วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สิทธิของโจร VS สิทธิของเหยื่อ / กิตติ ศักดิ์ สุคนธฉายา - 2 มิถุนายน 2553

นับแต่บุพกาลมา มนุษย์ส่วนใหญ่ในสังคมมักจะทำมาหากิน และมีทรัพยากรที่เหลือกินเก็บไว้มากบ้างน้อยบ้างตามฐานานุรูป และตามความสามารถของตน ขณะที่มนุษย์ส่วนน้อยจะเป็นเพราะเหตุขี้เกียจ หรือไม่มีปัจจัยในการผลิตเพียงพอ หรือมีความสามารถในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตน้อยกว่า ก็จะขาดแคลนทรัพยากร การเข้าแย่งชิงทรัพยากรและปัจจัยในการผลิตจึงเกิดขึ้น มนุษย์ส่วนใหญ่จึงได้รวมตัวกันป้องกันการแย่งชิงทรัพยากร และปัจจัยการผลิตที่ตนทำมาหาได้ การรวมตัวเช่นว่านั้นเราเรียกว่า “รัฐ” และในรัฐเรามีหัวหน้าที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้องทรัพยากรและชีวิตร่างกายของ ผู้คนในสังคมเรียกว่า “กษัตริย์” และเพื่อตอบแทนหน้าที่ในการปกป้องทรัพยากรและชีวิตร่างกาย เราได้มอบทรัพยากรส่วนหนึ่งให้ เรียกว่า “ภาษี” และต่อมาเราก็พัฒนาการเลือกหัวหน้าที่ทำหน้าที่กษัตริย์และเรียกว่า “รัฐบาล” ฉะนั้น รัฐทุกรัฐ รัฐบาลทุกรัฐบาลจึงมีภารกิจที่สำคัญที่สุดคือ การปกป้องชีวิต ร่างกาย และทรัพยากรทั้งส่วนบุคคล และของรัฐซึ่งเราเรียกหน้าที่นี้ว่า “การรักษาความสงบ” หรือ Public Peace รัฐก็ดี กษัตริย์ก็ดี และรัฐบาลก็ดีจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าไม่ได้มีอยู่เพื่อการรักษาความสงบ นี่คือภารกิจแรกและสาระแห่งความเป็นรัฐ

รูปแบบของการเข้าแย่งชิงทรัพยากรนั้น มักจะเริ่มจากหลอกให้เจ้าของทรัพยากรส่งมอบให้เขาลักเอาโดยเจ้าของเขาไม่รู้ จนถึงการประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกายเพื่อที่จะได้ทรัพยากรนั้นมา รวมทั้งรูปแบบอื่นๆ อีก อันเป็นการละเมิดต่อการรักษาความสงบของรัฐ ผู้ที่ละเมิดต่อการรักษาความสงบเราเรียกว่า “โจร” และผู้ที่เดือดร้อนจากการถูกละเมิดต่อการรักษาความสงบ เราเรียกว่า “เหยื่อ” เมื่อมีการละเมิดต่อการรักษาความสงบ จึงเป็นเรื่องประโยชน์ขัดกัน (Conflict of Interest) ระหว่างโจรกับเหยื่อ

ในการรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อป้องกันมิให้รัฐ กษัตริย์หรือรัฐบาลกระทำต่อพลเมืองโดยไม่ชอบ จึงได้มีการวางกฎเกณฑ์ว่าด้วย “สิทธิพลเมือง” ซึ่งทั้งโจรและเหยื่อต่างก็มีสิทธิพลเมืองนี้โดยเท่าเทียมกัน แต่เมื่อประโยชน์ของโจรและเหยื่อขัดกัน (โจรอยากได้ทรัพย์สินของเหยื่อ เหยื่อไม่ยอมมอบให้และจะถูกโจรทำร้าย) รัฐเกือบทั้งหมดจะเห็นแก่สิทธิพลเมืองของเหยื่อมากกว่าสิทธิพลเมืองของโจร ซึ่งหมายความว่าสิทธิพลเมืองของโจรจะมีได้ต่อเมื่อเหยื่อไม่อยู่ในความ เสี่ยงใดๆ ในการละเมิดต่อการรักษาความสงบอีกต่อไป

