วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

“กบฏแดง”คือฝ่ายใช้ความรุนแรง สิ่งที่สังคมไทยรู้แต่คนกลางไม่เห็น / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2553

Credit : Facebook

เจาะสถานการณ์ พฤษภาทมิฬ53
โดย...ทีมข่าวการเมือง

น่าประหลาดใจที่สถานการณ์พัฒนามาขนาดนี้ ทั้งพรรคเพื่อไทยและแกนนำก่อการร้ายแดงดูเหมือนจะยังไม่สำเหนียกเลยว่า เหตุใดในการเข้ากระชับวงล้อมของเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณโดยรอบพื้นที่ชุมนุม ราชประสงค์ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ40 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 300 คน โดยทั้งหมดล้วนเป็นกลุ่มแนวร่วมก่อการร้ายแดงทั้งสิ้น

ทำไมสังคมไทยจึงเมินเฉยต่อสภาพความสูญเสียเหล่านั้น และยังสนับสนุนให้กำลังใจรัฐบาล ทหาร ปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุล่วง

มิใช่ว่าสังคมไทยเกิดอาการวิปริตกระหายเลือด นิยมความรุนแรง กระเหี้ยนกระหือรือที่จะเห็นซากศพไพร่แดงนอนเกลื่อนพื้นถนน

แต่เป็นเพราะว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏมันชัดเสียยิ่งกว่าชัดว่า ใครทำชาติฉิบหาย ใครนำพาชาติบ้านเมืองมาสูหุบเหวแห่งหายนะ จนแทบย่อยยับอับปางอย่างที่เป็นอยู่

ถ้าพรรคเพื่อไทยและแกนนำก่อการร้ายแดงยังมองไม่ออก จะไล่เรียงให้ดูก็ได้ เผื่อว่าจะหูตาสว่างมองเป็นดอกบัวเป็นดอกบัวกับเขาบ้าง

1.การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่อ้างเรื่องประชาธิปไตยฉาบหน้า ซ่อนวาระฟอกผิดให้ทักษิณ ชินวัตรอยู่เบื้องหลังนั้น มีพฤติกรรม ดิบ ถ่อย เถื่อน มาโดยตลอด เป็นมวลชนที่ถูกปลุกเร้าให้ใช้ความรุนแรงมากกว่าการใช้ปัญญา

ไม่ว่าจะเป็นการปิดล้อมสภานับตั้งแต่วันที่มีการโหวตเลือกนายก รัฐมนตรี และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีชัยเหนือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่พรรคเพื่อไทยส่งชื่อเข้าชิงตำแหน่ง เมื่อแพ้ในสภาพรรคเพื่อไทยก็ใช้คนเสื้อแดงทุบทำร้ายรถ ส.ส.ฝ่ายตรงกันข้าม กระทำการประทุษร้ายที่อาจทำให้อีกฝ่ายถึงแก่ชีวิตด้วยการสาดน้ำกรดเข้าใส่ ทำให้รถ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เสียหายไปหลายคัน

จากนั้นก็ยังป่วนไม่เลิกปิดล้อมอาคารรัฐสภาในวันที่จะมีการแถลง นโยบายของรัฐบาล จน อภิสิทธิ์ ต้องใช้กระทรวงการต่างประเทศเป็นสถานที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแทน แสดงให้เห็นตั้งแต่แรกว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันพยายามทุกทางที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างรัฐกับผู้ ชุมนุมอันอาจจะนำไปสู่ความสูญเสียตามมา

2.การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงได้ทำลายประเทศชาติอย่างรุนแรงมา แล้วครั้งหนึ่งในช่วงเดือนเมษายน ปี 2552 โดย ไอ้กีร์ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นำพวกบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา

