"We can never let the chaos and injustice make us so blind with anger that we become part of the problem.
Understanding , compassion , kindness and love are the only true revolutionary ideals.
When we compromise those we become what we despise and we lose our humanity."
... เป็นประโยคจากตอนหนึ่งในซีรี่ย์ Bones ที่ข้าพเจ้าเพิ่งดูจบไป ดูแล้วคิดถึงบ้านเมืองเราตอนนี้
ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝั่งไหน ก็ย่อมมีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวายในปัจจุบัน แต่ อย่าเผลอปล่อย ความโกรธแค้น ชักจูงเราให้กลายเป็น ส่วนหนึ่งที่สุมความขัดแย้งและความเกลียดชัง
==
==
Facebook หรือ twitter มีดีที่ ‘ความเร็ว’ แต่เราก็ไม่ทันรู้ตัวว่า ความเร็ว ทำให้เรากระจาย ความขัดแย้งไปสู่สาธารณะได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
เช่น สิ่งที่แค่คิดฉับพลัน อารมณ์โกรธ เกลียดที่ผุดขึ้นมาในชั่ววินาที แค่พิมพ์ลงไป สามารถนำไปสู่ จุดปะทุอารมณ์จนถึงขั้นตัดเพื่อ น ตัดความสัมพันธ์
... หากเห็นเพื่อน , คนรู้จัก ฯลฯ โพสต์ข้อความ สะใจ ดีใจ กับการสูญเสียหรือเสียหายของฝั่ง ตรงข้าม ในช่วงเวลานี้ ไม่ได้บ่งบอกว่าเขาเป็นคนเลวร้ายหรือไร้เมตตาเสมอไป
เพราะ สังคมปัจจุบัน ข่าวสารที่เรารับในปัจจุบัน เคลือบได้ด้วย 'ความรุนแรง ความโกรธ ความเกลียดชัง'
เราดูข่าวเห็นแต่ความรุนแรงทุก วัน มีแต่ความเครียดทุกวัน เราเริ่มชินชากับความรุนแรง เราเริ่มหวาดกลัว เราเริ่มโกรธแค้น มันเหมือนทุกอย่างอัดอั้นไว้ เมื่อมีข่าวมากระตุ้น
ไม่ว่าจะ ตัวเขา หรือ แม้แต่เราเองก็อาจเผลอปล่อยความรุนแรงที่อัดอั้นออกมา พิมพ์ลงสื่อสาธารณะ โดยไม่ทันคิดว่า มันจะบานปลาย
ดังนั้น การคุยกันเองกับกลุ่มเพื่อน จึงต่างจาก การคุยผ่าน facebook , twitter ในสถานการณ์ความขัดแย้งเช่นนี้
และ อย่าให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ในสังคมปัจจุบัน มีอิทธิพลจนมาทำลาย ความสัมพันธ์ดีๆที่เราเคยมีกับเพื่อนหรือคนใกล้ตัวมายาวนาน
==
==
‘ความเร็วของ Facebook , twitter และ สื่ออินเตอร์เน็ต‘ อาจทำให้ คนที่อยากเอาชนะ ใช้มันเป็นเครื่องมือ กระจายความเกลียดชัง ด้วยการ ปล่อยข่าวผิดๆ , บิดเบือนเนื้อหา หรือ ด่วนสรุปตัดสินข่าวที่ออกมา เพียงเพื่อให้ คนอื่นที่ได้อ่าน เห็นด้วยกับตัวเอง หรือ ให้เกลียดอีกฝั่งเหมือนที่ตัวเองเกลียด
และ ความเร็วในการเสพข่าวนี้เอง ที่ทำให้เราซึ่งกำลังมีอารมณ์ ร่วมกับเหตุการณ์ รีบเชื่อและมีอารมณ์ร่วมตามโดยไม่รู้ตัว
และ เมื่อเราส่งต่อ ข้อความ ส่งต่อความสะใจ ส่งต่อความบิดเบือน โดยไม่ทันตรวจสอบ เราก็กำลังกลายเป็น ส่วนหนึ่งของการสุมความเกลียดชังและปัญหาของสังคม
==
==
คำว่า 'เข้าใจ , ความรัก , กรุณา , เมตตา' อาจดูอุดมคติ หรือ บ้างก็ว่าดัดจริต
แต่มันก็พิสูจน์ตัวเองมาเป็นร้อย เป็นพันปี แล้วว่า
การเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้สังคม เป็นสุขได้ จำเป็น ต้องพึ่ง คำ 4 คำนี้ ควบคู่ไปกับ การยึดถือ หลักการ และ ความถูกต้อง
เพราะ การปฎิวัติสังคมที่ขาดคำสี่คำ นี้ ไม่ว่าใครจะชนะ บทสรุปสุดท้าย ก็ ไม่มีใครที่จะสามารถ ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข กับ สิ่งที่แลกมา
