วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทลายกับดัก อภิสิทธิ์ !? / ASTV ผู้จัดการรายวัน 15 พฤษภาคม 2553

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การต่อสู้ชิงไหวพริบกันระหว่างรัฐบาลและคนเสื้อแดง ได้ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งด้านเศรษฐกิจ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ในด้านเศรษฐกิจ อาจกล่าวได้ว่ากรณีของนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ประกาศปิดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 โดยอ้างว่าเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังจะมาถึงที่หน้าอาคารผู้โดยสารนั้น “ยังเสียหายน้อยกว่า” การปิดการจราจรบริเวณสี่แยกราชประสงค์ของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะแม้ในปี 2551 จะได้มีการสั่งปิดสนามบินแล้วนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไม่ได้ แต่ในทางกลับกันนักท่องเที่ยวก็ออกนอกประเทศไม่ได้เช่นกัน (จำเป็นต้องจับจ่ายใช้สอยอยู่ในประเทศ) แต่ในกรณีของที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์นั้นได้มีการประกาศโดยหลายประเทศทั่ว โลกได้ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยว โดยอ้างเหตุผลหลักว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีผู้ก่อการร้ายติดอาวุธสงคราม ทำให้นักท่องเที่ยวหนีออกจากประเทศไทยส่งผลกระทบต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ อย่างยับเยิน

ในด้านความมั่นคง ทำให้ประชาชนมีความหวาดกลัวกับการใช้อาวุธสงคราม ประเภทระเบิด M-79 ที่มุ่งหมายเอาชีวิตเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนทุกกลุ่ม “ยกเว้นกลุ่มคนเสื้อแดง” อีกทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนยังมีพฤติกรรมเป็นอันธพาลคุกคามทำร้ายประชาชน นอกพื้นที่ชุมนุมโดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้

คำถามมีอยู่ว่าที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทำไมจึงได้ปล่อยให้เหตุการณ์นี้ยืดเยื้อยาวนานถึงเพียงนี้ ก็น่าจะจำแนกถึงเหตุผลตามที่ปรากฏเป็นข่าวดังนี้

1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ผ่านมาได้ถูกใส่ข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคง จนมีความกังวลในการสูญเสียอย่างมาก เช่น ได้ข้อมูลว่าถ้าสลายการชุมนุมจะมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตเป็นพันคน, ถ้าสลายการชุมนุมแล้วมีความผิดพลาดจะเกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่, ถ้าสลายได้แล้วสถานการณ์ประเทศไทยจะกลายเป็นเหมือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

นี่คือการให้ข้อมูลนายอภิสิทธิ์ กรณีฝ่ายความมั่นคงเลือกใช้วิธีที่ “โง่ที่สุด” มาข้ออ้างให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ติดกับดักจนมองข้ามทุกวิธีที่สามารถจัดการกับผู้ชุมนุมที่ไม่ใช่วิธีการ “โง่ที่สุด” จนกลายเป็น “ไม่กล้าทำอะไร” ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

แต่การไม่ทำอะไรนั้นกลับทำให้ประชาชนซึ่งไม่ใช่คนเสื้อแดง ข้าราชการตำรวจ และทหาร ที่บริสุทธิ์ ต้องถูกคุกคาม ถูกทำร้าย และถูกยิงด้วยอาวุธสงครามจนเกิดการสูญเสียและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

2. ข้าราชการตำรวจจำนวนมากที่ปฏิบัติงานอยู่ในขณะนี้ใส่เกียร์ว่าง บางส่วนไปสมรู้ร่วมคิดในการวางแผนกับผู้ชุมนุม การอ้างว่าโยกย้ายข้าราชการไม่ได้เพราะติดที่ กตร. หรือ กตช. นั้น เป็นอีก 1 กับดักที่นายอภิสิทธิ์อาจนำมาอธิบายต่อคนบางกลุ่มได้ว่าไม่สามารถเปลี่ยน แปลงโยกย้ายข้าราชการตำรวจเหล่านั้นได้

ความจริงในประเด็นนี้นายอภิสิทธิ์ มีอำนาจที่จะเรียกข้าราชการที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วตั้งคนที่มีความสามารถและพร้อมทำหน้าที่เข้ามาแทน ซึ่งสามารถทำได้ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุก เฉิน

แต่ถ้ามองให้ขาดก็ต้องยอมรับว่า อิทธิพลของ “เนวิน” ทำให้นายอภิสิทธิ์ไม่กล้าล้วงเข้าไปโยกย้ายข้าราชการเพราะติดบุญคุณในการจัด ตั้งรัฐบาล ซ้ำร้ายการซื้อตำแหน่งในข้าราชการตำรวจกันอย่างหนักในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ตำรวจจำนวนมากไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลทักษิณที่ยังสนับสนุนพรรคพวก มากกว่า จึงปันใจย้ายข้างไปสนับสนุนคนเสื้อแดง

ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังติดกับดักนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสายความมั่นคงอีกชั้นหนึ่ง มีความเกรงใจและไว้วางใจนายสุเทพอย่างมาก เพราะเป็นคนที่อุ้มกันมาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบิดาของนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ

3. ข้าราชการทหาร ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มประสิทธิภาพ บางส่วนใส่เกียร์ว่างเพราะความขลาดและความไม่ได้เรื่อง บางส่วนต้องการใส่เกียร์ว่างเพราะ “รับงานมา” และต้องการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา และบางส่วนใส่เกียร์ว่างเพราะเห็นว่าอนาคตตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองจะตีบตัน เพราะความเจริญก้าวหน้าของทหารสายบูรพาพยัคฆ์ ด้วยเหตุนี้การใส่เกียร์ว่างจึงเกิดขึ้นในหลายระดับ ยิ่งนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่กลัวการสูญเสียอยู่แล้ว จึงทำให้ระดับผู้บังคับบัญชาหลายส่วนฉวยโอกาสใส่เกียร์ว่างตามมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมาข้าราชการฝ่ายความมั่นคงระดับสูงที่ขาด กลัว เฝ้ารอการสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรของฝ่ายการเมืองเพื่อที่จะฝ่ายข้าราชการ ประจำจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงอย่างเดียว

การไม่วางกำลังตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาหรือนายกรัฐมนตรี การไม่ตั้งด่านสกัดอาวุธที่ขนเข้าออก คือปฏิกิริยาที่บางคนสงสัยว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังถูก“วางยา” โดยฝ่ายทหาร

ปัญหาจึงไม่ใช่ว่านายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจตามกฎหมายโยกย้ายราชการดัง ที่หลายคนเข้าใจ แต่ความจริงนายกรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะเรียกข้าราชการทหารที่เป็นปัญหาเข้ามา ช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีแล้วแต่งตั้งผู้ที่มีความสามารถและกล้า ตัดสินใจเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน

ถ้าจะสรุปปัญหาในวันนี้ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็คือ

1. ติดกับดักความคิดที่เชื่อว่าต้องไม่ทำอะไรกับคนเสื้อแดงเท่านั้นจึงจะไม่ เกิดความสูญเสีย จนที่ผ่านมาทำให้มองข้ามมาตรการอื่นทั้งหมด เช่น การปิดล้อมห้ามเสบียงและคนเข้าที่ชุมนุม ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ การตั้งรางวัลนำจับผู้ที่ออกหมายจับ ฯลฯ

2. ติดหนี้บุญคุณคนมากมายในการจัดตั้งรัฐบาล ตั้งแต่นายเนวิน ชิดชอบ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคร่วมรัฐบาล การทำงานจึงติดกับดักในโครงสร้างของรัฐบาลที่เป็นอยู่มากเกินไป ไม่กล้าโยกย้ายราชการ ไม่กล้าปรับคณะรัฐมนตรี

ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ ประชาชนชาวไทยมีทางเลือกข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

ก. เลือกอยู่ข้างผู้ก่อการร้ายและอันธพาลติดอาวุธ ถ่อย-ดิบ-เถื่อน ของขบวนการ
รัฐไทยใหม่ ที่มีผลงานการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารมาแล้ว

ข. เลือกอยู่ข้างรัฐบาลที่อ่อนแอ ติดกับดักจนไร้ประสิทธิภาพในการบังคับใช้
กฎหมาย ปล่อยให้ประเทศชาติเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่มีผลงานการทุจริตของพรรคร่วมรัฐบาลเช่นกัน

ค. เลือก ข้อ ก. และ ข้อ ข. มาปรองดองกัน ให้คนไทยทั้งชาติอยู่ภายใต้การ
บริหารของคนทั้ง 2 ประเภท ทั้งผู้ก่อการร้าย และ ฝ่ายที่บริหารที่ติดกับดักไร้ประสิทธิภาพ

ง. ผิดทุกข้อ

ขณะที่เขียนอยู่ตอนนี้ เป็นวันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2553 ได้ทราบว่า เริ่มมีการสั่งการเป็น “ลายลักษณ์อักษร” ให้ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณโทรศัพท์ ปิดล้อมผู้ชุมนุม ตามข้อเสนอของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมาถึงวันนี้คงได้พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ สามารถทลายกับดักของตัวเอง แก้ไขปัญหาได้สำเร็จมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000066903

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น