และสิทธิพลเมืองของโจรย่อมจะไม่มีหากเหยื่อยังตกอยู่ภายใต้ความ เสี่ยงต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ดังนั้น โจรที่จับเหยื่อเป็นตัวประกัน ย่อมไม่อาจเรียกร้องการปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือตามหลักสิทธิมนุษยชนใดๆ ได้ และเราเรียกรัฐที่คงพันธสัญญาเห็นเหยื่อมีค่ามากกว่าโจร ว่า “นิติรัฐ” ในทางตรงข้าม ก็ยังคงมีบางรัฐเห็นแก่สิทธิพลเมืองของโจรยิ่งกว่าสิทธิพลเมืองของเหยื่อ เราเรียกรัฐประเภทนี้ว่า “รัฐโจร”

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 มีประชาชนกลุ่มหนึ่งเรียกร้องทางการเมืองโดยอ้างสิทธิพลเมืองในการชุมนุมโดย สงบ และปราศจากอาวุธที่เรียกว่า “สันติ อหิงสา” ประชาชนจำนวนมากกว่าได้รับผลกระทบจากการชุมนุมครั้งนี้ ถึงแม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ประชาชนเหล่านั้นก็ยอมรับสิทธิพลเมืองของผู้ชุมนุม การชุมนุมยืดเยื้อมาจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ปรากฏว่าผู้ชุมนุมสันติ อหิงสา เหล่านั้น มีกองกำลังติดอาวุธร้ายแรงเข้าทำร้ายผู้คนและเจ้าหน้าที่ เพื่อบีบบังคับให้มีการเลือกตั้ง และพวกตนจะได้ซื้อเสียงกลับเข้ามากุมอำนาจรัฐ และใช้การกุมอำนาจรัฐเข้ามาสร้างความร่ำรวยโดยไม่ชอบให้กับตนและพวกพ้อง เหมือนที่เคยทำมาแล้วระหว่างปี 2544 ถึงปี 2549

หลังวันที่ 10 เมษายน 2553 ประชาชนร่ำร้องกันทั้งแผ่นดิน เรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่รักษาความสงบ และคืนสิทธิในการทำกินให้แก่เหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมอย่างก่อการ ร้าย แต่ดูเหมือนว่าเสียงเรียกร้องของเหยื่อเหล่านั้นจะเบาเกินไป หรือไม่ก็คงไม่มีค่าควรแก่การรับฟังแต่อย่างใด รัฐบาลยังคงเห็นแก่สิทธิพลเมืองของโจรมากกว่าสิทธิพลเมืองของเหยื่อ และยังคงปล่อยให้เหยื่อเสี่ยงต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน และเสียหายต่อสิทธิในการทำกินอยู่ต่อไป

ทั้งยังกลับทำให้เหยื่อเสี่ยงมากขึ้นโดยการตัดน้ำ ตัดไฟ และบริการสาธารณะของโจร 3,000 คน ซึ่งมีเหยื่อกว่า 300,000 คน ต้องพลอยทนทุกข์จากการตัดน้ำ ตัดไฟ และบริการสาธารณะเหล่านั้น และการตัดไฟดังกล่าวกินเวลาเนิ่นนานออกไปหลายวัน โดยรัฐบาลยังไม่มีแผนการดำเนินการจัดการกับโจรแต่อย่างใด จนทำให้เหยื่อจำนวนมากกลายเป็นผู้ลี้ภัยสงครามที่ขาดแคลนอาหารและอุปกรณ์ยัง ชีพที่จำเป็น จนถึงต้องพลัดพรากจากบ้านอยู่อาศัย พเนจรหนีตายออกไปอย่างไร้ที่พึ่ง

ขณะที่ความเสียหายก็แผ่ขยายวงกว้างออกไปจนทุกหย่อมหญ้า และเสียงร่ำร้องของเหยื่อดังขึ้น จะต้องอีกกี่ศพนะที่จะต้องทับถม กันลงไป ก่อนที่รัฐบาลจะเห็นว่าเหยื่อเป็นคน อีกกี่ศพนะที่จะต้องทับถมกันลงไป ก่อนที่รัฐบาลจะรู้สำนึกว่ามีเหยื่อตายมากเกินไปแล้ว แต่รัฐบาลก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร มีบางคนบอกว่ารัฐบาลนี้กลัวว่ามือจะเปื้อนเลือด ใช่ รัฐบาลนี้กลัวมือเปื้อนเลือด เขากลัวมือจะเปื้อนเลือดโจร แต่ไม่กลัวมือเปื้อนเลือดเหยื่อ

จนถึงบัดนี้ มือของเขาเปื้อนทั้งเลือด และน้ำตาของเหยื่อแล้ว...

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000076034

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น