===
===
สิ่งที่ เรา ซึ่งอยู่หน้าคอมในตอนนี้ทำได้ดีที่สุดคือ ตั้งสติในการเสพสื่อ และ การส่งต่อ
โกรธได้ เกลียดได้ หงุดหงิดได้ ฯลฯ แต่ถ้ารู้ตัวว่าเริ่มอินมากไป ถอยออกมาบ้าง หันมาทำกิจกรรมอื่นบ้าง และ อย่ากระจาย ความโกรธแค้นหรือเกลียดชังออกไปวงกว้าง
สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ คงยากที่จะหา 'คนผิด' เพียงคนเดียวแต่ ตัวการใหญ่แน่ๆที่ทำให้ทุกอย่าง บานปลายมาถึงขนาดนี้คือ 'ความเกลียดชังฝั่งตรงข้าม' ที่เราปล่อยให้มันสะสมในสังคม สะสมในคนที่คิดต่าง จนมันระเบิดเป็นความรุนแรง
แต่
ไม่ว่า ไฟ จะลุกลามแค่ไหน ถ้าเราไม่จุดมันต่อ ซักวันมันก็จะมอดลง ถึง แม้จะยังมีคนอื่นจุดอยู่ แต่การที่เราไม่จุดด้วย อย่างน้อยก็ทำให้ ไฟ ไม่กระจายมากกว่าเดิม
และ
ต่อให้สังคมขัดแย้งลุกลามแค่ไหน ประวัติศาสตร์ของทุกชาติ ทุกยุคทุกสมัย บอกแล้วว่า ตราบใดที่ยังรักษาคำ 4 คำข้างต้นไว้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะเลวร้ายยังไง ความขัดแย้งถึงยังคงอยู่ต่อไป แต่ สังคมยังมีโอกาสเยียวยา และ ฟื้นฟู
==
==
==
(เพิ่มเติม)
ในกระทู้ที่ตั้งในพันทิป มีคนตั้งคำถาม เลยตอบไว้ตามนี้
... ขอเข้ามาตอบรวมๆว่า ข้าพเจ้า ไม่ได้บอกว่า เหตุการณ์ปัจจุบัน ไม่มี ‘คนผิด’ และ ‘คนทำผิด’ ไม่ว่าฝั่งไหน ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและลงโทษ
ไม่ได้บอกว่า เราไม่ควรโกรธ เกลียด หรือ หงุดหงิด กับ คนที่เรามองว่าเป็นต้นเหตุ เพราะ เราเป็นปุถุชน การมีอารมณ์ร่วม ไม่ว่าจะเศร้า , หงุดหงิด , โกรธ ฯลฯ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่ได้บอกว่า เราไม่ควรอ่านข่าว ไม่ควรรายงานข่าว หรือ ไม่ควรนำเสนอข้อเท็จจริง ตรงกันข้าม ปัจจุบัน เราควรเสพสื่อให้ครบทุกฝั่งเพื่อให้รู้เท่าทัน ความจริง มากที่สุด สนับสนุนให้นำเสนอข้อมูลที่เป็น ข้อเท็จจริง
แค่อยากจะบอกว่า
‘ความแค้นกับความเกลียด’ ก็เหมือนกับ ไฟ
ถ้าเรารู้ทัน รู้ตัว มันก็แค่ร้อน มันก็แค่หงุดหงิด ถ้ามีสติ เราก็ดับมันได้
แต่
ทุกวันนี้ เราทุกคน เสมือน สื่อมวลชนอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มี facebook หรือ twitter เป็นสถานีโทรทัศน์ของตัวเอง การพิมพ์อะไรโดยไม่ทันคิด , การส่งต่อสิ่งที่ยังไม่รู้แน่ชัด หรือ โหมสร้างความเกลียดชัง ในสถานการณ์ตอนนี้
มันก็เหมือน ราดน้ำมัน หรือ ขว้างมันออกไปกลางวงในสังคมที่คนรอบข้างต่างก็ร้อนอยู่เหมือนกัน
เวลาเราด่าใคร เราประณามใคร บางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่า เรากำลังเผลอเหมารวม เราไม่ได้ด่าแค่ 'คนจุดไฟ' แต่เรากำลังด่า 'คนที่คิดไม่เหมือนเรา' ซึ่ง ตอนนั้นแหละ ที่เรากำลังกลายเป็น 'คนจุดไฟในสังคมอินเตอร์เน็ต' และ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มี 'คนจุดไฟในสังคมจริง' มากยิ่งขึ้น
และ ถ้ายังเป็นเช่นนั้นต่อไป
ต่อให้ จับคนผิดได้อีกกี่ร้อยคน สังคมก็ไม่มีวันสงบสุขได้เลย
สิทธิในการ ดับไฟ หรือ จุดไฟ อยู่ในมือเราทุกคน
ที่มา : http://www.facebook.com/note.php?note_id=408759066464&id=285055493317
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น