วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

“ปานเทพ”เผย “มาร์ค”รับ“แม้ว”ยื่น 4 ข้อเสนอแต่ไม่ตกลง- “สนธิ”ติงนายกฯ ติดกับดักบุญคุณ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 7 พฤษภาคม 2553

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์นายเติมศักดิ์ จารุปราน ในรายการ “คนในข่าว” ทางเอเอสทีวี เมื่อคืนวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ถึงเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่รัฐสภาว่า นายกฯ เป็นฝ่ายเชิญมาโดยระบุชื่อตนกับนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ โดยมีนายศิริโชค โสภา ร่วมพูดคุยด้วย รวมเป็น 4 คน ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล ไม่เป็นผลในการเปลี่ยนแปลงสาระหลักสำคัญของแถลงการณ์พันธมิตรฯ ที่เราเป็นห่วงต่อการประกาศวันยุบสภาล่วงหน้า ซึ่งนายกฯ บอกว่าต้องประกาศเป็นธงไว้เพื่อให้มีการสลายทุกฝ่ายไปก่อน หลังจากเกิดความสงบแล้วก็จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามแนวทาง 5 ข้อที่วางไว้ แต่พันธมิตรฯ เป็นห่วงว่า จะทำไม่ได้ เพราะเวลาสั้นไป และเป็นห่วงว่าข้าราชการจะเข้าเกียร์ว่างเพื่อรอรัฐบาลใหม่ คดีก่อการร้าย คดีล้มสถาบัน จะไม่คืบหน้า ซึ่งจะซ้ำรอยกับรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ์ได้บอกว่าการสลายการชุมนุมจะนำไปสู่การสูญเสียและเกิดการลุกฮือของคนเสื้อแดงในหลายจังหวัด แต่พันธมิตรฯ เห็นว่า การสลายการชุมนุมไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดการสูญเสีย เพราะมีทางออกหลายวิธีที่จะบังคับใช้กฎหมายให้จริงจัง

สำหรับปัญหาที่ข้าราชการตำรวจจำนวมากไม่ยอมทำงาน นายกฯ มองว่า ตำรวจมีปัญหาเรื่อง กตช. กตร. ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะติดขัดข้อกฎหมายครอบงำอยู่ ส่วนทหารก็ติดหลายด้าน เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขณะที่พันธมิตรฯ มองว่า ถ้าประกาศยุบสภาในช่วงเวลาสั้นๆ ข้าราชการทุกฝ่ายจะยิ่งเกียร์ว่าง แต่นายกฯ มองว่า ตอนนี้ก็เกียร์ว่างอยู่แล้ว แต่เรามองว่า มันจะว่างหนักขึ้นถ้าประกาศยุบสภา และเป็นปัญหาที่หนักขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ นายกญ ยังคิดว่า คดีก่อการร้าย คดีล้มสถาบัน จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ แต่พันธมิตรฯ ยังเป็นห่วง เราเห็นว่า ปัญหาความไม่สงบจะลุกลามจนเป็นอันตรายต่อสถาบัน ซึ่งนายกฯ ก็บอกว่าถ้าไม่สงบ หรือสถานการณ์ไม่ดี ก็จะไม่ยุบสภา

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ประเด็นถัดมาเราเป็นห่วงเรื่องสื่อ ซึ่งนายกฯ บอกว่าจะมีองค์กรมาดูเรื่องสื่อเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะกระทบกับพีทีวีของคนเสื้อแดง และเอเอสทีวีด้วย โดยนายกฯ มีแนวคิดจะปรับโทนเอ็นบีทีให้ลดโทนลง เช่น รายการของ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ดร.เสรี วงศ์มณฑา ซึ่งให้ความจริงแประชาชน เราจึงเป็นห่วงขึ้นไปอีกว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ นอกจากนี้ นายกฯ ยังถามว่าเอเอสทีวีจะลดโทนลงได้ฟรือไม่ ซึ่งเราคิดว่าวิธีของนายกฯ แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะถ้าคนเสื้อแดงรุกรณงค์เต็มที่ผ่านทางสื่อของเขา ซึ่งก็เขาเกิดมาจากรายการความจริงวันนี้ ที่ปลุกระดมทุกวันตลอด 1 ปีที่ผ่านมา จนคนเสื้อแดงเติบโตมาทุกวันนี้

