร ชื่ออะไร ซัด “วรวัจน์” อย่าตัดต่อเรื่องราว ทำประชาชนเข้าใจผิด ด้าน “อภิสิทธิ์” ลุกแจงแผนปรองดอง ตอกลิ่มจริงใจแค่ไหนไปนั่งคุยแกนนำม็อบ หาทางเจรจา กลับถูกปฏิเสธ ชี้ ทำทุกวิถีทางเริ่มก่อน แถมถูกคนเชียร์ด่าไม่เข้มแข็ง กลับถูกปฏิเสธทุกทาง ลั่นไม่เคยหวังไล่ล่าคู่แข่งทางการเมือง

วันนี้ (31 พ.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 18.00 น.ระหว่างที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประเด็นภาพทหารบนรางรถไฟฟ้าบีที เอส ซึ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวชี้แจงถึงคลิปวิดีโอที่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย แสดงให้เห็นว่า ในวันที่ 19 พ.ค.มีพลแม่นปืนขึ้นไปยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส และเล็งไปในวัดปทุมวนาราม ซึ่งขณะนั้นได้เปิดให้เป็นเขตอภัยทาน และมีกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเข้าไปพักอยู่จำนวนมาก

นายสุเทพ ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พ.ค.ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่ง ชาติ (นปช.) ประกาศยุติการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นเจ้าหน้าที่ทหารได้รับคำสั่งให้อยู่ในที่ตั้งเดิมที่หน้า สนามกีฬาแห่งชาติ เพื่อเปิดทางให้ผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์เดินไปขึ้นรถที่สนามกีฬาแห่งชาติ เพื่อกลับภูมิลำเนา

หลังจากนั้น เวลาประมาณ 15.00 น.เกิดเหตุวางเพลิงที่สยามสแควร์ และเซ็นทรัลเวิลด์ จึงสั่งการให้ กทม.จัดรถเข้าไปดับเพลิง แต่พอเข้าไปก็ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายยิง ทำให้รถดับเพลิงต้องถอนกำลัง พร้อมกับขอให้เจ้าหน้าที่ทหารช่วยจัดกำลังคุ้มครองการเข้าไปดับเพลิงอีกรอบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารได้รับคำสั่งให้เข้าไป 20 นาย เพื่อคุ้มครองรถดับเพลิงของ กทม.แต่พอเข้ามาก็ถูกยิงอีกรอบจึงต้องถอยไปตั้งหลักแถว BTS สยาม ในช่วงเวลาประมาณ 16.30 น.

จากนั้นได้จัดกำลังใหม่โดยเพิ่มเป็น 1 กองร้อย เพื่อคุ้มครองรถดับเพลิงให้เคลื่อนที่เข้ามาดับเพลิงที่สยามสแควร์ได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็มีอยู่ทั้งพื้นดิน และด้านบนเพื่อคุ้มครองคนข้างล่าง แต่ปรากฏว่า มีผู้ก่อการร้ายซุ่มอยู่บริเวณตอม่อรถไฟฟ้า จึงทำให้เกิดการปะทะกันรอบ 2 ในช่วงเวลา 18.30 น.อีกทั้งมีคนร้ายอยู่ที่หัวมุมวัดปทุมฯ ด้านติดสยามพารากอน และยิงสู้กับเจ้าหน้าที่และปีนรั้วเข้าไปในวัด เข้าใจว่า คนร้ายจะถูกกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่ ไม่แน่ใจว่าคนร้ายเข้าไปตายในวัดหรือเปล่า

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จึงถอนกำลัง เพราะเห็นว่าถ้าเดินหน้าต่อไปอาจต้องปะทะ และมีประชาชนบาดเจ็บ โดนลูกหลง ดังนั้น ในวันที่ 19 พ.ค.หลังจากเวลา 18.30 น.ยืนยันว่า ไม่มีทหารอยู่บนรางรถไฟ BTS แน่นอน เพราะได้ถอนไปตั้งหลักที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม

“ภาพที่ คุณวรวัจน์ นำมาแสดงที่เห็นพลแม่นปืนนั้น ไม่ใช่เหตุการณ์ทั้งวันที่ 10 เมษายน และไม่ใช่เหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม ภาพนี้เป็นภาพเหตุการณ์วันที่ 15 พฤษภาคม เวลา 16.00 น.ผมมีชื่อทหารคนนี้ และปฏิบัติหน้าที่อะไรขณะนั้น จุดในภาพอยู่ที่ซอยงามดูพลี การที่ คุณวรวัจน์ นำมาอภิปรายพูดเหมือนว่าเป็นพลแม่นปืนยิงคนในวัดปทุมฯ ท่านเอาหลายเรื่องมาตัดต่อเป็นเรื่องเดียว ผมเกรงประชาชนเข้าใจผิด” นายสุเทพ กล่าว

