ท่านเคยนึกไหมว่าตลอด ๒๔ ชั่วโมง สังคมโลกและสังคมมนุษย์มีการบริหาร-จัดการด้วยตัวของมันเองอยู่ตลอด อาจจะแบ่งเป็นส่วนกว้างๆ ได้ ๒ ส่วน คืองานส่วนที่มนุษย์บริหาร-จัดการ และอีกส่วนที่เรามองไม่เห็น หรือมองข้าม นั่นคือส่วนที่ธรรมชาติบริหาร-จัดการ ผมอยากให้ท่านได้เข้าใจตรงส่วนหลังนี้ ให้ถ่องแท้ "กรรมดี-กรรมชั่ว" ที่เราเข้าใจว่าเป็นคติทางศาสนานั้น จริงๆ แล้ว "กรรมและผลของกรรม" ก็นับรวมอยู่ในคำว่าธรรมชาตินั่นเอง
ธรรมะกับ ธรรมชาติ คืออันเดียวกัน แต่ถ้าถามว่า "ธรรมะ คืออะไร?"
เอออ...เอ้า.. งงเหมือนเสียบอลเดินตกท่อไปละซี..ท่า ก็ได้ยิน-ได้ฟังมาแต่อ้อนแต่ออก ชินหู-ชินใจ แต่เมื่อถามกันจริงๆ ก็ปรากฏว่า "ไม่ชินใจ" เหมือนรู้ เหมือนเข้าใจ แต่พูดไม่ออก บอกไม่ถูก
อย่าว่าแต่ท่านเลย ผมก็เหมือนกัน เอางี้...มีคำอธิบายอยู่หลายสำนวน แต่สาระตรงกัน ผมจะคัดลอกมาซัก ๑ สำนวนที่เห็นว่าสั้น กระชับ แต่ครอบคลุมความหมายของคำว่าธรรมะมาให้อ่านกัน จากเว็บ "กองงานพระธรรมทูต" ดังนี้ครับ
"หน้าที่ที่เราควรทำนั่นแหละ คือ ธรรมะ การทำงานให้ถูกต้องตามหน้าที่คือ การปฏิบัติธรรม อย่าเข้าใจผิดๆ ว่าการงานอยู่ที่บ้าน ธรรมะอยู่ที่วัด ที่ใดมีหน้าที่การงานที่ถูกต้อง ที่นั่นแหละมีธรรมะ ในโบสถ์อาจจะไม่มีธรรมะ ในทุ่งนา ในออฟฟิศ อาจมีธรรมะอย่างมากมายก็ได้
ธรรมะนั้นเป็น สภาพที่ทรงไว้สำหรับผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกต่ำไปในทางที่ชั่ว ใครบ้างเล่าอยากตกไปในทางที่ชั่ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'จะเป็นคนเจริญหรือเป็นคนเสื่อมก็รู้ได้ง่าย ผู้ชอบธรรมะ เป็นผู้เจริญ ผู้ชังธรรมะ เป็นผู้เสื่อม' ธรรมะ คือ หน้าที่ เพราะฉะนั้น ผู้เจริญ คือ ผู้รักหน้าที่ ผู้เสื่อม คือผู้ชังหน้าที่
นักเรียนที่เรียนเก่ง ก็เพราะเขารักหน้าที่ รักการเรียน เขาจึงเจริญในเรื่องการเรียน คนที่ทำงานเก่งก็เพราะเขารักการงาน มีธรรมะของผู้นำ ของผู้ทำการงาน
การ ทำความดี เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของมนุษย์ ผู้ที่รักที่จะทำความดีจึงเป็นมนุษย์ที่ดี มั่งคั่ง พรั่งพร้อมไปด้วยความดี ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร เขาต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ขอให้สำนึกอยู่เสมอๆ ว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก ยากอย่างไร ขอให้นึกเปรียบเทียบดู กับกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเถิดว่า มันมีจำนวนท่วมท้นกว่าจำนวนของมนุษย์มากมายเพียงใด
