วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2553 นายโคทม อารียา ได้ปรากฏเป็นข่าวให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน โดยสรุปใจความเนื้อหาที่น่าสนใจในกิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไปคือ
จะ จัดการเดินเพื่อเอาสติเอาขวัญกลับมาที่สี่แยกราชประสงค์ สี่แยกคอกวัว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทุกฝ่าย และเสนอให้นายกฯ เชิญสื่อมากินข้าวเย็นเพื่อฟังความเห็นแล้วระดมความคิดว่าจะทำอย่างไรกับ สื่อที่ขาดความรับผิดชอบ เสนอข่าวในเชิงยุยงเกลียดชังหรือพูดทำนองให้ใช้ความรุนแรง อีกทั้งยังระบุอีกว่ากรณีที่ว่าทักษิณอยู่เบื้องหลังกองกำลังนั้นเป็นการ กล่าวหาที่รุนแรงมาก อาจเข้าทำนอง “ปรักปรำ” เพราะไม่มีหลักฐาน
ขอบันทึกเอาไว้ให้ทราบว่า นายโคทม อารียา คนเดียวกันนี้เป็นผู้เสนอ “เขตอภัยทาน” ในวัดปทุมวนาราม โดยขาดความรอบคอบ ไร้เดียงสา และไร้ความรับผิดชอบ จนปรากฏในเวลาต่อมาว่า “เขตอภัยทาน”ที่พยายามปกป้องนั้น ท้ายที่สุดก็เป็น “เขตซ่องโจร” ที่ใช้วัดและศาสนาเป็นเกราะกำบัง ซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธสงคราม กองกำลัง และทรัพย์สินที่ลักขโมย ปล้นสะดมมาเป็นจำนวนมาก
และประชาชนควรได้รู้ว่า นายโคทม อารียา คนนี้ก็คือคนเดียวกันที่เคยมาชวนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาคุย กันที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ในวันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมที่ท้องสนามหลวงปี 2549 โดยเสนอให้คุยสานเสวนากันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แบบไม่เปิดเผย ซึ่งแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันนั้นพร้อมใจปฏิเสธอย่างเป็นเอกฉันท์
ข้อเสนอ “เขตอภัยทาน” ที่ไร้ความรับผิดชอบนี้ เมื่อถูกเปิดโปงมาในท้ายที่สุด แทนที่จะสำนึกแสดงความเสียใจ หรือขอโทษต่อประชาชน หรืออย่างน้อยยอมออกแรงเข้ามาทำความสะอาดล้างบ้านเมืองเหมือนกับประชาชนผู้ สันติคนอื่นๆ กลับพูดเอา “เท่ห์” อย่างเดียวว่าขอให้ปรองดองกัน ทั้งๆ ที่ประชาชนเขาเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าจากวิถีแห่งโจรและผู้ก่อการร้าย
ข้อสำคัญที่ไม่เคยเสนอทางออกที่เป็นรูปธรรมว่าประชาชนที่บริสุทธิ์ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองจะอยู่รอดปลอดภัยจากโจรและผู้ ก่อการร้ายพวกนี้ได้อย่างไร?
การพูดในสังคมไทยลักษณะอย่างนี้มีอยู่มาก ทั้ง นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน นักสันติวิธี และเอ็นจีโอ บางคนที่มักง่าย เห็นแก่ได้ พูดเอาภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดี ให้ดูเท่ห์ โดยไม่สนใจปัญหาที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร หรือเรียกให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือพวก “ตีกินภาพลักษณ์” ทำตัว “บินสูง” เหนือความขัดแย้งและปัญหาทั้งปวง นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว คนพวกนี้ยังเป็นตัวสร้างปัญหาเสียด้วยซ้ำ
10 มีนาคม 2553 นายโคทม อารียา ยื่นข้อเสนอของศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี ต่อนายวีระ มุสิกพงศ์ นายโคทม กล่าวว่า ในการหารือได้เสนอให้ฝ่าย นปช.ร่วมมือกับทางรัฐบาลเพื่อวางระบบการป้องกันหากมีเหตุฉุกเฉินและรับมือ หากเกิดความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ฝั่ง นปช.ก็กำลังคิดเรื่องการนิมนต์พระมาทำเขตอภัยทาน คือเขตที่จะไม่เกิดความรุนแรงจากทั้งสองฝ่าย แต่กำลังดูเรื่องกิจของสงฆ์อยู่
นี่คือตัวอย่างของความคิดจะช่วงชิงพูด “เอาเท่ห์” อย่างเดียว โดยไม่สนใจว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร ก็ในเมื่อเขตอภัยทานอยู่ในพื้นที่การชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่ฝ่ายทหารเข้าไปไม่ได้ แล้วใครจะไปรับประกันได้ว่าพื้นที่วัดนั้นจะไม่เป็นซ่องโจร?