“เหมือนท่านนายกฯ จะทำตัวเป็นคนกลางในเรื่องของสื่อ อยากให้ทุกฝ่ายลดโทนลง เหมือนปัญหามันมีอยู่ ตแต่พยายามบอกว่าไม่มีปัญหา ขณะที่สังคมกำลังต้องการความจริงในปัญหาทั้งหมด ซึ่งสื่อจะต้องชี้แจงความจริง แม้จะมีความขัดแย้งบ้าง แต่เพื่อให้มันมีความจริงออกมา”นายปานเทพ กล่าว

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า อีกเรื่องที่มีความสำคัญ ซึ่งเราทราบจากแหล่งข่าวว่ามีการเจรากันระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชนิวัตร ซึ่งนายกฯ บอกว่าตัวท่านไม่ได้เป็นคนเจรจา แต่มีบุคคล 3 คนเจราจริง ตามที่เป็นข่าวคือนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นายกรณ์ จาติกวณิช และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บรพัฒน์ เป็นผู้เจรจาจริง แต่ไม่ได้เจรจาเป็นคณะ เพียงแต่แบ่งกันเจรจา โดยนายกอร์ปศักดิ์ เป็นคนได้รับแต่งตั้งเจรจาเป็นทางการ นายกรณ์ไปเก็บข้อมูลจากกลุ่มบ้านเลขที่ 111 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เจรจาคนเสื้อแดงในที่ชุมนุม เรื่องการอำนวยความสะดวก จึงไม่ใช่คณะเจรจา ตามการชี้แจงของนายก

นายปานเทพ กล่าวอีกว่น ส่วนฝั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ตนถามว่า มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ใช่หรือไม่ นายกฯ บอกว่า ไม่มี นพ.พรหมินทร์

นอกจากนี้ นายปานเทพ กล่าวว่า ตนได้ถาม ถึงข้อตกลง 4 เรื่องว่ามีจริงหรือไม่ คือ 1.พ.ต.ท.ทักษิณขอสู้คดีทุจริจถึง 3 ศาล ไม่ใช่ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพียงศาลเดียว 2.นิรโทษกรรมให้กับอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองทั้งกลุ่ม 111 และกลุ่ม 109 ถึงกับมีข่าวว่าหลังจากมีการนิรดทษจะให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเป็นนายกฯ 3.มีการเจราว่าพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.อันดับที่ 1 และ 2 จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เช่น พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ และ 4.พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่กลับมาเล่นการเมือง ซึ่งนายกฯ ตอบว่า มีการเสนอทั้ง 4 ข้อจริง แต่ตนไม่รับ และความจริงมีการเสนอจากฝ่ายทักษิณมากกว่านี้อีก และมีหลายสูตร เช่น จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยให้นายอภิสิทธิ์ลาออก และหาคนกลางจากพรรคต่างๆ มาเป็นนายกฯ แทนนายกอภิสิทธิ์ หรือ การงดเว้นรัฐธรรมนูญบางมาตราม เพื่อหานายกฯ คนหลางที่เป็นคนนอก(ไม่ได้เป้น ส.ส.) เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือคนอื่นๆ
รวมทั้งมีความพยายามที่จะให้เกิดการพลิกขั้วเปลี่ยนข้างได้