พระพุทธเจ้าเกิดใน โลกเพื่อประกาศสัจธรรม เช่นคำว่า ธรรม หมายถึงกฎธรรมดา (Law of Nature) เช่นว่า ทุกข์ต้องเกิดมาจากสิ่งนั้น ความดับทุกข์มีได้เพราะสิ่งนั้น หรือว่า สิ่งทั้งปวงต้องเป็นอย่างนั้นๆ เป็นต้น หน้าที่ของเรา คือต้องทำตัวให้เข้ากันได้กับกฎนั้นบ้าง รู้จักนำเอากฎนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง
ธรรมเป็นสากลนิยม ปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาล และตำแหน่งแห่งหน ไม่จำกัดชนชั้นวรรณะ เพศ วัย พระพุทธองค์ทรงวางพื้นฐานเป็นขั้นเป็นตอน คือ
๑.รักษาศีล เพื่อความสะอาด กาย วาจา ใจ
๒.ฝึกสมาธิ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต
๒.ฝึก วิปัสสนา เพื่อปัญญาความรู้ยิ่ง"
ก็น่าจะเข้าใจกันแล้วนะครับ ฉะนั้น ในหลายเรื่อง-หลายราวในบ้านเมืองตลอดระยะเวลา ๒-๓ ปีมานี้ ทำให้เราขุ่นข้องขัดใจกันมาก เพราะหลายอย่างไม่เป็นดั่งใจ
ผมอยากจะบอก ว่า บางอย่างก็ต้องให้เป็นหน้าที่ของ "เจ้าหน้าที่บ้านเมือง" เขาใช้กระบวนการทางกฎหมาย "บริหาร-จัดการ" คนและปัญหาไปตามเหตุปัจจัย บนเป้าหมาย เพื่อร้อยรัดสังคมให้อยู่ร่วมกันเป็นสุข
แต่บางอย่าง ด้วยเหตุปัจจัยของมัน ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ธรรมชาติใช้เครื่องมือของเขาคือ "ตัวกรรม" อันได้แก่การกระทำของแต่ละคนนั่นแหละ "บริหาร-จัดการ" แต่ละชีวิตไปตามโทษานุโทษ สุดแท้แต่ความหนัก-เบาในสิ่งที่เขาทำ อย่างหัวโจกกบฏทักษิณ บางคนต้องอยู่ในที่ควบคุม บางคนต้องคุมขัง แต่บางคนได้ประกัน บางคนซอกซอนหลบหนี บางคนหลบไปเสวยสุขแถมลอยหน้าเห่าประเทศอีกตะหาก
และบางคน "ตาย" ชนิดไม่รู้ว่าลูกปืนมาจากไหน?
อย่างเช่น พลตรีขัตติยะ หรือนายอ้วน บัวใหญ่ เป็นต้น นั่นก็มาจากการบริหาร-จัดการของธรรมชาติผ่านตัวกรรมที่เราไม่สามารถรู้ได้ ถึงตัวเพิ่ม-ลดบทลงโทษที่ เร็ว-ช้า, หนัก-เบา อันแตกต่างกันไป เพราะการตัดสินของกรรมต่างจากการตัดสินของกระบวนการศาลที่มีคำอธิบายให้ทราบ
ส่วน การพิพากษาของกรรม ไม่มีใครรู้ (นอกจากผู้ถึงอภิญญา ๖ สามารถระลึกชาติได้ด้วยปุพเพนิวาสานุสติญาน) กระทั่งเจ้าตัวแต่ละคนเองว่า ในอดีตได้สร้างกรรมดี-กรรมชั่วอย่างใดไว้มากน้อยเท่าใดเป็นตัวเร่ง เป็นตัวลด หรือเป็นตัวทำให้กรรมปัจจุบันส่งผลช้า-เร็วผิดไปจากที่คนทั่วไปคาดหวัง เพราะการบริหาร-จัดการของกรรมที่คนไม่เข้าใจนี่แหละ จึงทำให้เกิดคำพูดที่ชินหูกันเสมอๆ ว่า
ทำดีไม่ได้ดีบ้าง ทำบุญคุณคนไม่ขึ้นบ้าง ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปบ้าง มันโกงบ้าน-กินเมืองเห็นชัดๆ แต่กลับรวยวันรวยคืนบ้าง ทำดีตลอดชีวิต ทำชั่วครั้งเดียวต้องติดตะรางบ้าง
แล้ววกมาลงที่ตัวอย่าง "คนชั่วอย่างทักษิณไม่เห็นตาย!?"
