ครับ...ทุกอย่างกำลังเดินไปตามเส้นทาง "เป็น-ที่ต้องเป็น" นายกฯ ประกาศล้มเลิกแผน "ยุบสภา-เลือกตั้ง ๑๔ พ.ย." ไปแล้ว เพราะพวกกบฏ "รับปากแล้วขากทิ้ง" ไม่ยอมสลายการชุมนุม นายกฯ ดูจะ "เครื่องติด" และฝ่าย ศอฉ.ก็ "ติดเครื่อง" เตรียมเบาไปหาหนักรับแผนกัน แต่ผมว่า...โน่นแหละ ตีห้า สิบแปดนาที ของวันเสาร์ที่ ๑๕ พ.ค.ไปแล้วนั่นแหละ น่าจะเป็นเวลา breakfast ของคนราชประสงค์ด้วย "ต้มเลือดหมู" ร้อนๆ! พวกแกนนำกบฏคงรู้เหมือนกันว่าเวลาของ "ลมหายใจ" กระชั้นเข้ามาทุกที ตอนนี้เลยแตกกันเละ "อหิงสา" พวกหนึ่ง อย่างนายวีระ นายก่อแก้ว ก็อยากมอบตัว พวก "มหิงสา" คือกลุ่มซาดิสม์อย่างสุภรณ์-อริสมันต์-จตุพร-เหวง อีกพวกหนึ่ง พวกนี้มอบตัวแล้วกลัวเข้าคุก ก็เลยยึดชาวบ้านที่หลอกมาชุมนุมเป็นตัวประกันความปลอดภัยให้ตัวเองไปเรื่อยๆ
ฉะนั้น ช่วงนี้ "ดูเหตุการณ์" ไปซัก ๒-๓ วัน ไม่มีอะไรต้องคุยกัน แต่พอดีท่านอาจารย์ nongnapas tapasanant อีเมล์เรื่องที่ "คุณสุทธิชัย หยุ่น" สัมภาษณ์ "นายสตีเฟน ยัง" นักศึกษาฮาร์วาร์ด ลูกชายอดีต "เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย" ผู้เติบโตและเล่าเรียนต่ออยู่ในไทย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการปกครอง ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมจนถึงยุคคอมมิวนิสต์สู่เอเชียอาคเนย์ มาให้ผมอ่าน
ความ จริง บทสัมภาษณ์นี้ ตั้งแต่ ๘ ก.ย.๕๒ ในรายการชีพจรโลก ทางช่อง ๙ จำได้ว่าเมื่อออกอากาศไปมีเสียงวิพากษ์-วิจารณ์ในเชิงตอบรับกันมาก แต่เมื่อได้อ่านอีก ผมก็อดใจไม่ไหวที่จะขออนุญาตนำ "ของเก่ามาเล่าใหม่" เพราะของเก่านั้น "ค่าควรเมือง" จริงๆ ขอให้ท่านตั้งใจอ่านแล้วคิด-ใคร่ครวญตามไปด้วยนะครับ
นายสตีเฟนกล่าวว่า บิดาของเขาใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และใกล้ชิดกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ จึง ได้เห็นช่องว่างระหว่างคนชนชั้นสูงกับคนจนในชนบทอย่างชัดเจน จนมาถึงปัจจุบัน ปี ๒๕๕๒ ตนได้ยินกลุ่มคนเสื้อแดงพูดว่า ไทยมีช่องว่างระหว่างคนรวยในกรุงเทพฯ กับคนจนในชนบท ทำให้คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะทุกวันนี้ช่องว่างมีเพียงแค่นี้ เทียบกับที่ประเทศสหรัฐก็มีช่องว่างเช่นกัน
นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นเวลากว่า ๔๘ ปีมาแล้ว โดยมาอยู่ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่มีไฟฟ้า และน้ำประปาใช้ รวมทั้งถนนยังเป็นดินลูกรัง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ประเทศไทยมักเจอเรื่องราวแปลกประหลาดเสมอ ทำนองว่าประเทศนี้ยังไม่มีสิ่งนั้น-สิ่งนี้ ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยปัญญาชนบางคนที่ต้องการปฏิวัติอำนาจ
เขามองว่าเรื่องนี้ไร้สาระ และสิ่งเหล่านี้ทำให้เขามองเห็นความทะเยอทะยานของผู้ชายชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในเครือชินคอร์ปอเรชั่นฯ และสัมปทานโทรศัพท์ของรัฐบาลด้วยระบบผูกขาด
