การเปิดประชุมสภาฯ เพื่ออภิปรายนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขาอีก 5 คน ผ่านไปแล้วด้วยคะแนนไว้วางใจมากกว่าไม่ไว้วางใจ กระนั้นก็ยังมีนักการเมืองบ้องตื้นจอมต่อรอง ปั่นกระแส สร้างราคาได้กดคะแนน “งดออกเสียง” ทั้งๆ ที่นั่งพูด นั่งฟังกันอยู่นาน 3 วัน 2 คืน สมองฟ่ามๆ ของคนพวกนี้ก็ยังไม่ทำงาน ก้านสมองเล็กเรียวยิ่งกว่าฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลาโชคร้ายของนักการเมืองเฮง ซวยเหล่านี้ ยังไม่ยอมทำงานให้คุ้มกับเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน
แต่เข้าใจได้ว่า การกดอะไรที่แปลกไปจาก เอา-ไม่เอา คงคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มกับเงินสกปรกที่ “ปีศาจ” ว่าจ้างให้มารวนในสภาฯ หวังให้ สภาฯ ล่ม หวังให้รัฐบาล “อภิสิทธิ์และคณะ” ล้มลงไปให้จงได้...ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล หรือมนต์ คาถา สารพัดวิชามาร เพราะฉะนั้น การเผาบ้านเผาเมืองก็ไม่น่าเกินเลยไปจากความเป็นไปได้สักเท่าไร ขนาด “เผา” ตัวเองกลางสภาฯ ยังทำแล้ว เห็นๆ อยู่
อย่าง “เหลิม ดาวเทียม” นั่นปะไร!!! พยายามลุกขึ้นมาอภิปรายครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่เป็นที่ประทับใจปวงชนชาวไทยสักเท่าไรนัก แถมยังรั้งท้ายๆ ขบวนการคนชั่วประจำสภาฯ การพูดจาวกวนชนแพะชนแกะมั่วไปเรื่อยแบบไม่เข้าใจ ทำให้พี่เหลิมเสียทีหมดท่าให้ “ไอ้ตู่-จตุพร” ด้านความแหลไม่เนียนไปเสียฉิบ เรียกว่า งานนี้พี่เหลิม จุ๊บ จุ๊บ ของน้องเสียเข็มขัดแชมป์ “ราชัญแห่งการหลอกลวง” ให้กับน้องตู่เสื้อแดง ไปอย่างขาดลอย
หลังๆ นี้ดูท่าว่าพี่เหลิมจะเปลี่ยนแปลงหลายประการตั้งแต่ทางกายภาพไปจนถึง ฤทธิ์เดช ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า แววตา สรีระ ความลื่นไหล และเนื้อหาข้อมูล แม้จะพยายามดัดจริต “สปีค อิงลิช” สักเพียงไหนก็ตาม
มวลชนในสังคมออนไลน์ติติงการพูดจาที่ “สอพลอ” ปีศาจทักษิณจนเกินงามของเขาด้วยความดูแคลนว่า “อายุขนาดนี้แล้ว กล้าประกาศว่ารัก และเลียทักษิณได้ไม่อายลูกหลาน”
คอการเมืองหลังแป้นคีย์แสดงความเห็นในโลกไซเบอร์ ด้วยความสงสัยกันต่อไปว่า “ทำไมเหลิม ดาวเทียมของน้องทักษิณจึงผอม ดำ สารรูปดูไม่จืด สงสัยเป็นโรคตับ ไต หรือไม่อะไรสักอย่าง เพราะดูที่ริมฝีปากสิ ขาวซีดขนาดนี้...ไชโยขอให้จริง”
แถมนักรบ FB ยังเคาะต่อไปว่า “ข้อมูลอภิปรายของเหลิมเก่าแล้ว ซ้ำซาก ภาษาอังกฤษก็ไม่ถูกต้อง มั่วมาก แต่อยากอวดมวลชนของตัวเอง เพราะเชื่อผิดๆ ว่า นายกฯ ประเทศไทยต้องพูดอังกฤษได้ แม้จะเลวก็ไม่ยั่น”
ส่วนโลกคนฟังวิทยุชอบโฟนอิน ติติงมาว่า “ข้อมูลเกทับ-บลัฟแหลก แหกโค้งหวังตบทรัพย์ แบบที่เหลิมเคยทำมานานหลายสิบปี กลับดูอ่อน เบา เขลา ไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะระคายผิวรัฐบาลอภิสิทธิ์เลยแม้แต่น้อย”
สรุปคือ เหลิม บางบอน ประสบความสำเร็จเล็กน้อยในด้านความมั่ว และน่าเบื่อ จนอารมณ์คนพรุ่งปรี๊ดทุกครั้งที่เปิดมาเห็นเจ้าบุญนายคุณของปีศาจทักษิณ ที่เชื่อเสมอว่า ตัวเองเป็นนายกฯ ได้