มีการไล่ล่านายกรัฐมนตรี ทุบรถนายกฯทั้งที่พัทยาและกระทรวงมหาดไทย ก่อนที่สถานการณ์จะพัฒนาไปเป็นการก่อจลาจลทั่วเมืองหลวง จนรัฐบาลต้องประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน และส่งกำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ โดยในห้วงเวลานั้นไม่มีคนเสื้อแดงเสียชีวิตจากปฏิบัติของเจ้าหน้าที่แม้แต่ รายเดียว แต่มีประชาชนชาวนางเลิ้งผู้บริสุทธิ์ต้องเซ่นสังเวยความบ้าคลั่งของคนเสื้อ แดงไปสองคน โดยที่แกนนำก่อการร้ายแดงไม่เคยแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น ที่มิอาจควบคุมมวลชนของตัวเองได้

เหตุการณ์ในครั้งนั้นยุติลงโดย แกนนำขณะนั้น คือ วีระ มุสิกพงษ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประกาศยุติการชุมนุมยอมให้ตำรวจเข้าควบคุมตัวเพื่อสู้คดี ส่วน จตุพร พรหมพันธุ์ หนีเอาตัวรอดทอดทิ้งมวลชนก่อนที่การชุมนุมจะยุติลง

3 .พรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวสอดรับกับคนเสื้อแดง มีการจัดตั้งมวลชนให้เงินสนับสนุน รวมไปถึงการใช้สภาเป็นวาระเสื้อแดงและวาระเพื่อทักษิณ โดยไม่ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างที่ควรจะเป็น

หลังเกิดเหตุเมษาแดงถ่อย รัฐสภามีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ มีข้อเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น โดยก่อนการแก้ไขให้ทำประชามติ จากนั้นค่อยยุบสภาเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่

ในขณะนั้นบรรยากาศการหารือสามฝ่ายระหว่าง รัฐบาล ฝ่ายค้าน และ วุฒิสภา เป็นไปด้วยความราบรื่น จนได้ข้อสรุปตรงกันและกำลังจะเดินหน้าไปสู่การทำประชามติอยู่แล้ว แต่ทุกอย่างก็ต้องพับลง

เนื่องจาก ทักษิณ สั่งผ่านการโฟนอินเข้าพรรคเพื่อไทยให้ล้มกระบวนการนี้ สิ้นเสียงทักษิณ วันรุ่งขึ้นพรรคเพื่อไทยประกาศไม่เข้าร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ประเด็น

ทำให้เรื่องดังกล่าวต้องยุติลงโดยปริยาย เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเดินหน้าต่อ เนื่องจากมิได้เกิดจากความเห็นร่วมที่จะนำไปสู่ความสมานฉันท์ดังเจตจำนงของ คณะกรรมการสมานฉัตนท์ของรัฐสภา

ประเทศชาติไม่ควรต้องสูญเสียเช่นนี้เลย หากว่าพรรคเพื่อไทยไม่เดินออกจากแนวทางสมานฉันท์ข้างต้น ป่านนี้บ้านเมืองของเราอาจจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการเลือกตั้ง หรือ อาจจะมีรัฐบาลใหม่ไปแล้ว

ความหายนะของบ้านเมืองจึงไม่เพียงแค่ ทักษิณ ก่อการร้ายแดง ต้องรับผิดชอบเท่านั้น แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งหมดต้องร่วมรับผิดชอบ กับการเป็นทาสรับใช้ ทักษิณ จนยอมทรยศต่อประชาชนและแผ่นดินเกิดของตัวเองด้วย

4 .มาถึงการชุมนุมใหญ่ที่เริ่มดีเดย์กันตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมาจนถึงเวลานี้ พฤติกรรมของก่อการร้ายแดงก็เต็มไปด้วยความดิบ ถ่อย เถื่อน

ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ตั้งแต่การเทเลือดหน้าบ้านนายกฯ ส่งมอเตอร์ไซด์ป่วนเมือง ปิดถนนเป็นว่าเล่น จนคนกรุงเทพฯได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส แม้เสื้อแดงจะพกความถ่อยมาเต็มพิกัดสังคมไทยก็ยังให้ความเป็นธรรมกับข้อ เรียกร้องหลายประการที่เห็นว่าเป็นปัญหาพื้นฐานที่สมควรได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือความไม่เป็นธรรม รวมไปถึงปัญหาสองมาตรฐานในทางกฎหมาย

รัฐบาลอภิสิทธิ์ เดินหน้าเปิดโต๊ะเจรจาเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน โดยหั่นเวลาการอยู่ในอำนาจของตัวเองลง 1 ปี เสนอยุบสภาใน 9 เดือน บนเงื่อนไขสามข้อ คือ มีการจัดทำงบประมาณปี 2554 เสร็จสิ้นเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ ทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์รัฐสภา และร่วมกันทำบรรยากาศบ้านเมืองให้สงบ

แต่การเจรจาดังกล่าวก็ล้มเหลวอีกครั้ง โดยมีความชัดเจนว่า ทักษิณ เป็นผู้สั่งการให้ปิดประตูทางออกนี้เสีย เนื่องจาก ทักษิณ ไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ บนเงื่อนไขนี้

5 .เวทีชุมนุมมีการกล่าวจาบจ้วงล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ไม่เว้นแม้แต่ ทักษิณ ที่โฟนอินมาถี่ยิบในช่วงแรกของการชุมนุม และยังมีการขยายพื้นที่การชุมนุมไปยังราชประสงค์ ศูนย์กลางเศรษฐกิจ จับคนกรุงเทพและเศรษฐกิจของชาติเป็นตัวประกัน คู่ขนานไปกับการก่อวินาศกรรมรายวัน

โดยแกนนำก่อการร้ายแดงปฏิเสธความรับผิดชอบ อ้างไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับการก่อวินาศกรรม ระหว่างนั้นพฤติกรรมของเสื้อแดงก็ยังคงความถ่อยไว้อย่างคงเส้นคงวา มีการป่วนไปตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง กระทั่ง “ไอ้กี้ร์”นำทีมบุกเข้าอาคารรัฐสภา กระทั่งรัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน

จากนั้นเสื้อแดงก็มีพฤติกรรมเย้ยฟ้าท้ากฎหมาย ใช้กฎหมู่มาข่มขู่ คุกคามสังคมไทย เมื่อรัฐบาลปิด “พีทีวี”ที่ปลุกปั่น ยุยง ให้ข้อมูล บิดเบือน ยั่วยุให้ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง ณัฐวุฒิ ก็นำทีมไปบุกสถานีดาวเทียมไทยคม จนทหารต้องถอยร่นออกมาอย่างไม่เป็นขบวน และยังอหังการ์ถึงขั้นยึดอาวุธทหารเอาไว้จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ส่งคืนให้ทาง กองทัพ

ตามติดมาด้วยความล้มเหลวในปฏิบัติการจับตัว “ไอ้กี้ร์”ที่โรงแรมเอสซีปาร์คของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำความอัปยศอย่างยิ่งสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่ามกลางข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดว่า มีทหารแตงโม และตำรวจมะเขือเทศ

6 .สังคมกดดันอย่างหนักให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับกลุ่มคน เสื้อแดง กระทั่งช่วงเที่ยงของวันที่ 10 เมษายน 2553 ขวัญชัย ไพรพนา นำคนเสื้อแดงไปบุกกองทัพภาคที่ 1 ยั่วยุทหาร จนเกิดการปะทะกัน

ทหารเริ่มปฏิบัติการขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณผ่านฟ้าลีลาศด้วย มาตรการจากเบาไปหาหนัก 7 ขั้นตอนตามหลักสากล แต่การขอคืนพื้นที่ยังไม่บรรลุภารกิจ ก็เกิดโศกนาฏกรรมกลางสี่แยกคอกวัว มีกองกำลังติดอาวุธโจมตีทหารด้วยอาวุธหนัก ทั้งระเบิดขว้าง เอ็ม 79 รวมถึงอาวุธสงครามอีกหลายชนิด เป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 5 นาย ผู้ชุมนุมเสียชีวิต 21 ราย บาดเจ็บอีกเกือบพันคน

