ถึงอยากจะเห็นครม.อภิสิทธิ์5 มีคนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีบริหารบ้านเมือง ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงานได้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เพียงสลับสับเปลี่ยนเก้าอี้ตามโควตา เก้าอี้ดนตรี หรือสมบัติผลัดกันชม
แต่ด้วยข้อจำกัดทางการเมือง ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายก รัฐมนตรีต้องบริหารจัดการควบคู่กันไปกับภารกิจบริหารประเทศชาติบ้านเมือง ครม.ชุดใหม่ที่คลอดออกมาหลังผ่านวิกฤติม็อบเสื้อแดงและการอภิปรายไม่ไว้วาง ใจ
ก็ถือว่าพอไปไหว ได้น้ำได้เนื้อพอสมควร
แม้ไม่อาจเรียกได้ว่ายกเครื่องคุณภาพกันครั้งใหญ่ อาจเรียกว่าเป็นการจัดครม.ที่ให้น้ำหนักกับการบริหารการเมืองเป็นหลักโดย เฉพาะเรื่องระบบโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งการแก้ไขความแตกแยกระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อแผ่น ดิน จากศึกซักฟอก
หลังครม.เปิดโฉม แน่นอนว่าจะต้องให้โอกาสการพิสูจน์ฝีมือการทำงานในแต่ละจุด
แต่ที่พอเรียกได้ว่าเป็นที่หวัง คือการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่ดูแลสื่อ
จากนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย มาเป็นนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่จะเข้ามาเป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ
ถือได้ว่าการปรับเปลี่ยนจุดนี้ “อภิสิทธิ์”รับฟังเสียงสะท้อนจากสังคมพอสมควร อีกทั้งการให้ องอาจ คล้ามไพบูลย์ มาดูแลงานด้านสื่อรัฐแทน ก็ถือว่าจัดคนได้เหมาะกับงานใน ในฐานะรมต.ที่ เคยผ่านงานทางด้านหนังสือพิมพ์ น่าจะมีความรู้ความเข้าใจงานสื่อพอสมควร
โดยเฉพาะการบริหารงานสื่อรัฐ โดยเฉพาะในการต่อสู้แข่งขันกับการปลุกปั่นของสื่อของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เริ่มขยับเคลื่อนไหวเตรียมปูพรมเผยแพร่ข้อมูลที่กระตุ้นให้เกิดความแตก แยกขึ้นอีกครั้งแล้ว
นอกจากนี้ ปัญหาที่ไม่ควรละเลยของนายกฯและผู้จัดการรัฐบาล สุเทพ เทือกสุบรรณ กับแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นทั้งในพรรคประชาธิปัตย์ คนถูกปรับออกก็ส่งสัญญาณความไม่พอใจออกมาให้เห็นแล้ว
“อภิสิทธิ์-เทพเทือก”ต้องใช้เหตุผลอธิบาย ชี้แจงถึงความจำเป็น รัฐมนตรีที่อกหักต้องได้รับการ“เยียวยาความไม่พอใจ”
ปัญหาใหญ่อีกด้านที่ต้องเจอหนักแน่ ก็คือการบริหารจัดการแรงกระเพื่อมทางการเมืองจากนอกพรรค ในการโละรัฐมนตรีของกลุ่มใหญ่ในพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีปัญหาการลงคะแนนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในลักษณะโหวตสวน2รัฐมนตรีจาก พรรคภูมิใจไทย
การเขี่ยทิ้งโควตาของเพื่อแผ่นดิน ในกลุ่มของว่าที่ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี เกษม รุ่งธนเกียรติ และแนวร่วม พินิจ จารุสมบัติ ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ถือได้ว่า “อภิสิทธิ์-เทพเทือก”กล้ามากที่จะจัดการกับความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาล
แม้ทางหนึ่งจะถูกมองว่า อภิสิทธิ์ เลือกอุ้มรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ที่หลังการอภิปรายฯ ยังมีข้อกังขาในแง่ความไม่โปร่งใสในการบริหารงาน และมีคะแนนไว้วางใจรั้งบ๊วย
ทำให้ภาพที่ออกมา “อภิสิทธิ์”ถูกเนวิน ชิดชอบ ผู้ยิ่งใหญ่ของพรรคภูมิใจไทยขี่คอบงการ โดยนายอภิสิทธิ์ ก็รู้ดีและระมัดระวังภาพลักษณ์ตรงนี้ แต่เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องจัดการแบบแยกส่วน
กล่าวคือ ข้อกล่าวหาทุจริตคอรัปชั่นของสองรัฐมนตรีและพรรคภูมิใจไทยเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องจัดการต่อไป แต่อีกปัญหาใหญ่เฉพะหน้าที่ต้องจัดการก่อน คือความไร้เอกภาพในการคุมเสียงของผู้มีบารมีในกลุ่มของพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่จะส่งผลเสถียรภาพรัฐบาล
โดยเฉพาะท่าทีของกลุ่มก๊วนเพื่อแผ่นดิน ที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการทำงาน โดยเฉพาะกระทรวงไอซีทีในการสกัดกั้นสื่อออนไลน์เว็บไซต์อินเตอร์เน็ต ไม่มีส่วนร่วมกับการแก้ไขวิกฤติม็อบเสื้อแดงเท่าที่ควร
มิหนำซ้ำ ยังมีกระแสข่าวต่อเนื่อง เตรียมชิ่งไปจับมือพรรคเพื่อไทย มีความเคลื่อนไหวการต่อสายไปยังทักษิณ ชินวัตร แม้ยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายวิเคราะห์เกมการเมืองของประชาธิปัตย์ จับตามาพักใหญ่
และคีย์แมนพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลือกที่จะจัดการตัดไฟแต่ต้นล้ม ด้วยการปรับรัฐมนตรีในโควต้าของกลุ่มการเมือง3กลุ่มนี้ออกจาก ครม.
