สิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศแนวทางการแก้ไขปัญหา 5 ข้อออกมาตั้งแต่คืนวันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2553 นั้นได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจากประชาชนที่อ่านข่าวโดยทั่วไป
แต่ที่ต้องถูกตั้งคำถามในเวลานี้ก็คือปัญหา 5 ประการนั้นเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติจริงหรือไม่ ถ้าจริงแล้วจะมีหลักประกันอะไรว่าจะทำให้เกิดความสำเร็จ และจะสร้างหลักประกันอะไรที่จะทำให้ระเวลาเพียง 4 เดือนครึ่งก่อนจะมีการยุบสภานั้นจะทำได้สำเร็จจริง?
คำถามมีอยู่ว่าในระยะเวลาอันสั้นแค่ 4 เดือนครึ่ง แล้วจะนักการเมืองคนไหนจะมาสนใจที่จะมาปฏิรูปประเทศ แก้ไขปัญหาของชาติ คงจะมีเหลือแต่ฝ่ายที่จะสนใจแก้ไขกติกา แก้ไขกฎหมาย และแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนักการเมือง เพื่อที่จะไปช่วงชิงอำนาจการเมืองมาให้กับตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น
เวลาที่เหลือข้าราชการคนใด อยากจะทำงานที่อาจจะกระทบนักการเมืองอย่างเต็มที่ จึงย่อมใส่เกียร์ว่างไปเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นที่อยู่ภายใต้อำนาจทางการเมือง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ
เมื่อข้าราชการใส่เกียร์ว่าง แล้วคดีความฐานก่อการร้าย คดีขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ คดีการก่อวินาศกรรม คดีอันธพาลที่ทำร้ายและคุกคามประชาชน ก็คงจะไม่มีความคืบหน้าต่อไป
มิหนำซ้ำหลังการสลายการชุมนุม รัฐบาลก็ต้องประกาศยกเลิก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน สื่อในเครือคนเสื้อแดงทั้งหมด ทั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เว็บไซต์ วิทยุชุมชน สื่อสิ่งพิมพ์ ก็จะหวนกลับมาปั้นน้ำเป็นตัวปลุกระดมประชาชนให้หลงเชื่อมากขึ้นด้วยวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชังมากขึ้นทั้ง อภิสิทธิ์ฆ่าประชาชน อำมาตย์รังแกทักษิณ ฯลฯ
ยังไม่นับช่วงเวลาเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งสถานการณ์จะรุนแรง อำมหิต และเหี้ยมโหด ยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่าตัว!!!
ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ผ่านมาจึงมีประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา เพราะไม่ยอมจำนนกับวิธีการชุมนุมที่เป็นอันธพาล คุกคามชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ละเมิดสิทธิประชาชน และ มีผู้ก่อการร้ายแฝงอยู่ในขบวนการของผู้ชุมนุม และต้องการให้ใช้หลักนิติธรรม บังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่กระทำความผิดอย่างถึงที่สุด
แต่มาถึงเวลานี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ซึ่งไม่กล้าบังคับใช้กฎหมาย ไม่กล้าโยกย้ายข้าราชการที่เป็นปัญหา ตัดสินใจยอมจำนนที่จะยุบสภาเหมือนกวาดฝุ่นซุกเอาไว้ใต้พรม เพื่อหลอกประชาชนว่าได้ใช้มาตรการทางการเมืองสลายการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์แล้ว แต่กลับทิ้งปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือความเหิมเกริมของอันธพาลทางการเมืองและผู้ก่อการร้าย
การยุบสภาในประมาณ 4 เดือนครึ่งนี้ รัฐบาลได้ประโยชน์และมีโอกาสได้รับประโยชน์ 3 สถาน โดยอ้างเรื่อง “โรดแมป” มาบังหน้า คือ
1. สามารถใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีได้เต็มปี และสามารถจัดสรรงบประมาณในปีหน้า
2. โยกย้ายข้าราชการได้ทั้งหมด โดยเฉพาะ ทหารและตำรวจ
3. สามารถใช้เวลานี้สมคบกับนักการเมืองทุกฝ่ายแก้ไขกติกา รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองกันเองทั้งสิ้น (รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบพรรค)
