ทีอย่างนี้ละกระตือรือร้นนัก...พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรฯ ปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 สรุปสำนวนการสอบสวนพยานหลักฐานต่างๆ เสนอต่อ รักษาการ ผบ.ตร.พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ พิจารณาเพื่ออนุมัติเสนอศาลออกหมายจับต่อไป...สงสัยต้องไปเขียนคอลัมน์ “ด่าแม้ว” ในคุกแน่ๆ
หันไปถามความรู้สึกของน้องแอ้ม –สโรชา หนึ่งใน 36 ผู้ถูกกล่าวหาคดีสนามบิน 2 แห่ง เธอตอบเบาๆ เรียบๆ ว่า “อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เรามั่นใจว่าเราทำความดี ก็ไม่กลัวอะไร ขออย่างเดียวขอให้พี่โสภณ องค์การณ์ เอาสบู่และครีมไปเยี่ยมด้วยก็แล้วกัน” ...พูดจบปิดปากหัวเราะคิกๆ ตามสไตล์สาวนักสู้-อารมณ์ดี
ระหว่างที่คดียังคาราคาซัง ไม่ออกหัว หรือก้อย ทุกชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป และชีวิตใหม่แสนสวยอีกชีวิตหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ที่ยุ่งเหยิง เป็นชีวิตของลูกสาวตัวน้อยๆ น่ารักของ เต้น – ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ภรรยาคนสวยหอบครรภ์ใหญ่ไปคลอดที่รพ.บำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลของเหล่าอำมาตย์ขนานแท้ดั้งเดิมทีเดียวเชียว ทว่าก่อนหน้านี้ภรรยาคนสวยของ ตู่ –จตุพร พรหมพันธุ์ ก็เพิ่งคลอดลูกฝาแฝดให้สามีได้ชื่นชมที่รพ.พระราม 9
แต่วันนี้มีอีกหลายชีวิตในดงแดง ที่กำลังทยอยกันเข้าไปมอบตัวกับตำรวจกองปราบ หัวขบวนมี “วีระ” คนแดงที่เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า และกำลังล้มเจ็บด้วยโรคภัย ส่วนพ่อลูกอ่อนสองคนก็กะปลกกะเปลี้ยเต็มที ขณะที่คนอื่นๆ ก็ลากขาพาม็อบแดงเดินหน้าต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้ “เสธ.แดง” จะขู่ฆ่ายกโคตรหากใครขืนลงจากเวทีโดยไม่ได้รับอนุญาต
แต่นาทีนี้หามีใครสนใจฟังเสธ.แดง – อริสมันต์และขวัญชัยไม่!!! แม้แต่นายใหญ่จะสั่งเพิ่มค่าตัวมาจากบาห์เรนแต่ดูเหมือนว่า คุณพ่อมือใหม่ 2 คนได้คำนวณแล้วว่าไม่คุ้มค่าหัว สู้หอบเงินที่ได้ไปตั้งหลักปักชีวิตใหม่กับเมียและลูกน้อยกลอยใจไม่ดีกว่า หรือ
เพราะตู่ – จตุพร เปรยกับเพื่อนรักในวันล้าว่า สิ่งที่กลัวที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่คดีความที่กำลังตามมาจ่อคอหอย แต่กลัวว่า นายใหญ่จะบ้าคลั่งแล้วสั่ง “เก็บ” ตู่เพื่อเอาศพแห่แหนให้แดงคลั่ง ตู่กระซิบบอกเพื่อนสนิทว่า สามเกลอรู้ดีว่านายใหญ่ไม่ได้คิดแค่ปิดราชประสงค์ แต่ไกลกว่านั้นและนั่นคือ เผาเมืองเพื่อล้มกระดาน
การเมืองไทยวุ่นวายอยู่กับเกมล้างไพ่มานานนม คนที่ถ่องแท้กับวัฏจักรนี้ดีที่สุดคนหนึ่งย่อมไม่พ้น “ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” ลูกผู้ชายสายเลือดราชครู ผู้ถูกสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางคนชี้นิ้วดูแคลนว่า “ขี้ขลาด” หลังประกาศจะไม่ลงเลือกตั้งสมัยหน้าตามแผนปรองดอง ด้วยเหตุไม่พิสมัยกับบรรยากาศเมืองไทยในห่ากระสุน
เจ้าของฉายาซ้าย กุชชี่ และหัวขบวนบ้านพิษณุโลกในยุค “ชาติชาย” บอกว่า บรรยากาศการเมืองในยุคนายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ต่างกับยุคพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ
เขาย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า บิ๊กจิ๋ว – พล.อ.ชวลิต ยอมลุกจากเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก เพื่อมาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย-บิดาของเขา โดยมีเงื่อนไขว่า รัฐบาลชาติชายต้องอยู่เพียง 1 ปี และต่อจากนั้นบิ๊กจิ๋วจะขึ้นมากุมบังเหียนแทน แต่เมื่อชาติชายติดลม บิ๊กจิ๋ว และเพื่อนทหารจึงเดินเกม “ล้างไพ่” จนเป็นที่มาของการยุติ “รัฐบาลบุฟเฟ่ คาร์บิเนต” ด้วยปลายกระบอกปืน และสุดท้ายพ่อ–ลูก ราชครูต้องลี้ภัยในลอนดอนอยู่หลายปี
อ.ไกรศักดิ์บอกว่า แผนปรองดองแห่งชาติของนายกฯ อภิสิทธิ์เป็นแนวคิดที่ดีของปีกก้าวหน้าที่ไม่ใช้วิธี เลือดต้องล้างด้วยเลือด แม้จะถูกกระแหนะกระแหนรอบด้านจากสมาชิกพรรคฯ และประชาชนหลายหมู่เหล่าก็ตาม แต่ถ้าแผนปรองดองเป็นไปด้วยดี ไม่มีประชาชนบาดเจ็บ-ล้มตายจากการสลายการชุมนุม เท่ากับว่านายกฯ อภิสิทธิ์พาตัวเองและประเทศชาติก้าวพ้นวงจรอำนาจของเหล่าทัพ ที่คุ้นชินกับการใช้ “กำลัง” มากกว่า “ปัญญา”
“สังคมไทยชอบคนเด็ดขาด ตัดสินใจรวดเร็ว ตัดปัญหาด้วยการล้างไพ่ ทำบ่อยๆเข้าก็ชินจนเห็นว่าดี แต่วันนี้โลกก้าวไปไกลแล้ว และประชาคมโลกจับตามองดูการแก้ปัญหาของเราอยู่ จะใช้วิธีเดิมๆ เห็นทีจะยาก และนายกฯ คนนี้ไม่ชอบวิธีแบบนั้นด้วย ท่านบอกผมว่า เราทุกคนต่างเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์เหมือนกัน การใช้กำลังปราบปรามมันง่าย แต่การแก้ไขปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นนี่สิมันยากกว่า” ไกรศักดิ์ อธิบาย และ ย้ำว่า เขาสนับสนุนแนวทางปรองดองของนายกฯ อภิสิทธิ์ด้วยหัวใจแห่งความนับถือ และเชื่อมั่นว่า แผนปรองดองจะเป็นฝ่ายชนะ แม้นายกรัฐมนตรีจะถูกวิจารณ์ว่า อ่อนแอเพียงใดก็ตาม
“คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ในเวลาที่บ้านเรายังมีทหาร-ตำรวจ ส่วนใหญ่ที่ยังเป็นนักโทษแห่งความสนุกสนานในการใช้อำนาจรัฐที่เกินเลยจนยาก จะควบคุม แต่แนวทางปรองดองคือสันติสุขที่ยืนยาวของสังคมไทย และทุกฝ่ายต้องร่วมมือเพื่อให้บังเกิดอย่างเป็นรูปธรรม การใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม จะทำให้เราไม่ต่างจากยุคเดือนตุลาคม ยุคพฤษภาทมิฬ และยุคของทักษิณที่ใช้อำนาจรัฐฆ่าคนตาย ทั้งกรณียาเสพติด ตากใบและกรือแซะ จนองค์การสหประชาชาติยื่นหนังสือประณามถึง 34 กรณี”
ทายาทของบ้านราชครูคนนี้โชกโชนทางการเมือง และการเมืองภาคประชาชน จนรู้ไส้รู้พุงกองทัพเป็นอย่างดี เขาสะท้อนเหตุผลที่ทหารส่วนหนึ่งนิ่งเฉยกับการเข้าไปช่วยเหลือนายกรัฐมนตรี ควบคุมการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะว่า กองทัพไทยไม่ต่างจากเมืองมายา
“ทหารมีโลกอีกใบที่ใต้ดิน โลกใบนี้ยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนเมืองมายา ในสังคมนี้มีการติดต่อผูกพันกันจากรุ่นสู่รุ่น มีทั้งสิ่งที่ถูกกฎหมายกับผิดกฎหมาย มีทั้งพวกทักษิณ กับพวกอื่นๆ มีทั้งพวกมีอำนาจและขาดอำนาจ มีทั้งพวกชอบใช้ความรุนแรงและรักสงบ ทหารทุกกรมกองต่างรู้กันดีว่าอะไรเป็นอะไร และใครอยู่เบื้องหลังกองทัพแดง บางกลุ่มเสนอให้ใช้ความรุนแรงตอบโต้ แต่บางกลุ่มนิ่งเฉยไม่สนใจ และอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งใหญ่มาก คือ กลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ กลุ่มนี้ที่มีท่าทีเมินเฉยกับรัฐบาลและบ้านเมือง”