แม้คอการเมืองจะลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า การอภิปรายฯ ครั้งนี้ น้ำเน่า น่าเบื่อ ไร้สาระมากเสียยิ่งกว่า “ละครน้ำเน่า” เรื่องใดๆ ในประวัติศาสตร์ละครไทย
นักการเมืองที่ขึ้นอภิปรายทุกคน รวมถึงเฉลิมและตู่-จตุพร มีความสามารถพิเศษที่ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ดูดีขึ้นมาทันหูทันตา แม้ก่อนหน้าจะถูกตำหนิว่า อ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพในการตัดสินใจก็ตามที
แต่ความกระเหี้ยนกระหือรือของฝ่ายค้านที่อยากจะลุกขึ้นอภิปราย เพียงเพื่อ “ออกทีวี” และ “โชว์ทักษิณ” แลกกับ “คะแนนนิยม” และ “ เศษเงินปีศาจ” ตามลำดับ ทำให้ประชาชนที่รู้ตื่นและเบิกบานแถมผ่านเหตุการณ์ “ปิดกรุงปล้นและเผา” ของกองทัพเสื้อแดง ที่ส่วนใหญ่ตบเท้ามาจากพรรคเพื่อไทยทั้งนั้น โดยทั้งที่สนใจการเมือง และฉาบฉวย ต่างสะอิดสะเอียนสภาฯ ไทยกันโดยมิได้นัดหมาย เป็นผลให้ฝ่ายหนึ่งหันมารักอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์จับใจมากขึ้น อีกฝ่ายก็หันหัวเรือหาทางเลือกใหม่ที่ดูเคว้งคว้างกลางทะเลกว้าง ลึกล้ำ และคลื่นลมแรง
แต่ทั้งหมดก็ยังไม่รู้ว่า แสงสว่างปลายถ้ำอยู่ตรงไหน? ในขณะที่การเมืองไทยซึ่งตกต่ำจนถึงขีดสุด จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร? ในเมื่อยังไม่สามารถพากัน “ก้าวข้ามผ่านทักษิณ” ออกไปได้ ไม่ใช่ไม่มีแรงมากพอ แต่เพราะว่า ทักษิณไม่ยอมให้เราก้าวข้ามผ่านต่างหาก ตราบใดที่เขายังมีเงิน และเงินของเขามีฤทธิ์จ้าง “ผีโม่แป้ง” ได้ ตราบนั้นไม่มีวันที่บ้านเมืองจะสงบสุขลงได้ ถ้าทักษิณไม่สงบ คงต้องรบกันต่อไป แล้วเมื่อไร “ความสุขของเราจะกลับคืนมา” ต่อให้ “แผนปรองดอง” จะสมบูรณ์เพียงใด ก็คงเป็นได้แค่อีกหนึ่งวาทกรรมการเมืองสวยหรูที่ดูได้จากหิ้งเปื้อนฝุ่นใน ห้องสมุดเงียบเหงา
ถ้อยคำโกหกมากมายที่พ่นกันในสภาฯ ไทย ทั้งวันและทั้งคืน โดยเฉพาะของตู่-จตุพร ที่ท้าให้ตำรวจมาจับกุมได้หลังสภาฯ ปิด เพราะเอกสิทธิ์หมดอายุได้กลายเป็นคำแก้ตัว โดยมีสภาฯ อันทรงเกียรติถูกใช้เป็น “เครื่องฟอก”
แต่อย่างน้อยที่สุดก็พบว่า คุณภาพการนำเสนอของรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เว้นเสียแต่ “ชวรัตน์” และ “โสภณ” ที่ออกอาการ บื้อ บอด ใบ้ และสาละวนอยู่กับเอกสารที่ทีมงานเตรียมให้มากมายจนลนลาน พูดไม่รู้เรื่อง น่าอนาถใจ
ที่สุดแสนจะทุเรศทุรังก็ตรงที่คะแนนของ “เพื่อแผ่นดิน” เพราะการลงมติของพวกเขา ถูกเรียกว่า การเคาะกะลาที่ โสภณ ซารัมย์ รู้เช่นเห็นชาติ ถึงกับชี้หน้าอย่าถือสาแกมโมโหปากสั่นว่า “ต่อแต่นี้ไปต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน”
ฟังแล้วอมยิ้มเจื่อนๆ...เพราะสังคมการเมืองไทยใส่หน้ากากมานานแล้ว และ หน้าตาของนักการเมืองไทยหลายคนในสภาฯ ยุคนี้ก็ไม่ต่างไปจากหน้ากากซาตานที่ดูเหมือนจะสวมมาแต่กำเนิด จนเราๆ ท่านๆ รู้สึกอึดอัด คลื่นเหียนอาเจียนจนอยาก “อ้วก” ใส่โทรทัศน์พร้อมคันตีน อยากถีบโทรทัศน์อีกวันละหลายๆ รอบทุกครั้งที่ดูการถ่ายทอดสดการประชุมสภาฯ แล้วได้เห็นไอ้พวกบ้าห้าร้อยสำรอกกลางสถานที่อันทรงเกียรติ
