วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทฤษฎีหน้าต่างแตก (Broken Window theory)

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ กรณีของนครนิวยอร์ก ตอนที่ รูดอล์ฟ จูเลียนี่ นายกเทศมนตรีคนใหม่ และ บิล แบรทตัน กรรมาธิการตำรวจที่เขาแต่งตั้งกับมือ ได้ปฏิญาณตนว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาอาชญากรรม แบรทตันได้นำสิ่งแปลกใหม่เข้ามาสู่องค์กรตำรวจ เขาผลักดันกรมตำรวจนิวยอร์กจนกลายเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโสคนหนึ่งเรียกในภายหลังว่า "ยุคเอเธนส์โบราณ" ซึ่งให้ความสำคัญกับแนวความคิดใหม่ๆ มากกว่าแนวปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับมาเนิ่นนาน แทนที่จะมัวแต่เอาใจผู้ใต้บังคับบัญชา แบรทตันกลับเรียกร้องความรับผิดชอบจากพวกเขาแทน แทนที่จะยึดติดแต่กับความชำนาญและประสบการณ์ของตำรวจ เขากลับนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยงาน ตัวอย่างเช่น คอมพ์สแตท ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยวิเคราะห์และกำหนดพื้นที่ที่มีแนวโน้มที่จะเกิดอาชญากรรม

แนวคิดใหม่ที่น่าสนใจที่สุดที่แบรทตันนำมาใช้มีรากฐานมาจาก ทฤษฎีหน้าต่างแตก (Broken Window theory) ซี่งนำเสนอเป็นครั้งแรกโดยสองผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรม เจมส์ คิว. วิลสัน และจอร์ช เคลลิ่ง ทฤษฎีดังกล่าวระบุว่า ปัญหาเพียงเล็กน้อย ถ้าไม่ได้ตรวจสอบ นานวันเข้าก็อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ กล่าวคือ ถ้าใครสักคนทำหน้าต่างบานหนึ่งแตก และมองเห็นว่าหน้าต่างบานนั้นไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว นั่นย่อมเป็นการส่งสัญญาณบอกเขาคนนั้นว่า การทำหน้าต่างที่เหลือให้แตกตามไปด้วยนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ และบางทีเขาอาจเผาตึกทั้งหลังตามไปด้วยก็ได้

ดังนั้น ด้วยสภาพที่มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นอย่างมากมาย พลพรรคตำรวจของบิล แบรทตัน จึงเริ่มใช้มาตรการทางตำรวจกับเรื่องที่ไม่เคยกวดขันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดข้ามรั้วเหล็กที่กั้นบริเวณทางเข้ารถไฟใต้ดิน การแบมือขอเงินแบบไม่สุภาพ การยืนปัสสาวะริมถนน การนำไม้ถูกระจกอันแสนโสโครกมาเช็ดกระจกรถยนต์ถ้าคนขับไม่ยอม "บริจาคเงิน" ในจำนวนที่มากพอ

ชาวนิวยอร์กส่วนใหญ่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะแนวความคิดที่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากแบรทตันและจูเลียนี่ที่ว่า การขัดขวางการก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็เปรียบได้กับการปิดกั้นท่อน้ำเลี้ยงของเหล่าอาชญากร คนที่กระโดดข้ามแผลเหล็กกั้นทางเดินในวันนี้อาจจะเป็นฆาตกรที่เพิ่งก่อคดีมาเมื่อวานนี้ ส่วนคนจรจัดที่ปัสสาวะบนทางเท้าอาจจะกำลังไปปล้นบ้านใครสักคนก็เป็นได้

ที่มา หนังสือ Freakonomics หน้าที่ 172 - 173 แต่งโดย Steven D. Levitt & Stephen J. Dubner แปลโดย พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ

1 ความคิดเห็น:

Shop In Bottle - Game Master กล่าวว่า...

อ่านแล้ว ผมคิดว่าเข้ากับสถานการณ์ของเราบางอย่าง กล่าวคือ "ตำรวจปล่อยให้พวกเสื้อแดงรู้สึกว่า เขาทำผิดได้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยกฎหมายทำอะไรเขาไม่ได้" ถ้าลองไล่ง่ายๆ คือ

1. เริ่มแรกก็ คือ ปิดถนน อ้างว่าไม่ผิดเพราะทำตามประชาธิปไตย และ อ้างว่าเขาเสียภาษีสร้างถนน (แล้วคนอื่นที่เสียภาษีทำไมไม่ให้เขาใช้ถนนครับ ??? แต่ยอมรับว่าตรงนี้ยังไม่ผิดกฎหมาย)
2. พอต่อมาก็เริ่มมีการประกาศ ปลุกระดม กลางเมือง (ไม่สนใจคนอื่นที่ไม่ได้อยากจะฟัง ถูกล่วงละเมิดสิทธิ์ แม้ไม่แน่ใจแต่คิดว่าส่วนนี้กฎหมายยังพอรับได้ แต่อาจกำหนดให้ประกาศได้ในช่วงเวลาที่กำหนด ไม่ใช่ทั้งวันทั้งคืน)
3. ตรวจค้นคนทั่วไปอ้างว่าตรวจค้นอาวุธ ไม่ทราบว่าองค์กรสิทธิมนุษยชนไม่ประนามพวกเสื้อแดงให้หนักๆ เลยหรือ (ผิดกฏหมายแน่นอน คุณมีสิทธิ์อะไรตรวจค้นคนอื่น)
4. ตั้งยางสิ่งกีดขวางการจราจร (สังเกตุว่า เสื้อแดงเริ่มสะสมยาง และสามารถวางบนพื้นถนนได้อิสระแล้ว)
5. เผายางบนพื้นถนน (หลังจากวางยางได้อิสระ ก็แค่ราดน้ำมัน จุดไฟ)
6. เผายางใกล้อาคารสถานที่ (ก็เผาบนพื้นถนนไม่ผิด เผาบนฟุตบาทคงไม่ผิดสินะ แม้เผาใกล้อาคารอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร)
7. เผาอาคารเลยทีนี้ (เพราะทำิอะไรก็ไม่ผิด เลยทำหนักขึ้นเรื่อยๆ)
8. เผาหลายๆ อาคาร เผาบ้าน เผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัด (ก็ไม่มีใครหยุดเขาได้นี่ เผาแห่งแรก ก็เผาแห่งที่สองได้ เผาไปเรื่อยๆ ล่อซะ 20 กว่าแห่ง)

ผมขอถามผู้รู้ ว่า
1. เมืองไทยผุ้ชุมนุมใช้ระเบิดเพลิงไม่ผิดหรือครับ ??? เขากรอกน้ำมันใส่ขวดไว้ปาใส่คนอื่นไม่ผิดกฎหมายหรือ
2. เผายางไม่ผิดหรือเมืองไทย ใครใคร่เผาก็ให้เผาหรือครับ
3. ผมไม่แน่ใจหรอกนะ แต่ท่าทางกลยุทธตัดน้ำตัดไฟจะทำความลำบากให้ชาวบ้านในพื้นที่มากกว่าผู้ ชุมนุมนะครับ

แสดงความคิดเห็น