เพราะนอกจากกลุ่มโคราชของไพโรจน์ และกลุ่มสุรินทร์ ของนายเกษม
รุ่งธนเกียรติแล้ว การเขี่ยเพื่อแผ่นดินครั้ง ยังถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่กลุ่มวังพญานาค ของพินิจ –ปรีชา เดินแต้มผิดพลาดจนต้องหลุดวงโคจรอำนาจ
โดยเฉพาะ พินิจ ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือยุทธจักรการเมืองระดับที่เรียกกันว่า“เซียน เหยียบหิมะไร้ร่องรอย” เดินเกมล้ำลึกจนสามารถเข้าร่วมแบ่งปันอำนาจ มีตำแหน่งมาตลอดทุกยุคสมัย แม้กระทั่งในรัฐบาลขิงแก่ หลังการรัฐประหาร
ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก ที่เจ้าพ่อวังพญานาคเสียท่า ด้วยเพราะการประเมินและเดินเกมพลาด เร่งเกมกดดันนายกฯและรัฐบาล หักดิบกับพรรคคู่แข่งภูมิใจไทย ด้วยเพราะ“ความแค้นสั่งสม”
โดยตั้งแต่กลุ่มการเมืองวังพญานาคเข้าร่วมรัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็ไม่พอใจที่พรรคภูมิใจไทยมีแต้มต่อทีเหนือกว่า จนได้โควตาเก้าอี้เกรดเอไปครองหลายกระทรวง ขณะที่เครือข่ายตัวเอง ได้รับการจัดสรรโควต้ากระทรวงที่ด้อยกว่า
ขณะเดียวกันก็เกิดกระทบกระทั่งกับพรรคภูมิใจไทยในการร่วมรัฐบาล ขบเหลี่ยมปีนเกลียวเรื่องกันในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคอีสาน ที่ต่างถือว่าเป็นพื้นที่เป้าหมายในสนามเลือกตั้ง
จนมีปัญหาการแบ่งปันงบฯ คำขอฝากเด็กในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการของใครของมัน ต่างฝ่ายต่างตัดขาด ไม่ให้การสนับสนุน เสมือนประกาศตัวเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจน
ความไม่พอใจทั้งหมดที่สั่งสม กลุ่มโคราช สุรินทร์ และก๊กวังพญานาค จึงจับมือกันเดินเกมที่คิดว่าจะเป็นการหักหน้าเพื่อสั่งสอนพรรคภูมิใจไทยและ นายเนวิน ในวันลงมติศึกซักฟอก
โดยประเมินว่า ด้วยเสียงที่คุมอยู่3กลุ่ม10-20เสียงจะเป็นพลังต่อรอง ที่ทำให้พรรคแกนนำประชาธิปัตย์ ไม่กล้าหักหาญทำอะไรให้ส่งผลต่อเสียงสนับสนุนรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการต้องอาศัยมือในการโหวตผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณอีกไม่ กี่เดือนหน้านี้
แล้วการเมืองสูตรคณิตศาสตร์ของพินิจ ก็โดนพิษ “สูตรแก้เผ็ด”ของประชาธิปัตย์และเนวิน
เพราะพรรคประชาธิปัตย์ มีแผนและเดินเกมรองรับไว้ล่วงหน้า เห็นได้จากการแก้รอท่าทีอาการยึกยักของพรรคเพื่อแผ่นดินหลายครั้ง ในรูปแบบเดียวกันกับที่ใช้กับพรรคภูมิใจไทย
ทั้งการ“บอนไซ”การเติบโต โดยการกำหนดกรอบการจัดสรรงบฯอย่างเข้มงวด อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรมที่นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ต้องออกมาบ่นผ่านเสียงเพลง น้อยเนื้อต่ำใจ หรือการยื้อเมกะโปรเจ็กต์ในกระทรวงไอซีที โดยเฉพาะเค้กก้อนโต โครงการโทรศัพท์ 3 จี รวมทั้งการดองโปรเจ็กต์ในกระทรวงการคลัง ในความรับผิดชอบของ นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์