ต่อมา นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายว่า หลังจากที่มีการปราบปรามพี่น้องประชาชน เมื่อวันที่ 19 พ.ค.นายกฯ บอกว่า บ้านเมืองสงบแล้วจริงหรือไม่ รัฐบาลส่วนหนึ่งบอกอยากปรองดอง อยากให้สงบ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันนี้รัฐบาลไล่ล่าคนเสื้อแดง โยงทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงเป็นคนร้าย เป็นผู้ก่อการร้าย ล้มล้างประชาชน สิ่งที่รัฐบาลกดดันประชาชนที่มาชุมนุมด้วยการคืนอำนาจอธิปไตยให้กับเขา เขาต้องการแค่นั้น ที่ชุมนุมที่ผ่านฟ้าก็ชุมนุมภายใต้กฎหมาย แต่รัฐบาลถือโอกาสประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีการใช้กำลังทหาร มีการใช้แก๊สน้ำตา มีผู้เสียชีวิต 27 คน จึงนิยามว่า มีผู้ก่อการร้ายเกิดขึ้น แฝงตัวอยู่กับผู้ชุมนุม แต่ด้วยกลไกของรัฐ ทำให้มีผู้เชื่อว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย โดยนายกฯ ยอมรับว่า เป็นคนละกลุ่ม และบอกว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง พยายามกล่าวหาผู้ที่สั่งการประชาชนเป็นผู้ก่อการร้าย วันที่ 19 ที่วัดปทุมฯ ที่วัดไม่มีทหาร แต่ท่านสุเทพ บอกว่า เป็นภาพของวันที่ 20 ซึ่งขัดแย้งกัน ชี้ 6 ศพในวัดปทุมฯ เกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 18.00-21.00 น.ของวันที่ 19 พ.ค.จริง

“วันนี้เรามาปรองดองกันดีกว่าไหม เพราะคนไทยต่างเจ็บปวด ถ้าท่านผิด ผมก็ผิด เราควรหันมาปรองดองนำความสุขกลับคืนมาสู่ประเทศไทยเราเจ็บปวดมาก ทำไมนายกฯ ไม่ไปถามประชาชนบ้างเขามีความสุขไหม ไปถามเขาสิว่าอยากปรองดองไหม” ส.ส.แพร่ กล่าว

ทำให้ต่อมา นายอภิสิทธิ์ ต้องลุกขึ้นชี้แจง โดยระบุว่า ต้องขอชี้แจงเรื่องการปรองดอง ซึ่งตนอยากให้เข้าใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังเกิดขึ้นขณะนี้ ท่านบอกว่า วันนี้ ทำประชามติดีไหม หรือรัฐจะใช้อำนาจไล่ล่า ตนอยากเรียนได้พยายามให้มีการเจรจา ตั้งแต่มีการประท้วงมา มีนายกฯคนไหนที่พร้อมไปนั่งร่วมวงเจรจากับแกนนำผู้ชุมนุม ขณะที่มีกระบวนการของรัฐสภาที่จะแก้ไขปัญหา แต่ตนก็ยอมเจรจาไปนั่งเจรจา 2 วัน แต่ก็เป็นแกนนำของผู้ชุมนุมเองที่บอกว่าไม่เจรจา ทั้งที่มีการสำรวจความเห็นของประชาชนในขณะนั้นให้มีการเจรจากัน แต่กลับถูกปฏิเสธการเจรจา และต่อมาก็เป็นตนเองที่เป็นคนเสนอแผนปรองดอง ทำให้คนที่สนับสนุนตนต่างด่าทอว่าไม่เข้มแข็ง ไม่ใช่อำนาจจัดการเด็ดขาด กล่าวหาว่า ไปฮั้วกับผู้ก่อการร้ายก็มี แต่ตนก็ยืนยันที่จะให้มีการใช้แผนปรองดอง ซึ่งก็มีคนสนับสนุนแนวทางนี้เช่นกัน ให้เลิกชุมนุมแล้วมาคุยกัน

“แต่ผมก็เป็นคนที่ริเริ่มและถูกปฏิเสธตลอด ทั้งการเจรจาและแผนปรองดอง ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีเจตนาที่จะไปไล่ล่า หรือกำจัดคู่แข่งทางการเมือง เพราะประเทศไทยก็หนีไม่พ้นพรรคการเมือง การเมืองไทยจะเดินหน้าได้พรรคการเมืองต้องทำงานร่วมกัน วันนี้ ผมพยายามแยก แต่ท่านที่ไม่ยอมรับที่จะแยกประเด็น เพราะผมยืนยันว่าคนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย แต่คนที่มาด้วยใจบริสุทธิ์ก็มาปรองดอง และเยียวยาปัญหากัน ซึ่งผมยืนยันเสมอว่าพรรคการเมืองเราปรองดองกันได้ นี่คือจุดยืนของผม” นายกฯอภิสิทธิ ระบุ

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000074999

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น