ส่วนฝ่ายคนเสื้อแดง ได้มีการเจรจารับเงื่อนไขยุบสภา 4 เดือนครึ่งนับจากนี้ โดยมีกระแส “ข่าวลือ” ว่ามีการเจรจากับฝ่ายนักโทษชายทักษิณ โดยฝ่ายรัฐบาลประกอบไปด้วย นายกรณ์ จาติกวณิช นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนตัดสินใจ ส่วนฝ่ายนักโทษชายทักษิณประกอบไปด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา และ น.พ.พรหมมินทร์ เลิศสุรีย์เดช การเจรจาครั้งนี้มีมาเป็นสัปดาห์แล้ว และเพิ่งจะสำเร็จในหลักการตั้งแต่วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2553 ดังนี้
1. ฝ่ายนักโทษชายทักษิณ ไม่สามารถต่อรองที่จะได้รับการนิรโทษกรรมทางอาญา แต่ขอโอกาสที่จะได้มีการอุทธรณ์คดีความ 3 ศาล (ไม่ต้องการให้มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาเพียงศาลเดียว) นอกจากนี้ยังเรียกร้องขอให้รวมถึงคดีที่ตัดสินไปแล้วด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การทำเรื่องแบบนี้ต้องมีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญแน่นอน
2. ขอให้มีการนิรโทษกรรมในการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งพ่วงไปกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ โดยมีแผนที่จะให้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง มาเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
3. หลังการเลือกตั้งพรรคไหนได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาเป็นอันดับหนึ่ง ให้พรรคนั้นจัดตั้งรัฐบาลและได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคที่ได้อันดับที่สองให้เข้ามาร่วมเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อ “ความปรองดอง”
4. ภายใต้เงื่อนไขนี้นักโทษชายทักษิณ ตกลงใจและให้สัญญาว่าจะไม่กลับมาลงเล่นการเมืองอีก
คำถามว่าข้อตกลงนี้มีจริงหรือไม่ คนที่ควรจะต้องตอบคำถามในครั้งนี้ ก็คือคนที่มีรายชื่อตาม “ข่าวลือ” ข้างต้น และถึงแม้จะปฏิเสธเพราะไม่ใช่เรื่องจริงหรือกลัวประชาชนจะจับได้ว่ามีการ “หักหลังประชาชน” ประชาชนก็ควรจะตรวจสอบว่า จะมีพฤติกรรมตาม “ข่าวลือ” นี้จริงหรือไม่?
ไม่ว่าจะเรียกว่า “ปรองดอง” หรือ “เกี๊ยเซี๊ยะ” หรือ “ฮั้ว” ก็ตอบได้คำเดียวว่าประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นอกจากตากแดด ตากลม ตากฝน ในการสนับสนุนฝ่ายตัวเองแล้ว ยังต้องมาเกิดการสูญเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากอีก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำกลุ่มคนเสื้อแดงจึงไม่เรียกร้องการนิรโทษกรรมใดๆอันเป็นผลมาจากการชุมนุม เพราะแท้ที่จริงแล้วนายอภิสิทธิ์ได้ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะ “ไม่เอาผิด” กับการชุมนุมเกิน 5 คน อันเป็นการฝ่าฝืนการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ส่วนคดีการก่อการร้าย และคดีล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เมื่อมีความเกี่ยวพันทางการเมือง ก็พอคาดเดาได้ว่าจะไม่มีวันคืบหน้า เพราะหลังการเลือกตั้งผู้ที่ได้รับชัยชนะก็คงมีการโยกย้าย กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการซุกคดีที่เกี่ยวพันกับฝ่ายการเมืองจนเงียบหายไปเหมือนคดี รุมฆ่านายสนธิ ลิ้มทองกุล
ยังไม่นับหลักประกันแห่งความปรองดอง ของ 2 พรรคการเมือง จะทำให้การฟาดฟันทางคดีความนั้น จะกลายเป็นเพียงแค่ “ปาหี่” ที่ทำให้ดูขึงขังหลอกประชาชนไปวันๆเท่านั้น
สรุปได้ว่า หลายปีที่ผ่านมาปัญหาของประเทศชาติ ยังคงวนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ คือนักการเมืองมองแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเองเพียงอย่างเดียว และมองประชาชนเป็นเหยื่อเอาไว้เหยียบขึ้นไปสู่อำนาจและรักษาอำนาจของตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น!!!
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000062009
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น