ผ่าประเด็นร้อน
หาก พิจารณาจากผลงานการติดตามจับกุม และเข้าตรวจค้นบรรดาแกนนำทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่เป็นคนสำคัญใน เหตุการณ์จลาจลรอบใหม่เรียกได้ว่า ตำรวจทำผลงานได้ “ล้มเหลว” อีกเช่นเคย เพราะตามความเป็นจริงแล้วการควบคุมตัวระดับแกนนำที่มีชื่อทั้งหมดล้วนมาจาก การเดินเข้ามามอบตัวเองทั้งสิ้น ยังไม่สามารถตามลากคอมาได้สักคนเดียว แม้กระทั่ง “อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง” และ “สุภรณ์ อัตถาวงศ์” ก็ยังหลบหนีอย่างลอยนวล แถมยังมีข่าวให้เจ็บช้ำอีกว่ามีนายตำรวจบางคนพาไปกบดานเสียอีก ซึ่งหน่วยงาน “สีกากี” จะต้องมีการสังคายนากันครั้งใหญ่ เพราะสร้างวิกฤติศรัทธาแทบจะถึงขีดสุดแล้ว
แม้จะรู้ว่าคำสั่งย้ายด่วน 4 ผู้ว่าฯคือ ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานีและมุกดาหารเข้ามาช่วยราชการที่กระทรวงมหาดไทย จะมีรายการการเมือง “ผสมโรง” ฉวยโอกาสก็ตามที แต่เมื่อพิจารณาจากผลงานที่บรรดา “พ่อเมือง” เหล่านั้นทำได้อย่าง “น่าสะอิดสะเอียน” มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
เพราะหากพิจารณาจากเหตุการณ์จลาจลในวันนั้นก็เสมือนเปิดทางให้กลุ่ม “กุ๊ยเสื้อแดง” แค่ไม่กี่ร้อยคนรวมตัวกันเผาศาลากลางซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการ ทรัพย์สินของประชาชนทั้งประเทศวายวอดเป็นจุน
แม้จะรับรู้กันอยู่แล้วว่าในพื้นที่ภาคอีสานหลายจังหวัดถูกเรียกว่า “เรดโซน” เป็นเขตอิทธิพลเคลื่อนไหวอย่างคึกคักของกลุ่มคนเสื้อแดง และหลงเชื่อ ทักษิณ ชินวัตร งมงายใน “ประชานิยม” ที่ปล้นเงินของคนเสื้อแดงแล้ว “ตบตา” เอามาให้คนเสื้อแดงและคนจนทั่วไป สร้างบุญคุณจนแทบจะเรียกว่าชาตินี้ชดใช้กันไม่หมด
ขณะเดียวกันอย่าได้แปลกใจที่การเคลื่อนไหวอย่างคึกคักดังกล่าว ส่วนสำคัญมาจากการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หรือผสมโรงเปิดทางให้มีการเคลื่อนไหวอย่างเสรี ทำให้ขบวนการโจรก่อการร้าย “โพกผ้าแดง” ขยายเติบโตอย่างเสรีและไร้ขอบเขต
หากยังจำกันได้เมื่อย้อนกลับไปไม่นานพิจารณาเฉพาะแค่เหตุการณ์บุกยึด สถานีรถไฟขอนแก่นแล้วกักขบวนรถขนอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารที่กำลังส่งกำลัง บำรุงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ การปิดถนนมิตรภาพเพื่อตรวจค้นและกักตัวทหารและตำรวจไม่ให้เดินทางเข้า กรุงเทพฯเพียงแค่สงสัยว่าจะเดินทางเข้ามาสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเมือง หลวงเท่านั้น
เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจนถึงการเผาศาลากลางจังหวัดดังกล่าว มันสะท้อนให้เห็นถึงการทำหน้าที่ในการรักษาความสงบในพื้นที่ หรือการหามาตรการป้องกันเหตุร้าย โดยเฉพาะในช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจอย่างเต็มเปี่ยม แค่กลับกลายเป็นว่าข้าราชการเหล่านี้ทำงานไม่เอาไหน ไม่คุ้มค่ากับเงินเดือน ไม่คุ้มค่ากับความไว้วางใจ
อย่างไรก็ดีแม้ว่าอีกด้านหนึ่งเบื้องหลังคำสั่งโยกย้าย 4 ผู้ว่าฯดังกล่วย่อมมี “การเมือง” ที่ “ฉวยโอกาส” ผสมโรงอยู่ก็ตาม โดยเฉพาะจากกลุ่มการเมืองที่ต้องการช่วงชิงและเข้าไปควบคุมพื้นที่ในภาค อีสาน หรืออย่างน้อยต้องการเข้าไป “แทรก” ในบางพื้นที่ เพื่อละลายคู่แข่งทางการเมืองก็ตาม
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากระทรวงมหาดไทยในยามนี้อยู่ภายใต้การกุมบังเหียน ของพรรคภูมิใจไทย แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชวรัตน์ ชาญวีระกูล ก็ตาม แต่ใน “วงการ” ก็ยังรับรู้กันอีกว่าอยู่ในมือของ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้ที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน
ที่ผ่านมาปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า พรรคภูมิใจไทยพยายามโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยนอกฤดูกาลมา แล้วหลายครั้ง มีการโยกสลับเก้าอี้สำคัญอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดก็เพิ่งมีการโยกสลับตำแหน่งสำคัญ เช่น อธิบดีกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ หนองคาย ศรีสะเกษ เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อฐานเสียงในการเลือกตั้งทั้งท้องถิ่นและระดับชาติด้วย กันทั้งสิ้น
แต่ก็อย่างว่าในเมื่อ ผลพวงจากเหตุการณ์จลาจลเผาศาลากลางวายวอดเป็นจุนแบบนี้จะปล่อยให้คนที่รับ ผิดชอบสูงสุดในจังหวัดลอยนวลมันก็เกินไป เพราะหากเป็นสมัยก่อนต้อง “ประหาร” สถานเดียวเท่านั้น
ขณะ เดียวกันข้าราชการอีกหน่วยงานหนึ่งที่ต้องพูดถึงและตำหนิควบคู่กันไปก็คือ “ตำรวจ” เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายมาจนถึง วันนี้ เป็นเพราะ “ไม่ได้ทำหน้าที่” ของตัวเองอย่างเข้มแข็งสมกับที่เป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” มิหนำซ้ำยังไปเข้าด้วยช่วยเหลือกลุ่มผู้ก่อการร้าย เห็นดีเห็นงามไปกับคนเหล่านั้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ภาพ ที่ปรากฎในสังคมโลกออนไลน์ ใน “เฟชบุก” หรือแม้กระทั่งภาพข่าวทางสถานีโทรทัศน์ที่ออกมาเปิดโปงผลงานของตำรวจถือว่า ได้สร้างความ “เจ็บปวด” ให้กับคนไทย โดยเฉพาะภาพที่ “รีสอร์ตหรู” ในค่ายนเรศวร ชะอำ เพชรบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัวบรรดา “หัวโจก” คนเสื้อแดงที่เพิ่งสั่งเผาบ้านเผาเมืองมาหมาดๆให้ที่พักพิงดูแลอย่างดี เหมือนกับเป็นการไปพักผ่อนชายทะเลหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจมาอย่างหนัก ทั้งที่ “ควันไฟ” ที่ราชประสงค์ยังไม่ทันมอดดีเสียด้วยซ้ำ
นอก จากนี้หากพิจารณาจากผลงานการติดตามจับกุม และเข้าตรวจค้นบรรดาแกนนำทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่เป็นคนสำคัญใน เหตุการณ์จลาจลรอบใหม่เรียกได้ว่า ตำรวจทำผลงานได้ “ล้มเหลว” อีกเช่นเคย เพราะตามความเป็นจริงแล้วการควบคุมตัวระดับแกนนำที่มีชื่อทั้งหมดล้วนมาจาก การเดินเข้ามามอบตัวเองทั้งสิ้น ยังไม่สามารถตามลากคอมาได้สักคนเดียว แม้กระทั่ง “อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง” และ “สุภรณ์ อัตถาวงศ์” ก็ยังหลบหนีอย่างลอยนวล แถมยังมีข่าวให้เจ็บช้ำอีกว่ามีนายตำรวจบางคนพาไปกบดานเสียอีก ซึ่งหน่วยงาน “สีกากี” จะต้องมีการสังคายนากันครั้งใหญ่ เพราะสร้างวิกฤตศรัทธาแทบจะถึงขีดสุดแล้ว
เมื่อ พิจารณาพฤติกรรมและข้อเท็จจริงดังกล่าวของข้าราชการที่ไม่ได้ทำหน้าที่ให้สม กับความรับผิดชอบ ทั้งระดับผู้ว่าราชการจังหวัดและตำรวจในพื้นที่ดังกล่าว มันก็ย่อมถึงเวลาที่จะต้องมีการปฏิรูปกันอย่างขนานใหญ่ เพื่อให้ข้าราชการเหล่านี้รู้จักหน้าที่ เป็นมืออาชีพ เป็นผู้ที่รักษาความสงบ ไม่ใช่เติมเชื้อไฟให้กับบ้านเมืองเหมือนอย่างทุกวันนี้ แม้ว่า 4 ผู้ว่าฯถูกเด้งสังเวยไปแล้ว และแม้ว่ามีกลิ่นไอของการเมืองผสมอยู่ แต่มันช่วยไม่ได้ ขณะที่ คิวต่อไปอย่าลืมตำรวจ เพราะสร้าง “โบว์ดำ” ได้ประทับใจจริงๆ !!
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000072348
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น