โดย เฉพาะภาพที่คนเสื้อแดง ที่ใช้เด็ก ผู้หญิง เป็นโล่มนุษย์นั้น เพียงแค่นี้หากใช้สติปัญญาและสามัญสำนึกธรรมดา ก็รู้แล้วว่าทำไมแกนนำคนเสื้อแดงจึงไม่ยอมให้เด็กและผู้หญิงออกจากพื้นที่ การชุมนุม แล้วจะไปไว้ใจให้เขตอภัยทานอยู่ในพื้นที่การชุมนุมคนเสื้อแดงซึ่งมีการ์ดคน เสื้อแดงเฝ้าอยู่ได้อย่างไรว่าจะไม่ใช้วัดเป็นเครื่องกำบังปกป้องกองกำลัง ที่ซ่องสุมอาวุธ หรือใช้เป็นสถานที่สร้างสถานการณ์เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของทางรัฐบาล
“เขตอภัยทาน” ที่อ้างขึ้นมาปกป้องนั้น ห้ามสื่อมวลชนเข้าไปทำข่าว เก็บภาพ ถึงขั้นมีการอุ้มนักข่าวบางแห่งที่พยายามเก็บภาพในวัดปทุมวนาราม เพียงเท่านี้สังคมไทยทั้งหมดเขาก็เห็นพิรุธนี้ตั้งแต่วันแรกแล้ว ยกเว้นนักสันติวิธี นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และเอ็นจีโอ ที่มาเรียกร้องเขตอภัยทานกลับไม่เคยท้วงติงหรือพูดในเรื่องข้อพิรุธเหล่านี้ แต่ประการใด
15 พฤษภาคม 2553 นายโคทม อารียา ได้ประสานไปยังเจ้าอาวาส วัดปทุมวนารามราชวรวิหารที่อยู่ติดกับพื้นที่ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อ ต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ขอให้พื้นที่ภายในวัดเป็นเขตอภัยทาน หากผู้ชุมนุมหรือทหารเข้ามาภายในขอให้มีการปลดอาวุธให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย และไม่ให้มีการต่อสู้และก็ได้รับการตอบรับจากเจ้าอาวาสเป็นอย่างดีตามคำขอ
แต่เจ้าอาวาสตอบกลับไปว่าวัดเป็นพื้นที่เปิดอยู่แล้ว แต่การดูแลเรื่องอาวุธต้องมีคนเข้ามาดูแลและนายโคทมต้องรับผิดชอบในเรื่อง นี้ ซึ่งทางวัดไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ แต่นายโคทม อารียา กลับไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ให้ประชาชนได้รับทราบ
เราพอจะเห็นว่านักสันติวิธีประเภทนี้ “ตีกินอย่างเดียว”จริงๆ รู้ทั้งรู้อยู่ว่าพระสงฆ์ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะไปตรวจค้นอาวุธพวกโจรก่อการ ร้าย และถึงแม้พระสงฆ์จะเห็นอาวุธก็คงใช้กำลังห้ามไม่ได้อีกด้วย ดัง นั้นการที่นายโคทม อารียา เสนอแบบนี้ก็คือการปัดความรับผิดชอบเรื่องยากๆ ออกจากตัวเอง เพราะอยากจะพูดเอาแต่ได้เพื่อให้ดูเท่ห์อย่างเดียว เพราะถ้าให้ตัวเองรับผิดชอบเรื่องการตรวจค้นอาวุธนั้น ก็ทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ จริงหรือไม่?