ความสูญเสียดังกล่าวทำให้สังคมไทยได้เห็นภาพการบรรจบกันระหว่างกอง กำลังติดอาวุธกับคนเสื้อแดงเป็นครั้งแรก และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ อภิสิทธิ์ ไม่ตกอยู่ในสภาพทรราชสั่งฆ่าประชาชน ทั้งที่ ทักษิณ พยายามอย่างยิ่งที่จะยัดเยียดบทนี้ให้กับคนเป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจาก อภิสิทธิ์ จะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ทรราชแล้ว ยังได้รับฉันทานุมัติจากสังคมไทย โดยมีประชาชนจำนวนมากแสดงออกถึงการสนับสนุนให้บริหารสถานการณ์ปราบก่อการ ร้ายแดงต่อ ขณะที่ ก่อการร้ายแดงเดินเข้ามุมอับมากขึ้นด้วยการบุกเข้า รพ.จุฬาฯ อย่างไร้มนุษยธรรม จนเป็นเหตุให้ต้องปิดโรงพยาบาล ย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่น กระทั่งมีผู้ป่วยต้องเสียชีวิตไป 4 ราย สังเวยความถ่อยของก่อการร้ายแดง โดยไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบ

7 .ในจังหวะที่การชุมนุมทำท่าจะไปไม่รอด เพราะสังคมกดดันอย่างหนัก อภิสิทธิ์ หยิบยื่นไมตรีหาคำตอบทางการเมืองด้วยการเสนอแผนปรองดอง 5 ข้อ ก่อนจะจัดให้มีการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. 53 ทำให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกผิดหวังกับท่าทีประนีประนอมนี้ ถึงขั้นกล่าวหาว่า อภิสิทธิ์ ทรยศประชาชนไปปรองดองกับกลุ่มก่อการร้าย และทักษิณ ชินวัตร

แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏชัดในภายหลังว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้แกนนำก่อการร้ายแดงไม่ยอมยุติการชุมนุมทั้งที่มีการตอบ รับอย่างดีในช่วงต้น เป็นเพราะรัฐบาลไม่ตกลงเงื่อนไขให้แกนนำก่อการร้ายแดงประกันตัว และ ไม่ตอบรับเงื่อนไขที่ ทักษิณ เสนอให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ นิรโทษกรรมให้กับตัวเอง จนทำให้มีการตั้งแง่ทำทีตอบรับแผนปรองดองแต่นายกรัฐมนตรีและ สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องเข้ามอบตัวกับตำรวจในคดี 10 เมษา ก่อน

8 .เมื่อแกนนำก่อการร้ายแดงบิดพลิ้วไม่ยุติการชุมนุม อภิสิทธิ์ จึงล้มการจัดการเลือกตั้งแต่ยังเดินหน้าแผนปรองดอง และมอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคงดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย โดยเริ่มมีการกระชับวงล้อมบริเวณพื้นที่รอบราชประสงค์ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา

ซึ่งเหตุการณ์ก็ปรากฏชัดว่าทหารยังมิได้เข้าสลายการชุมนุม เพียงแต่ตั้งด่านเข้มข้นเพื่อไม่ให้มีการเติมคนเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม ตัดบริการสาธารณูปโภคเพื่อกดดันให้การอยู่ในพื้นที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะทหารบุกเข้าไปทำร้ายประชาชน แต่เพราะมีกลุ่มคนออกมาปั่นป่วน ก่อการจลาจล จนทหารต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ และมีการแจ้งเตือนมาก่อนหน้าแล้วว่า หากจำเป็นทหารจะใช้กระสุนจริงเพื่อสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย และปกป้องชีวิตตัวเอง

