วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นาทีชีวิต!!! / ประสงค์ วิสุทธิ์ 21 พ.ค. 2553

เหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างวันที่ 14-19 พฤษภาคม สร้างผลกระทบต่อสังไทยอย่างกว้างขวาง จิตใจผู้คนเต็มไปด้วยความสลดหดหู่ มิพักต้องพูดถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชนจำนวนมากที่ ต้องสูญเสียญาติพี่น้อง ทรัพย์สินจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว


หลายคนทั้งผู้ชุมนุม ตำรวจ ทหาร และประชาชนทั่วไป ผ่านประสบการณ์นาทีวิกฤต ชีวิตต้องแขวนอยู่บนเส้นดาย


ผู้สื่อข่าว ช่างภาพ เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ต้องเสี่ยงภัยผ่านาทีชีวิตมาอย่างหวุดหวิด เพราะมีหน้าที่ต้องนำข้อมูลข่าวสารในพื้นที่ความไม่สงบมารายงานต่อสาธารณะ จึงต้องพยายามเข้าใกล้พื้นที่ที่มีการปะทะมากที่สุด จนหลายคนได้รับบาดเจ็บ แต่หลายคนเอาชีวิตมาทิ้งในสงครามของผู้อื่น


ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นกับนักข่าว ช่างภาพในสนามเท่านั้น แต่มีผลกระทบอย่างรุนแรงขององค์สื่อมวลชนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


เมื่อความโกรธแค้น ชิงชังและความคั่งแค้นเกิดขึ้น(ไม่ขอพูดถึงสาเหตุซึ่งมีความซับซ้อน และยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ รวมถึงการโยนให้เป็นความผิดของแต่ละฝ่าย)ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุม นอกจากบุกเข้าเผาทำลายทรัพย์สินของหน่วยงานของรัฐและเอกชนหลายแห่งแล้ว ยังพุ่งเป้าเข้าใส่องค์กรสื่อสารมวลชนหลายแห่ง


ที่โดนหนักคือสถานีวิทยุและโทรทัศน์สีช่อง 3 ที่โดนกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมากปิดล้อม บุกเข้าไปในอาคารสำนักงาน ทุบทำลายทรัพย์สิน และใช้ล้อยางรถยนต์เผาทำลายบริเวณลานจอดรถ ชั้นล่างของอาคารสำนักงาน และยังยิงปืนเข้าใส่ชั้น 6 ของอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งกองบรรณาธิการ มีร่องรอยกระสุนปืนอยู่บนกระจกหน้าต่างหลายนัดโดยเฉพาะตรงกับที่นั่งของ พิธีกรดังอย่างกิตติ สิงหาปัด


การปิดล้อมสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 กินเวลานานไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงโดยปราศจากการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐ แม้ว่าผู้บริหาสถานีพยายามติดต่อกับผู้ใหญ่ในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ ฉุกเฉิน(ศอฉ.) และมีการสั่งการไปแล้วก็ตา


เจ้าหน้าที่และนักข่าวในกองบรรณาธิการบนชั้น 6 กว่า 100 ชีวิตไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ เพราะถ้าวิ่งออกมานอกตัวอาคารก็อาจถูกกลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายหรือยิง ทางหนีเดียวคือ ชั้นใต้ดินที่เชื่อมต่อกับอาคารใหญ่ที่เฮลิคอปเตอร์สามารถลงมาช่วยเหลือได้ แต่ก็ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมวางเพลิงไม่สามารถใช้เป็นทางหลบหนีได้


ท่ามกลางชั่วโมงวิกฤตที่ควันไฟลอยจากเพลิงไหม้ชั้นล่างลอยขึ้นมาบน ชั้น 6 ผู้คนกว่า 100 ชีวิตตื่นตระหนก บางคนหาทางป้องกันตัวเองด้วยการนำน้ำมาราดตัวให้เปียก บางคนสวดมนต์ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ บางคนร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวฯลฯ


สำราญ ฉัตรโท รองผู้จัดการฝ่ายข่าวเล่าว่า ช่วงเวลาดังกล่าว ได้ออกไปทำธุระนอกสำนักงานพอดี พอกลับมามีการปิดล้อมอาคาร ไม่สามารถเข้าไปได้ ช่วงที่กำลังหาทางช่วยเหลือเพื่อนๆในกองบรรณาธิการอยู่ เห็นตำรวจกว่า 30 นายเดินแถวมาพอดี


"ผมรีบเข้าไปกราบตำรวจเพื่อขอความช่วย เหลือ แต่ปรากฏว่า ตำรวจมีปืนแค่ 4 กระบอก ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ต้องถอยออกไป"สำราญเล่าอย่างอ่อนใจ


อย่างไรก็ตามด้วยความพยายามของทุกฝ่ายในที่สุด ตำรวจชุดปราบจลาจลจำนวนหนึ่งก็มาถึง ยิงปืนเข้าใสกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ที่กำลังคั่งแค้นอยู่หลบหนีไปหมด ทำให้กว่า 100 ชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด


ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เป็น เพียงตัวอย่างหนึ่งที่ผู้คนในสังคมถูกปลุกปั่นยุยงให้เกิดความเกลียดชังซึ่ง กันอย่างรุนแรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาผ่านสื่อที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ โดยกลุ่มนักการเมือง กลุ่มที่อ้างตัวว่า เป็นผู้เรียกร้องประชาธิปไตย หรือผู้ที่แอบอ้างตัวว่าประกอบวิชาชีพสื่อ


หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งหลายต้องหันามาทบทวน ตรวจาสอบการทำงานของตัวเอง ร่วมมือกันในการปฏิรูปทั้งโครงสร้างและการทำงาน นำเสนอข่าวอย่างรอบด้านและเป็นธรรม และด้วยความระมัดระวัง

เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชนอย่างแท้จริง



ที่มา :: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1274448506&grpid&catid=02

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น