นายปานเทพกล่าวว่า ตนได้ถามนายกฯ ว่า เมื่อมีข้อเสนอแล้ว ข้อตกลงเป็นอย่างไรบ้าง นายกฯ บอกว่ามีข้อเสนอจริง แต่ตนไม่ตอบรับสักข้อ โดยเฉพาะถ้ายังเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ จะไม่รับข้อเสนอนี้ อย่างไรก็ตาม การที่มีข้อเสนอนี้ แสดงว่ามีความเกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณจริง ถึงกับมีข้อเสนอว่า ให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามาในประเทศด้วยซ้ำ

กรณีแถลงการณ์โรดแมปของนายกฯ ข้อ 5 ที่จะนิรโทษกรรมให้นักการเมืองนั้น จะมีการนิรโทษให้กับกลุ่ม 111 หรือไม่ นายกฯ บอกว่า เรื่องนิรโทษกรรมทางการเมืองมีการพูดกันมานาน มีหลายฝ่ายรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลต้องการ ก็ต้องหาทางเอามาวางบนโต๊ะเพื่อพิจารณาร่วมกัน แต่ไม่คิดที่จะให้นักการเมืองมารุมแก้ไขให้ตัวเอง ซึ่งเรื่องการนิรโทษมันพ่วงไปถึงการยุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วย นายกฯ ก็ตอบว่า ตราบใดที่ตนเป็นนายกฯ จะไม่แก้ไขมาตรา 237 เพื่ออปลดล็อกเป็นอันขาด และจะไม่แก้ประเด็นที่เป็นผลกระโยชน์ของพรรคประชาธิปัตย์เลย

นายปานเทพ กล่าวว่า คำพูดของนายกฯ อาจตีความได้ว่า ถ้าไม่ใช่นายอภิสิทธิ์แล้วจะทำหรือไม่ เราคงไม่แค่ฟังจากนายกฯ แต่ต้องดูพฤติกรรมว่า จะนิรโทษกรรมทางการเมืองจริงหรือเปล่า ซึ่งมันจะตอกย้ำว่าการเจรจาเกิดขึ้นจริง

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ฝากข้อความ 5 ข้อให้ตนนำไปบอกนายกฯ ประกอบด้วย 1.จะให้หลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างไร เพราะไม่ได้มีแค่กลุ่มก่อการร้าย กลุ่มเสธ.แดง หรือกลุ่มติดอาวุธ แต่ยังมีอันธพาลที่ตั้งด่านตามที่ต่างๆ เมื่อสลายไปเราจะไปตามหาตัวได้หรือไม่ หรือจะเหิมเกริมขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ 2.การที่ตำรวจไม่ทำหน้าที่เป็นเพราะนายกฯ โอนอำนาจให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เกรงใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และนายเนวิน ชิดชอบ จึงไม่มีใครทำงาน มีแต่เกรงใจทางการเมือง จึงปล่อยปัญหาหมักหมมและเกียร์ว่าง