เมื่อนึกย้อนกลับไปตลอดเวลาที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงแผลงฤทธิ์จน บ้านเมืองใกล้ล่มจม รัฐบาลและสังคมไทยได้พบว่า ทหารกลุ่มหนึ่งไม่นำพาที่จะเข้าไปช่วยเหลือนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่ทหารแตงโมของทักษิณ ทั้งนี้ อ.ไกรศักดิ์ วิเคราะห์ว่า
“ทหารพวกนี้ขุ่นใจที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เปิดโปงความชั่วร้ายในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ สำหรับการใช้งานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะกรณี จีที 200 และบอลลูนที่ไร้ประสิทธิภาพ รวมถึงการเข้าไปดูแลรายละเอียดการใช้งบประมาณ 1 แสน 4 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาภาคใต้รอบด้านที่กองทัพเคยสุขสำราญจากการจับจ่ายที่ไร้ขีดจำกัด”
อย่างไรก็ตาม อ.ไกรศักดิ์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และแม่ทัพภาคอีสาน ที่ร่วมกับ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กอบกู้คะแนนเสียงของพรรคกลับคืนมาในคราวเลือกตั้งครั้งสู้กับพลังประชาชน กลับแสดงท่าทีกังวลใจไม่น้อยสำหรับสนามการเลือกตั้งครั้งต่อไป
เขาบอกว่า สนามอีสานจะดุเดือดเลือดพล่าน การหาเสียงจะเต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยง และอาวุธสงครามจะผุดขึ้นมาบนดินมากมาย “แพ้-ชนะจะเอากันถึงตายไม่เชื่อคอยดู” ไกรศักดิ์บอก และที่ว่า เขาจะไม่ลงเลือกตั้งเพราะกลัวอำนาจกระสุนปืนนั้น เขาอธิบายว่า “ผมถามคน ที่กล่าวหาว่าผมขี้ขลาดว่า งั้นคุณเอาสุราษฎร์ฯ มาแลกกับโคราชบ้านผมไหม…เขาก็เงียบกัน”
เมื่อการยุบสภากำลังโหมโรง และปี่-กลองการเลือกตั้งกำลังจะบรรเลง แต่อ.ไกรศักดิ์ซึ่งลึกซึ้งกับความเลวของทักษิณดี มองว่า พรรคเพื่อไทยจะเคลื่อนไหวรุนแรง และ กองทัพแดงจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
“ผมได้ยินเจ้าหน้าที่ทูตต่างประเทศแห่งหนึ่ง ซึ่งคุยกับแกนนำพรรคเพื่อไทย เขาเล่าว่า แกนนำคนนี้ย้ำหนักหนาว่า สถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ และวันหน้าขึ้นอยู่กับกองทัพแดง”
อ.ไกรศักดิ์จึงทิ้งท้ายว่า “เราเคยพูดกันถึงหมู่บ้านกระสุนตก หมายถึงการกระหน่ำซื้อเสียงเป็นบ้าเป็นหลัง ถึงวันนี้เราจะได้พบหมู่บ้านกระสุนตกของจริง ไม่เพียงซื้อเสียง แต่หมายถึงซื้อกระสุนไปเก็บผู้หาเสียงกันเลยทีเดียว…เพราะทักษิณไม่ยอม แพ้...และเงินของเขาซื้อคนเลวมาเป็นบริวารได้หมด...ทางรอดประเทศไทยคือ ทุกฝ่ายร่วมมือกันปรองดอง เพื่อโค่นระบอบทักษิณ และรัฐสภาต้องทำหน้าที่ออกกฎหมายเพื่อจัดระเบียบสังคมไทยใหม่หมด อะไรคือปัญหาต้องแก้ไข ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภามาทำตัวเป็นปัญหาสังคมเสียเอง”
เมื่อถามว่า แผนปรองดองจะพลิกโฉมหน้าการเมืองไทยได้ไหม? ทายาทราชครูผู้นี้ตอบว่า
“พรุ่งนี้ก็จะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” แล้วยิ้มกว้างเดินจากไปในบทจบของการสนทนากลางฟ้าหม่น แต่ใจคนไทยนี่สิหม่นหมองนองน้ำตายิ่งกว่า เพราะมองไปข้างหน้า นับวันยิ่งมืดมนอนธการจริงหนอประเทศไทย
หาเรื่องชวนน้องแอ้ม – สโรชา ไปติดคุก หนีวงล้อมกระสุนตกจากปืนแดงจะดีกว่าไหมเนี่ย?
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000065434
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น