ก็นี่แหละ "กรรม" คือการกระทำของเขาในอดีตซึ่งเราไม่เห็น เห็นแต่ปัจจุบัน เราก็เลยสับสน จะเทียบให้เห็นจากการ "บริหาร-จัดการ" ตามกระบวนการศาล บางคนที่เราเห็นต่อหน้า-ต่อตาว่าฆ่าคนตาย แต่ถึงศาลท่านจะบอกถึงเหตุผลที่ตัดสินประหารตลอดชีวิต หรือปล่อยพ้นผิดว่า คนนี้เคยประกอบคุณงามความดีอะไรมาบ้างหรือไม่ เคยต้องโทษมาก่อนหรือไม่ มีเจตนาในการฆ่าหรือไม่ เหตุผลและองค์ประกอบในการทำความผิดเป็นอย่างไร
กระทั่ง ว่า การฆ่านั้น เป็นการทำหน้าที่ เป็นการป้องกันตัว ป้องกันเกียรติ จงใจเจตนาฆ่า หรือนิสัยสันดานโหดร้ายพึงพอใจในการฆ่าเป็นอาจิณ!?
ทักษิณ ก็เช่นกัน ในอดีตเขาอาจประกอบคุณงามความดีไว้มากก็ได้ ที่จะวิบัติทันที ก็ค่อยๆ วิบัติ ที่จะตายทันที ก็เลยได้รับความปรานีเป็นค่อยๆ ตาย จัดสรรเข้าไปอยู่ในระบบ "ตายทั้งเป็น" และ "ตายผ่อนส่ง" ไงล่ะ!
วัน-สอง วันนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมต้องเอาเรื่องเวร-เรื่องกรรม พูดรวมๆ คือเรื่องธรรมะมาคุยกะท่านซ้ำซาก พอจะจิ้มนิ้วบนแป้นคอมพิวเตอร์ทีไร เรื่องที่ตั้งใจจะคุยก็ไม่ได้คุย แต่เรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจ นิ้วมันก็ไปเอง คงเป็นเพราะว่า สังคมประเทศไทยเมื่อหลุดพ้นเปลาะนี้ไปแล้ว
ด้วยธรรมชาติ บริหาร-จัดการ คนดีมีศีล-มีธรรมเท่านั้น จะอยู่คู่กับประเทศไทยสู่ยุคเฉิดฉาย-ไฉไล ที่เขาเรียกกันว่ายุคศิวิไลซ์นั่นกระมัง ส่วนคนไร้ศีล-ไร้ธรรม ก่อกรรมแต่ให้บ้านเมืองตกต่ำอับเศร้าหมองศรี เห็นที...ทั้งกฎหมายบริหาร-จัดการ และทั้งธรรมชาติบริหาร-จัดการ
จะกวาด ลงใต้พื้นดินเรียบ!?
