วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ส่องกล้องมองไกล“ข้อดี-ข้อเสีย” จะซื้อหรือยึด “ดาวเทียมไทยคม” / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2553

มีข้อถกเถียงกันมากหลังจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับว่ามีแนวคิดที่จะซื้อดาวเทียมไทยคมที่ถูก ทักษิณ ชินวัตร ปล้นไปเป็นสมบัติของสิงคโปร์กลับมาเป็นสมบัติชาติอีกครั้งว่า รัฐควรเสียเงินซื้อหรือจะยึดคืนมาโดยไม่ต้องจ่ายตังค์ หรือว่าจะยิงดาวเทียมดวงใหม่ไปทดแทนโดยไม่ต้องแคร์กับดาวดวงเก่าที่กำลังจะ หมดอายุสัมปทานในอีก 11 ปีข้างหน้า

ถือเป็นเรื่องที่น่าศึกษาถึงผลดี ผลเสียว่าแนวทางใดจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับบ้านเมือง

ฝ่ายที่เห็นว่าบริษัท ไทยคม จำกัด(มหาชน)ชื่อเดิม ชินแซทเทลไลท์ กระทำผิดกฎหมายจนเป็นเหตุให้ยึดคืนดาวเทียมได้นั้น มีเหตุผลดังนี้

1) ไม่มีดาวเทียมสำรองให้กับดาวเทียมไทยคม 3

2) ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิพากษายึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้านบาท มีเนื้อหาบางตอนวินิจฉัยถึงดาวเทียมไอพีสตาร์ว่าเป็นดาวเทียมที่ยังไม่ได้ รับอนุญาต และไม่สามารถอ้างว่าเป็นดาวเทียมสำรองได้ เนื่องจากไม่สามารถทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 ได้ เพราะลักษณะการใช้งานและคลื่นความถี่ต่างกัน ดาวเทียมไทยคม 3 ใช้ในการถ่ายทอดโทรทัศน์ผ่านความถี่ในย่าน c –band และ ku-band ขณะที่ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมที่อออกแบบมาเพื่อการใช้งานทางอินเตอร์ เน็ตไร้สาย ในย่าน ku-band จึงไม่มี c-band ที่ใช้งานในการถ่ายทอดโทรทัศน์เฉกเช่น ดาวเทียมไทยคม 3 ได้

3) การที่กระทรวงไอซีทีอนุญาตให้บริษัทชินคอร์ปลดสัดส่วนการถือครองหุ้นใน บริษัทไทยคมต่ำกว่าที่สัญญาสัมปทานระบุไว้ คือที่ 51%

4) เงินประกันจำนวน 6.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ได้จากระบบไฟฟ้าที่ขัดข้องทำให้อายุการใช้งานของดาวเทียมไทยคม 3 ลดน้อยลง แทนที่จะคืนให้รัฐ กลับนำไปใช้ในการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมดวงอื่นให้กับลูกค้า

5) กรณีที่ธนาคาส่งออกและนำเข้าให้เงินกู้รัฐบาลพม่าเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ใน กับดาวเทียมไอพีสตาร์

6) กรณีที่บริษัทไทยคมละเมิด ไม่ปฏิบัติตาม พรก ฉุกเฉิน ไม่ตัดสัญญาณการออกอากาศของพีทีวี

ทั้งหกข้อที่กล่าวมาเป็นประเด็นที่สามารถยกเลิกสัญญาสัมปทานกับ บริษัทไทยคมได้จริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะหากพิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่าทางบริษัทสามารถโต้แย้งทางกฎหมายได้ว่าที่ ผ่านมาเขาได้ปฏิบัติทุกอย่างภายใต้ข้อตกลงกับรัฐบาลในขณะนั้น โดยมิได้บิดพลิ้วแต่อย่างใดทุกอย่างที่ทำก็ล้วนแต่ได้รับความเห็นชอบจาก รัฐบาลทั้งสิ้น