ภาพต่าง ๆ ที่เริ่มปรากฏออกมาก็มีความชัดเจนว่า กองกำลังติดอาวุธเป็นเนื้อเดียวกับแดง แฝงตัวอยู่เบื้องหลังผู้ชุมนุมที่เดินหน้ายั่วยุทหาร โดยคนชั่วเหล่านั้นพร้อมที่จะยิงใส่ทั้งทหาร ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชุมนุม

จากสภาพดังกล่าวข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจที่สังคมไทยจะแยกแยะได้ว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้น มิใช่การก่ออาชญากรรมโดยรัฐ ตรงกันข้ามทหารได้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างเข้มแข็งในการปกป้องบ้าน เมืองจากภัยคุกคามด้านความมั่นคง ที่มีผู้ใช้มวลชนบังหน้าแล้วนำกองกำลังติดอาวุธมาโค่นอำนาจรัฐ

หากปล่อยให้ก่อการร้ายแดงชนะ ประเทศไทยจะไม่มีทางได้รัฐบาลประชาธิปไตยที่ ทักษิณ ชินวัตร ไม่อนุมัติอีกเลย

ระบบนิติรัฐจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

สถาบันหลักของชาติจะสั่นคลอนอย่างหนัก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่เรียกว่า “รัฐไทยใหม่”

คนไทยยังแยกแยะได้ ยังมีความเข้าใจต่อสถานการณ์จึงสนับสนุนให้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพเดินหน้าคืนความสงบให้กับบ้านเมือง

น่าเสียดายที่พวกองค์กรสันติวิธีทั้งหลายยังคงโง่งม แปรสภาพตัวเองเป็นนักฉวยโอกาสสร้างสถานะทางสังคมให้กับตัวเอง ด้วยการยื่นมือเข้ามาขอเป็นคนกลางเจรจาต่อ

ไร้เดียงสา หรือ โง่ ที่ดูไม่ออกว่าข้อเสนอของตัวเองที่ไม่แยกแยะ ถูก ผิด ดี ชั่ว ไปเข้าทางใคร

โคทม อารียา และพลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ออกมาเล่นบทคนกลางอ้างได้รับมอบหมายภารกิจจากวุฒิสภา ไม่ต้องมาตอบกับสังคมหรอก ไปส่องกระจกแล้วตอบคำถามกับตัวเองดูซิว่า สิ่งที่เสนอออกมานั้นมันเป็นผลดีต่อสังคมไทยจริงหรือไม่

การหยุดยั้งความสูญเสียไม่ใช่มาเรียกร้องจากรัฐบาลที่กำลังรักษาความ มั่นคงประเทศ แต่พวกคุณต้องไปเรียกร้องกับคนที่กระทำความผิด จับคนกรุงเทพ และเศรษฐกิจไทยเป็นตัวประกันมานานกว่าสองเดือน ว่า ต้องยุติการชุมนุมทันที เพื่อหยุดความสูญเสีย

แม้แต่แกนนำสายพิราบที่แยกตัวออกมา ก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อมวลชนของตัวเองมากกว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่หนีเอาตัวรอด แล้วทิ้งมวลชนไว้เบื้องหลัง โดยที่ไม่ให้ข้อเท็จจริงกับพวกเขาว่า กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยเพียงใด

วีระ มุสิกพงษ์ อดิศร เพียงเกษ วิสา คันทัพ และ ไพจิตร อักษรณรงค์ ถ้า ยังพอมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ พวกคุณต้องบอกความจริงกับมวลชน ให้พวกเขาตาสว่างไม่ตกเป็นเครื่องมือของแกนนำก่อการร้ายแดงคนอื่น

อย่าเอาซากศพของมวลชนมาต่อลมหายใจให้กับตัวเอง!!!

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000069474

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น