ผมถึงบอก เราต้องถือ "อุเบกขา" กันให้มากๆ อุเบกขาไม่ใช่วางเฉย ธุระไม่ใช่ ใครจะขึ้นช้าง-ลงม้า กูไม่เกี่ยวนะ แต่หมายถึงว่า เราไม่โกรธใคร ไม่อาฆาตพยาบาทใคร ให้เมตตา ให้อภัย ให้สติ กับทุกคนที่ประพฤติตน "หลงทิศ-ผิดทาง" ได้กลับเนื้อกลับตัวและกลับใจ ร่วมเป็นไทย-ศิวิไลซ์ด้วยกัน
แต่ถ้าทั้งสังคม และทั้งกฎหมายให้เมตตา ให้อภัย ให้สติแล้ว ยังไม่กลับตัว-กลับใจ นั่นเราก็ต้อง "อุเบกขา" คือวางใจนิ่งกับสิ่งที่เขาจะต้องได้รับทั้งทางกฎหมายจัดสรร และทั้งทาง "กรรมจัดสรร"
ไม่ช้า...ไม่ช้าแล้ว...ท่านทั้งหลายเอ๋ย ผมบอกท่านได้เท่านี้!?
อ้อ...มีแถมท้ายหน่อย เดี๋ยวจะลืม ท่านผู้มีเมตตาธรรมต่อผมซึ่งใช้นามว่า "คุณหลวง" ส่งหนังสือ "หลวงตาวัดป่าบ้านตาด" รวมเรื่องเล่า...สิ่งที่เห็น เล่มที่ ๗ พูดง่ายๆ คือหนังสือเกี่ยวกับ "พระหลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน" มาให้ผม ๕ เล่ม ผมเก็บเข้าชุดไว้ ๑ เล่ม เหลืออีก ๔ เล่ม ท่านใดต้องการมารับได้ที่สำนักงานนี่นะครับ
โทร.มาบอกกับเลขาฯ ผมที่เบอร์ ๐-๒๒๔๙-๔๕๔๙ ก่อนจะมา เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเที่ยว และผมจะมอบหนังสือ "เชิญตะวัน" กับ "การสร้างสันติภาพท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนไทยในปัจจุบัน" ของท่าน ว.วชิรเมธี รวมอีก ๒ เล่ม ไปให้กับท่านด้วย แต่ถ้าหนังสือพระหลวงตามหาบัวหมด ต้องการของท่าน ว.วชิรเมธี ยินดีครับ มีมอบให้ท่านแน่ๆ
อีกเรื่อง เมื่อวันเสาร์ แฟนๆ ใน FB บอกว่า "คุณหมอกันตพัฒน์ วรพิมล" ที่นราธิวาส ต้องการได้รับการสนุนหยูกยา เครื่องเวชภัณฑ์ ผมก็ก๊อปปี้เบอร์โทรศัพท์ตามที่แจ้งมาบอกกล่าวให้ทราบกัน ปรากฏว่าแฟน FB บอกว่าเบอร์ผิด ติดต่อไม่ได้ และวานนี้ "คุณเนตรสวรรค์" ก็แจ้งมาด้วยข้อความว่า
"โทร.หาคุณหมอกันตพัฒน์ วรพิมลได้แล้วคะ 08-1830-4595 หน่วย ฉก.30 วัดสวนธรรม ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ปณ.96150 E-mail : Kantapat.V@hotmail.com"
ผม เอาที่ผมลงไปวันก่อนมาเทียบ ก็เบอร์เดียว "ตรงกัน" นี่ครับ เอาละ...ลองดูใหม่ ได้ความอย่างไร แฟนๆ FB แช้ตๆๆๆ มาบอกด้วยละกัน
หมด...คือ หมดเนื้อที่แล้ว เลยไม่ได้คุยเรื่องราวข่าวประจำวันกัน แถมท้ายนิดหนึ่งก็ได้ ผมสนับสนุนรูปแบบไปสู่ความปรองดองตามแนวที่ ดร.คณิต ณ นคร ทำอยู่ตอนนี้ และสนับสนุนหลักการ-แนวคิด "แยกประชาชนคนชุมนุมออกจากคนเผาบ้าน-เผาเมือง" ตามที่คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี DSI ทำอยู่ ส่วนจะนำไปปฏิบัติผ่านรูปแบบไหน จะออกกฎหมาย หรือทำอย่างที่ประธานวุฒิสภาให้ความเห็น เฟ้นสมองหลายๆ ฝ่ายหน่อยก็ดีครับ.
http://www.thaipost.net/news/150610/23555
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น