หลังการลงมติเสร็จสิ้น แทบมีการวางมวยนอกสภาฯ เลยทีเดียวเชียว และ ประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรีลอยเข้ามาแทรกแทนที่ แทนที่ประเด็นเผาเมือง แทนที่ประเด็นทักษิณ ผู้ก่อการร้าย แทนที่ประเด็นสามเกลอที่สำราญยังค่ายนเรศวรฯ และการหายตัวไปในไร่มะเขือเทศของ กี้ร์-อริสมันต์
คล้ายๆ ว่าสังคมไทยยุคทำไร่-หาเพื่อน-เป็นผัว-เมียกันในโลกออนไลน์ ช่างลืมง่ายลืมดาย ไม่ได้จดจำ หรือเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั้งเก่า และที่ผ่านมาหมาดๆ…ช่างฉาบฉวย และตื้นเขิน
เราชอบสอนกันให้คิดง่ายๆ ว่า ลืมๆ ไปเสีย ทิ้งซากอดีตไปซะ มาปรองดองกันเถิด รักกันดีกว่า อย่าทะเลาะกันต่อไปอีกเลย การแบ่งสีแบ่งฝ่ายทำให้เราแตกสามัคคี เอาความสุขกลับคืนมาเถิดนะ
โดยลืมไปว่า ที่ผ่านมาเราถกเถียงกันเรื่อง ในหลวงถูกจาบจ้วงจาก “สมาชิก” ที่นั่งในสภาผู้แทนฯ-ประชาชนเสื้อแดงที่ถูกล้างสมอง และทักษิณ
เราลืมไปแล้วหรือว่า ศาลสถิตยุติธรรมถูกย่ำยีจากนักโทษชายและผู้ก่อการร้ายทักษิณ จอมคอร์รัปชัน
เราลืมง่าย ไม่นำพาเรื่องราวของภาพสวยที่แสนเศร้า เพื่อพวกเราต้องยืนมองซากปรักหักพังของเมืองกรุงที่ทักษิณจ้างกองทัพแดงมา ล้อม และเผาทำลาย แถมพี่น้องทหาร ประชาชนคนดีๆ ต้องล้มเจ็บตายไปเท่าไร จึงไล่ทักษิณออกไปได้ และกระชากหน้ากากนักการเมืองสารเลวให้โลกรู้
จะเอาความรัก ความสุข สามัคคี ปรองดอง โดยทิ้ง “ความยุติธรรม” งั้นหรือ?
งั้นก็ “ช่วยกันพาทักษิณกลับบ้าน เพื่อเอาความสุขกลับคืนมาดีกว่าไหม? ตามนโยบายของทักษิณที่ติดป้ายทั่วอีสาน และเหนือ ...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องลำบากอะไรต่อไปอีก “ยกประเทศไทย” ให้มันเลยแล้วกัน...ง่ายดี ไม่แบ่งสี ไม่ทะเลาะกัน แล้วตอบได้ไหม? ว่าจะเอา “ในหลวง” ไปไว้ที่ไหน?
ลองฟังเรื่องนี้ดู...มีเพื่อนสาวใหญ่ศิษย์เก่าเซนต์โยเซฟ คอนแวนต์ หลายคนมาเยี่ยมและเล่าให้ฟังว่า ยามนายหญิงรุ่งโรจน์ จะมีทนายหน้าหอมาสั่งสอนให้เพื่อน พี่ และ น้องร่วมสถาบันต้องคุกเข่า คลาน และไหว้ ทุกครั้งที่พบปะเจอะเจอ ทั้งในงานเลี้ยงรุ่น หรือเข้าไปขอความช่วยเหลือใดๆ ใครทำ!!! ก็ได้ดี สามี-ลูก หลาน อู้ฟู่จากโครงการต่างๆ ใครดื้อด้าน!!! ก็แยกแตกวงออกไป ....
ครั้นนายหญิงตกอับ...ทรัพย์จางเพราะถูกรีดไถไม่เว้นวันจากม็อบแดงแรง ฤทธิ์ที่ปิดราชประสงค์ ทนายหน้าหอก็ห้อมาขอให้เพื่อนๆ กลับมาช่วย...ช่วยอะไร...ช่วยเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” หลายคนยอม เพราะค่าหัวคิวแสนงามล่อตาล่อใจ แต่หลายคนส่ายหน้า เลี่ยงหนีไม่หันกลับมามอง
และวันนี้ผลลัพธ์ที่ออกมา เพื่อนสาวเซนต์โยฯ 2-3 คน โดน DSI เรียกสอบเพราะบัญชีสะพัดเกินฐานะดั้งเดิม ความว่า เพื่อนสนิทศิษย์เซนต์โยฯ ส่ายหน้าเป็นทิวแถว เพราะนายหญิงและทนายหน้าหอล่อหายไปไม่เห็นหัว ปล่อยเพื่อนรับกรรมร้องไห้ต่อมน้ำตาแตก...
ได้ยินแต่เสียงปลายสายของคนใกล้ตัวที่เปล่งวาจาไม่น่าคบว่า “ก็ให้ไปตั้งเยอะแล้วไงจะเอาอะไรอีก”....แป่วสิคะพี่น้อง...ทีตอนได้ไม่ร้อง มานองน้ำตาร้องหาให้ใครช่วยเมื่อตำหนวดจับได้ว่า รับทรัพย์โจรมา...เวรกรรม.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000076020
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น