นายสตีเฟนย้ำว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำเงินได้เยอะและกลายเป็นคนรวย เพราะรัฐบาลได้มอบฐานะบุคคลอภิสิทธิ์ให้เขา พร้อมทั้งให้สิทธิพิเศษในการผูกขาดด้านต่างๆ จึงทำให้การปกครองของคนชั้นสูงหรือกลุ่มคนร่ำรวยมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น
"นี่ ไม่ใช่เรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่เริ่มจากความยากจนแล้วไต่เต้าขึ้นมารวย เขามีสายสัมพันธ์พิเศษ และผมเห็นเขาใช้สายสัมพันธ์พิเศษเหล่านั้น" นายสตีเฟนกล่าว
นายสตีเฟนกล่าวอีกว่า สำหรับเขาแล้วมุมมองความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแบบจักรพรรดิจีน นั่นคือ ในสมัย "ฉิน จื่อ หวาง" ได้มีการแบ่งชนชั้น เสมือนเบื้องบนเป็นสวรรค์ ถัดลงมาเป็นคนคนนึง ส่วนเบื้องล่างคือคนที่เหลือ แล้วเข้าควบคุมรัฐบาล ตำรวจ ผู้พิพากษา นักธุรกิจ โทรทัศน์ และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เขา ซึ่งไม่เคยมีผู้นำไทยคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พยายามทำเช่นนี้
โดย พ.ต.ท.ทักษิณชอบทำให้คนไทยตัวเล็กๆ แหงนมองว่าเขาสำคัญ เพราะพวกเขามีความรู้สึกของระบบอุปถัมภ์อยู่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้เข้าไปตัดลำดับขั้นต่างๆ เพื่อเข้าไปปกครองโดยตรง ทำให้ทุกคนที่ทำงานอยู่ต้องตกภายใต้ตัวผู้นำ ไม่ใช่ความร่วมมือแบบเก่าๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่าเงินของอดีตนายกรัฐมนตรีจะช่วยดูแลพวกเขาได้
แต่ถ้าถามว่า ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ต้องขอตอบว่า คำว่าประชาธิปไตยที่ปราศจากศีลธรรมที่ว่าย่ำแย่ที่สุดแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับความยุติธรรมที่เป็นสิ่งจำเป็นกว่านั้น
"ย้อนกลับไป ที่อริสโตเติล หากคุณเป็นประชาธิปไตย แต่คุณฉ้อโกงทำร้ายผู้อื่น เราเรียกว่าทรราช คุณไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม นั่นเป็นระบบที่เลวร้าย อริสโตเติลกล่าวไว้ว่า ทุกๆ ระบบไม่ว่าจะเป็นระบอบกษัตริย์ ขุนนาง หรือประชาธิปไตย ต้องมีกฎหมาย มีศีลธรรม และเป็นธรรม ที่จะควบคุมอำนาจในทางมิชอบ" นายสตีเฟนกล่าว
นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า สิ่งที่ประเทศไทยเดินผิดทาง คือการปกครองลักษณะเดียวกับประเทศอาร์เจนตินาที่อยู่ภายใต้การนำของ "ฮวน เปรอง" ที่ไปบอกหากเลือกเขาเป็นผู้นำ จะเอาเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ทั้งที่เมื่อปี ๑๙๓๐ ก่อนยุค ฮวน เปรอง อาร์เจนตินาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่เมื่อเจอผู้นำเผด็จการทำลายเศรษฐกิจ และสร้างพรรคเผด็จการ ๗๐ ปีต่อมาอาร์เจนตินากลับต้องเป็นประเทศที่เผชิญกับความยากจนและแตกแยก
หากประเทศไทยยังปล่อยไว้เช่นนี้ ก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับอาร์เจนตินา!