แถมยังต่อสายหาอะไหล่สำรอง กรณีฉุกเฉิน ทั้งในกลุ่มอื่นๆของพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ใครก็มองออกว่าไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียว 32เสียงแบ่งแยกกันถึง 6 กลุ่มย่อย
รวมทั้งที่สำคัญคือบรรดาส.ส.กลุ่มดาวกระจาย ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้แทนฯหน้าใหม่ ประเภท“ปรอทวิ่งจับขั้ว” ไหลไปไหลมาตามดุลอำนาจและพลังอัดฉีดของกลุ่มก๊วนในแต่ละช่วงสถานการณ์
พรรคประชาธิปัตย์ จึงอาศัยช่องทางตรงนี้ ดึงส.ส.มาทดแทนเสียงที่ขาดหายไปจาก 3กลุ่มเพื่อแผ่นดิน แม้แต่การอาศัยต่อสายตรงกับคนพรรคประชาธิปัตย์เก่า ไชยยศ จิรเมธากร ส.ส.อุดรฯ ในสังกัดกลุ่มวังพญานาคเอง
รวบรวมเสียงดาวกระจาย แม้กระทั่งสมาชิกกลุ่มพญานาคที่ไม่อยากปิ๋วไปเป็นฝ่ายค้านมาสนับสนุนให้นั่ง เก้าอี้รัฐมนตรีได้สำเร็จ และได้เสียงหนุนรัฐบาลทดแทนที่ขาดหาย
อีกด้านกับการประสาน ดร.มั่น พัธโนทัย รักษาการหัวหน้าพรรค มาตุภูมิ หอบ 3 เสียง ส.ส.พรรคนี้มาเติมแต้มรัฐบาล และยังได้บางส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดิน จากสายของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกที่ แตะมืออยู่กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานที่ปรึกษาพรรคมาตุภูมิ
ไม่เท่านั้น ประชาธิปัตย์ยังมีแผนสำรองที่เตรียมไว้ ทั้งการต่อสายทางพรรคประชาราช ของเสนาะ เทียนทอง โดยได้นายเนวิน ที่สนิทสนมกับเจ้าพ่อวังน้ำเย็น ลูกหลานตระกูลเทียนทองไปร่วมประชุมพรรคภูมิใจไทยหลายครั้ง และอาจได้ตัวมาร่วมพรรคในอนาคต
ยังมีเสียงจากงูเห่าในเพื่อไทย นอกจากสายของนายเนวินไข่ทิ้งไว้โดยตรง ยังมีบางส่วนก็ต้องใช้การอัดฉีดสนับสนุน ทั้งหาสปอนเซอร์มาเองหรือใช้ของหลวง “ซื้อใจ”ไว้ได้อีกนับสิบราย โดยเฉพาะส.ส.ในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือหลายจังหวัด
จำนวน10-20ราย ที่มีใจให้กับเนวิน และไม่ยากที่หากจะเรียกใช้บริการ หรือเป็นตัวช่วยอะไหล่สำรองให้รัฐบาลในยามฉุกเฉิน และเมื่อมีการร้องขอ
ฉะนั้น จึงพูดได้ว่า เสียงส.ส.10-20รายที่ ไพโรจน์-เกษม-พินิจ-ปรีชา คิดจะใช้เดินเพิ่มน้ำหนักในการต่อรอง เดินเกมหนักและแรง
สั่งลูกทีมโหวตสวนรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย เรื่องนี้มีการรับรู้ข้อมูลความเคลื่อนไหว และมีการประเมินสถานการณ์กันไว้ล่วงหน้า
จึงได้เห็น อภิสิทธิ์-เทพเทือก และเนวิน ไม่กลัวที่จะหักดิบกลุ่มก๊วนในพรรคเพื่อแผ่นดิน จับมือกันเปิดยุทธการ “เด็ดหัวพญานาค”สำเร็จ!!
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000078140
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น