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นข้อตกลงกับ รัฐบาลเก่า จะเป็นธรรมกับบริษัทเอกชนหรือไม่ และหากจะมีผู้กระทำความผิดก็ต้องโทษว่า เป็นฝ่ายรัฐในขณะนั้นที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนจนทำให้มีการแปรทรัพยากรชาติไป เป็นสมบัติส่วนตัว

ในทางนี้ บริษัทเอกชนคงสู้คดีแบบหัวชนฝาจนถึง3ศาลอย่างแน่นอน โดยการสู้คดีก็อาจใช้เวลาหลายสิบปีหรืออาจจะมากกว่าอายุสัมปทานดาวเทียมที่ เหลืออยู่อีก 11 ปีด้วยซ้ำ

คำถามคือระหว่างการสู้คดีที่ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะได้ข้อยุติ จะสามารถตอบโจทย์ที่รัฐต้องการแก้ปัญหาด้านความมั่นคงได้หรือไม่ และการสู้คดีระหว่างรัฐกับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะส่งผล ต่อมิติด้านการลงทุนและความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสิงคโปร์หรือไม่

เรื่องเอาคืนดาวเทียมไทยคม สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธาน ทีดีอาร์ไอ สนับสนุนให้ซื้อมากกว่ายึด ด้วยเหตุผลที่ว่า หากยึดคืนจะส่งผลกระทบโดยรวมต่อการลงทุนของต่างชาติ

ดังนั้น จะดีกว่าหรือไม่ หากรัฐบาลจะใช้ข้อได้เปรียบในเรื่องข้อกฎหมายไปต่อรองเพื่อลดราคาดาวเทียม ไทยคมที่ต้องซื้อคืน แทนที่จะไปสู้กันในชั้นศาล ที่อาจต้องสู้กันถึง3ศาลและอาจกินระยะเวลาเป็นสิบปี ขณะเดียวกันก็ต้องไล่บี้ดำเนินคดีอาญากับนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการเอื้อประโยชน์จนเป็นเหตุให้ชาติต้องสูญ เสียรายได้มหาศาล จากการทุจริตเชิงนโยบายในยุคที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจให้ถึงที่สุด เพื่อให้บ้านเมืองปกครองโดยหลักนิติรัฐอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้แล้วกันไปโดยไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิด บรรทัดฐานที่ถูกต้องในสังคม

ส่วนแนวทางที่ว่าจะยิงดาวเทียมลูกใหม่ขึ้นไปทดแทนเลยจะดี หรือไม่ ก็น่าพิจารณา เพราะเวลาที่เราพูดถึงการซื้อดาวเทียมคืนกลับคืนมา คนมักจะคิดว่าเฉพาะดาวเทียมที่ลอยอยู่บนฟ้า แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น สถานี อัพลิงค์ดาวเทียม(ลาดหลุมแก้ว) สถานีควบคุมวงโคจรดาวเทียม (นนทบุรี) และเหนือสิ่งอื่นใด การจะยิงดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรนั้นต้องใช้ระยะเวลา กว่าจะสั่งผลิต กว่าจะสร้างเสร็จ ต้องกินเวลาเป็นแรมปี

ไม่สามารถไปซื้อในร้านสะดวกซื้อได้ทันที ไหนต้องไปยิงสู่วงโคจร ในเกาะโพ้นทะเลอันแสนไกล ซึ่งมีสถานที่ไม่กี่แห่งที่ทำได้ และต้องกำหนดวันที่เวลาที่จะยิงล่วงหน้า ถ้าพลาดวันนั้นไปก็ต้องเว้นไปอีกพักหนึ่ง ไม่ใช่ยิงได้ในวันรุ่งขึ้น สรุปคือเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร

ทีนี้ เรามาพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับบริษัท ไทยคม จำกัด(มหาชน) กันดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร ดาวเทียมที่อยู่ในสภาพที่ยังใช้งานได้มีอยู่สองดวง คือ ไทยคม 5 และดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งเหลืออายุการใช้งาน 10 และ 11ปีตามลำดับ