3.การปฏิรูปทางการเมืองต้องใช้เวลาเป็นปี โดยเฉพาะการทุจิตเลือกตั้ง การคอร์รัปชั่น แทนที่จะกำหนดเวลายุบสภา ทำไมไม่กำหนดเป้าหมายว่า จะทำอะไรให้สำเร็จบ้าง เมื่อเสร็จแล้วค่อยกำหนดวันยุบสภ แต่เมื่อเอาเวลายุบสภามาล็อกไว้ ทำให้เป็นห่วงว่าเมื่อปล่อยไป จะมีการทุจริเลือกตั้ง ซื้อเสียงครั้งใหญ่ แล้วจะกลับมาแก้ไม่ได้ 4.การจัดการกับสื่อเสื้อแดง รัฐบาลเพิ่งมาทำเมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากปล่อยให้ปลุกระดมมาเป็นปี จนยากแก่การเยียวยาแล้ว และช้าเกินไป และ 5.นอกจากตำรวจทั้งระบบจะหยุดทำงานแล้ว หลังจากนี้ไป ข้าราชการทั้งหมดจะเกียร์ว่าง จะแก้ปัญหาหรือจะปฏิรูปประเทศไม่ได้
ด้านนายพิภพกล่าวว่า วันนี้ไม่ใช่การเจรจาแต่นายกฯ ขอพบเพื่ออธิบายการทำงานของนายกฯ เป็นการแลกเปลี่ยนจุดยืนของแต่ละฝ่าย เราก็อธิบายคำแถลง ของเรา ที่นายกฯ บอกว่าไม่มีการเจรจากับฝ่ายทักษิณในรูปคณะกรรมการ นายกบอกว่าใครอยากไปคุยกับใครก็ไปคุย ไปรับรู้ว่าเขาคิดอะไร แล้วนายกฯ จะคิดเองว่าจะมีข้อเสนอต่อเรื่องเหล่านี้อย่างไร เราพยายามซักว่า มีการกำหนดเจนเป็นเงื่อนไขที่นายกฯ ต้องตกลงตามนั้นและออกมา 5 ข้อหรือไม่ นายกปฏิเสธว่าไม่มี มีแต่รับรู้ว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร

นายพิภพกล่าวอีกว่า การพุดคุยกับนายกฯ วันนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายรับรู้ข้อมูลของแต่ละฝ่าย เราเป็นภาคประชาชน มีหน้าที่ต้องเสนอว่ารัฐบาลควรทำอะไร เมื่อเรารู้ขีดจำกัดของรัฐบาล เราก็ต้องเสนอให้รัฐบาลฝ่าขีดจำกัดนั้นไปให้ได้ ซึ่งนายกฯ บอกว่าจะไม่ยอมแพ้ จะสู้กับอุปสรรค แต่เราก็ไปแลกเปลี่ยนว่า ที่นายกฯ เสนอั้น มันจะฝ่าอุปสรรคไปได้หรือไม่ เรามีการแลเปลี่ยนกัน เราก็บอกว่าที่นายกฯ จะทำนั้นไม่ประสบความสำเร็จ เราได้เสนอหลายเรื่อง เช่น ให้นายกฯ เอาปัญหาของคนจนขึ้นมาแก้โดยด่วน และจริงใจในการแก้ไขปัญหา จะได้ใจคนจน แม้จะมีข้อจำกัดในการสั่งข้าราชการ แต่ถ้าทำงานกับมวลชนได้ ข้าราชขการจะฝืนมวลชนไม่ได้

นายปานเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกฯ บอกว่า พันธมิตรฯ ใช้คำแรงที่เสนอให้ลาออก แต่เรายืนยันเป็นมติที่ประชุม การให้ลาออกไม่ใช่ไล่ แต่เราเสนอให้นายกทำงานในหน้าที่ ไม่ใช่เอากรอบเวลาไปยกให้เขา

นอกจากนี้ นายปานเทพกล่าวว่า เพื่อสยบข่าวลือ ตนได้ถามนายกฯ ว่ามีอะไรเป็นสัญญาณพิเศษหรือไม่ นายกฯ ยืนยันว่า ไม่มี เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องสงสัย เพราะอยู่ที่การตัดสินใจของนายกฯ เท่านั้น ไม่ต้องเอาไปลือต่อ

นายปานเทพเปิดเผยอีกว่า หลังจากตนเข้าพบนายกฯ แล้วนายสนธิได้โทรศัพท์มาหา และบอกว่านายกฯ มีปัญหาเรื่องวิธีคิดในการออกจากปัญหา ว่าจะแก้อย่างไร และวิธีคิดที่ต้องมีความเสี่ยงบ้าง นายกฯ มองเห็นปัญหาเหมือนเรา แต่กระบวนการคิดที่จะออกจากปัญหาไม่เหมือนกัน นายกฯ เชื่อเรื่องความสงบชั่วคราวว่าจะสลายได้ในระยะยาว แต่เราเห็นว่า จะมีแค่ความสงบชั่วคราว แต่เมื่อนายกฯ ไปแล้ว ปัญหามันจะลุกลามมากขึ้น นายกฯ เอาตัวรอดจากมุมอับชั่วคราวได้ แต่สถานการณ์มันจะลุกลามใหญ่โตมากกว่านั้น