นาย สตีเฟนย้ำอีกว่า ระบบที่ดีอยู่ที่ใครจะสร้างความยุติธรรมในสังคมได้ หรือใครจะปกครองสังคมอย่างมีศีลธรรม ซึ่งต้องมีการตรวจสอบและควบคุมกันและกันได้ เหมือนเช่นรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ที่นับว่าดี แต่มีบางคนที่มีเงินแล้วเข้ามาทำตัวเหมือนหนูที่จะเอาเนยแข็งไปทั้งก้อน ทำให้คุณความดีของรัฐธรรมนูญสูญหายไป เกิดเหตุผู้คนไม่พอใจ ทำการประท้วง หรือปฏิเสธการประนีประนอม
โดยที่ผ่านมา ได้ยิน พ.ต.ท.ทักษิณพูดตลอดว่า เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ปี ๒๕๔๙ ที่ล้มล้างอำนาจเขา นับเป็นการข่มเหงเขามาตลอด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยพูดว่า ตนเองฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และทำลายกฎหมายอย่างไร ยังไม่นับกับสร้างความชอบธรรมและอะลุ้มอล่วยทางกฎหมาย คือ หากจะพูดให้ชัดเจน พ.ต.ท.ทักษิณเองที่เป็นฝ่ายทำให้กระบวนการล่มสลาย และการรัฐประหารเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการล่มสลายเท่านั้น
"ตอนนั้น ผมรู้สึกเศร้าใจ อะไรคือทางออกของไทย ถ้าเดินหน้าต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณอาจดำเนินเหตุการณ์ไปจบลงด้วยเผด็จการแบบจีน ซึ่งไม่ดีต่อประเทศไทยแน่ๆ แต่ถ้าเลือกรัฐประหารมันก็ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเทศไทยไม่ควรตกอยู่ในจุดนั้น ไม่ใช่เพราะกองทัพ ไม่ใช่เพราะคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่เพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่เป็นเพราะคนคนนึงกับทีมของเขาเอง" นายสตีเฟนกล่าว
สำหรับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ โทษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าอยู่เบื้องหลังความเดือดร้อนของประเทศ นายสตีเฟนกล่าวประเด็นนี้ว่า
พ.ต.ท. ทักษิณเป็นคนฉลาดในการพูด ดังนั้น เขารู้จักหัวใจคนไทยดี รู้ว่าควรจะพูดอะไรให้คนไทยคิดเหมือนเขา ซึ่งในตะวันตกเรียกว่าเป็นผู้ปลุกปั่น โดยเขาจะศึกษาตัวตนของคนฟังว่ามีอารมณ์อย่างไร แล้วก็พูดในสิ่งที่คนอยากได้ยิน ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกชอบหรือห่วงใย แต่เป็นเพราะต้องการอะไรบางอย่าง นั่นคือ เสียงโหวตและความภักดี
ท้าย สุด นายสตีเฟนกล่าวว่า ยังหวังว่าความแตกแยกทางการเมืองในประเทศไทยจะสามารถแก้ไขได้ ถ้าหากทุกฝ่ายนั่งลงแล้วคุยกันถึงวิธีแก้ปัญหาแล้วทำงานร่วมกัน โดยทุกคนควรมีจิตสำนึกในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จริยธรรม และความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทย พร้อมทั้งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือต้องฟังใคร รวมทั้งที่สำคัญกว่านั้น หากความทะเยอทะยานของ พ.ต.ท.ทักษิณถูกนำออกไปจากบริบท ปัญหานี้ก็น่าจะมีทางออกสักทาง
"ยารสหวานๆ แบบฉบับไทยๆ กินทุกๆ วันเป็นเดือนหรือ 3 เดือนแล้วคุณจะดีขึ้นเอง ดีกว่ายาที่กินวันเดียว แต่คนอาจไม่ชอบ ยานี้คืออะไร ผมว่ามันต้องมาจากผู้นำรัฐบาล ผู้นำพรรคการเมือง พวกเขาอาจต้องกลืนยาขม จะต้องไม่มีใครรับสินบน ใช้เวลา 3 ปี ตำรวจและทุกๆ คนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง นี่คือยาขมทำให้คนไทยได้เห็นว่านี่คือกฎเกณฑ์ใหม่" นายสตีเฟนกล่าว
ขอให้ความสุข ความเจริญ จงมีกับประเทศไทย-คนไทย และคนที่รัก-รู้จักประเทศไทย "ด้วยเข้าถึง" ทุกคน-ทุกท่าน เทอญ.
http://www.thaipost.net/news/130510/22134
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น