นอกจากธุรกิจดาวเทียมแล้ว บริษัทไทยคมยังยังถือหุ้นในบริษัทย่อยอีกหลายบริษัท เช่น บริษัท ดีทีวี ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ซีเอส ล๊อกซ์อินโฟ อีกทอด นอกจากนี้แล้วยังถือหุ้นในบริษัทเชนนินตัน ซึ่งถือหุ้นในบริษัทลาวเทเลคอม และบริษัท เอมโฟนในเขมรอีกทอดหนึ่ง รายได้หลักและผลกำไรมาจากดาวเทียมไทยคม และธุรกิจมือถือในลาวและเขมร

ขณะที่ผลขาดทุนส่วนใหญ่มาจากดาวเทียมไอพีสตาร์ เพราะจนถึงปัจจุบัน การที่ดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่สามารถเปิดตลาดที่ประเทศอินเดียได้ตามกำหนดเวลา เดิม ทำให้สูญเสียลูกค้าทั้งปัจจุบันและอนาคตไป จึงมีลูกค้าที่ใช้บริการดาวเทียมไอพีสตาร์เพียงแค่ 30% ของยอดเต็ม ที่ให้บริการได้

ขณะที่กองทุนเทมาเส็ก ก็ไม่ได้สนใจที่จะลงทุนเพิ่มในธุรกิจดาวเทียมของบริษัทไทยคม จึงไม่มีการยิงดาวเทียมเพื่อไปทดแทนดาวเทียมอีกสองดวงที่ได้หมดอายุขัยไป แล้ว คือดาวเทียมไทยคม 1 A และ 2 และไม่มีการยิงดาวเทียมสำรองให้กับดาวเทียมไทยคม 5 จนทำให้ลูกค้าหนีไปใช้บริการกับดาวเทียมของประเทศอื่นในละแวกนี้แทน

ดังนั้นเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะเห็นได้ชัดว่าธุรกิจดาวเทียมของบริษัทไทยคมแทบจะไม่มีอนาคตภายใต้เจ้าของ ที่ชื่อเทมาเส็ก เพราะนับวันก็จะเหี่ยวลงไปเรื่อย ๆ จนแฟบ

ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เทมาเส็กจะรีบตอบรับข้อเสนอที่รัฐบาลไทยจะซื้อคืนดาว เทียมกลับมาเป็นสมบัติของประเทศอีกครั้ง

ถ้าวิเคราะห์ราคาที่เหมาะสมว่าควรอยู่ที่ตัวเลขเท่าใด ในฐานะผู้บริหารชินแซทที่เป็น “คนไทยหัวใจสิงคโปร์”บางคนก็ออกมาเคาะว่าสูงถึงหลักหมื่นล้านบาท บางคนประเมินว่าอาจจะอยู่ที่ตัวเลขประมาณห้าพันล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้จะถูกต้องหรือไม่เพราะในข้อเท็จจริงภายใต้สมมติฐานที่รัฐบาล ไทยจะซื้อคืนเฉพาะธุรกิจดาวเทียม ซึ่งรวมไปถึงสิทธิในการใช้สถานีอัพลิงค์และสถานีควบคุมวงจรดาวเทียม แต่ไม่รวม ดาวเทียมไอพีสตาร์ เพราะต้องถือว่าเป็นดาวเทียมเถื่อนตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

โดยเมื่อนำโจทย์เหล่านี้ไปถามผู้เชี่ยวชาญด้านวาณิชยธนกิจแล้ว ใส่ตัวเลขลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ กดปุ่ม คำนวนมูลค่าทรัพย์สินดู ผู้เชี่ยวชาญฟันธงตรงกันว่า

รัฐบาลน่าจะใช้เงินทั้งสิ้นไม่กี่ร้อยล้านบาทในการซื้อกิจการดาว เทียม

หากตัวเลขนี้เป็นจริงและเทมาเส็กยินดีที่จะขายดาวเทียมคืนใน ราคาหลักร้อยล้านบาท คงพอมีคำตอบแล้วว่า ระหว่างซื้อกับยึดคืนอะไรจะเป็นประโยชน์ต่อชาติมากกว่ากัน

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000083265

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น