นอกจากนี้ นายสนธิยังบอกว่า นายกณ ติดเรื่องบุญคุณมากเกินไป ติดบุญคุณกับ พล.อ.ประวิตร นายเนวิน มากเกินไป การบังคับใช้กฎหมายผ่านตำรวจ ทหารจึงพิกลพิการอยู่ หรือไม่ก็ห่วงสถานการณ์เรื่องการพลิกขั้วมากเกินไป นายกฯ ต้องมองเหนือกว่านั้น จะพลิกก็ต้องพลิก แต่ถ้าทำถูกใจประชาชน ประชาชนจะหนุนหลังเอง แต่ถ้าโครงสร้างปัญหามันมีอยู่ ทั้งการทุจริต การคุกคามด้วยการก่อการร้าย การใช้อาวุธ ปัญหาประเทศไทยจะลุกลามกว่านี้

ด้านนายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวว่า วิธีการของนายอภสิทธิ์ น่าจะเป็นการเดิน 2 ขา คือการเดินทางการเมืองด้วยการเสนอแผนปรองดอง 5 ข้อ ส่วนอีกขาหนึ่ง คือด้านความมั่นคงก็ต้องเดินคู่กันไปโดยไม่ย่อหย่อน เพราะการชุมนุมก้าวข้ามไปถึงการกบฏและก่อการร้ายไปแล้ว

นพ.พลเดช กล่าวอีกว่า ความห่วงใยที่มีอยู่ก็คือว่า ถ้าการชุมนุมยุติโดยการรอมชอมกันแบบไร้หลักการ ปัญหาตามมามากมาย เทียบกับเมษายนปีที่แล้ว การก่อเหตุเผาบ้านเผาเมืองชัดเจน เขาจึงยยอมสลายการชุมนุม แต่หลังจากนั้นเขากลับไปปลุกระดมโดยใช้สื่อพีทีวี การอบรมขยายผลว่าเป็นชัยชนะ แม้คนทั่วไปจะมองวว่าผแพ้ มาคราวนี้ ยิ่งเห็นชัดเจนว่า เขาชนะทั้งในทางการเมืองและทางทหาร เขาสามารถกลับไปปลุกระดมสะสมกำลังแล้วกลบับมาก่อการใหม่ได้มากกว่าเดิมอีก เพราะเขากุมมวลชน จัดตั้งทางความคิด ทางการเมือง และกองกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นงานที่สาหัสสำหรับฝ่ายรัฐบาลที่จะเข้าไปแก้ปัญหา

นพ.พลเดชยังกล่าวว่า ระยะเวลา 4 เดือนสำหรับการปฏิรูปการเมืองนั้นสั้นไป ก่อนเดือนเมษายนที่ยังไม่กลายสภาพเป็นกบกฏก็ยังพอได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้านายกฯ จะขับเคลื่อนการปฏิรูปสังคมต้องมีแรงหนุนที่ดี อาจจะให้ข่ายงานองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานในชุมนุชนมาช่วย โดยแบ่งเป็นอย่างน้อย 1,000 พื้นที่ทั่วประเทศ ที่จะสร้างวาระประชาชนในการปฏิรูปสังคม และเตรียมการเลือกตั้ง โดยเอาประชาชนทุกฝ่ายในระดับรากหญ้ามาคุยกัน เป็นการเจรจาปรองดองในภาคปฏิบัติระหว่างประชาชนกับประชาชน ซึ่งจะใช้เวลา 1 ปี โดยแบ่งเป็นพื้นที่ประมาณ 1,000 พื้นที่

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000062785

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น