ในที่สุดเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐเข้าตรวจค้นวัดปทุมวนาราม ก็พบบัตรประชาชนที่จัดตั้งมวลชนมาชุมนุมจำนวนมาก อาวุธสงครามร้ายแรง กระสุนจำนวนมาก ระเบิดหลายประเภท และทรัพย์สินที่ปล้นสะดมมาเป็นจำนวนมหาศาล เราไม่เห็นศีรษะนักสันติวิธี นักสิทธิมนุษยชน หรือเอ็นจีโอ เหล่านั้น ออกมาแสดงสำนึกความรับผิดชอบ “แม้แต่คนเดียว”!!!
ขอย้ำว่า ไม่มีใครออกมารับผิดชอบ แสดงความสำนึก หรือเสียใจ ที่เป็นเครื่องมือให้โจร แม้แต่คนเดียว!!!
ซึ่งถ้าไม่ถูกมองว่า คนเหล่านี้เป็นพวกตีกินและไร้เดียงสา ก็น่าจะเป็นพวกที่สองคือรับงานมาเพื่อปกป้องโจร และไม่ว่าจะเป็นในแนวทางไหน คนประเภทนี้ก็ไม่ควรที่จะมาทำตัวเป็นวีรบุรุษเพื่อมาปูทางไปสู่ตำแหน่งใดๆ ในอนาคตอีก
ดัง นั้น กิจกรรมที่นายโคทม อารียา และพวกจะจัดการเดินรอบเมืองเพื่อเอาสติเอาขวัญกลับมานั้น นายโคทม และคณะอาจจะต้องทบทวนตัวเองเสียก่อนว่าที่ผ่านมาตัวเองมีสติดีพอหรือไม่ และควรแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสียก่อนหรือไม่ ก่อนที่จะเสนอตัวเองแบบตีกินต่อไป
เมื่อตั้งสติทบทวนดูแล้ว จึงค่อยตอบว่าใครขาดสติเพราะอะไร และใครที่ขวัญกระเจิงเพราะอะไร?
คนเสื้อแดง “ขาดสติ” จนถึงเผาบ้านเผาเมือง ก็เพราะการพูดปลุกระดม ปลุกปั่น ให้เผาบ้านเผาเมืองผ่านสื่อของคนเสื้อแดงใช่หรือไม่?
ในขณะที่ประชาชนอีกที่เหลือไม่เคยขาดสติ และยังไม่เคยมีกลุ่มไหนรณรงค์ใช้กำลังไปห้ำหั่นเข่นฆ่าคนเสื้อแดงผู้ บริสุทธิ์ ส่วนรัฐบาลก็ได้เลือกหนทางนี้เช่นกันด้วยการปิดล้อม และกระชับวงล้อม ซึ่งถือว่าเป็นเจตนาที่ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียหรือสูญเสีย น้อยที่สุดอยู่แล้ว
ส่วน ประชาชน “ขวัญกระเจิง” ทุกวันนี้ ก็เพราะผู้ก่อการร้าย กองกำลังติดอาวุธ และโจรอันธพาลที่ปล้นสะดมเผาบ้าน เผาเมือง มันยังคงลอยนวลอยู่ โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้เห็นเป็นใจให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล จริงหรือไม่?
หลายคนสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะการวางเพลิง ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ ถามว่านักสันติวิธี นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และเอ็นจีโอ ที่มัวแต่ห่วงโจร เคยห่วงและปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง กับความขัดแย้งทางการเมือง หรือไม่?
เราไม่สามารถที่จะคลี่คลายเรื่องนี้ได้ด้วยการเดินไปตามสี่แยกราช ประสงค์ สี่แยกคอกวัว ในทางตรงกันข้ามประชาชนที่เขามีสติตัวจริง รักสันติ รักบ้านรักเมือง ที่ไม่เอาหน้า ไม่ตีกิน เขาดึงสติและรับขวัญประชาชนกันก่อนหน้านี้ด้วยการออกแรงช่วยกันทำความสะอาด ล้างเมืองให้เข้าสู่ภาวะปกติมาหลายวันแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนั้นนายโคทมและคณะหายไปไหน?
การจะได้สติกลับคืนมาก็คือการรณรงค์ให้สื่อนำความจริงมาเปิดเผยหักล้างความเท็จเพื่อไม่ให้ผู้หลงผิดหลงเชื่อจนไปเผาบ้านเผาเมืองอีก
ประเทศไทยไม่สามารถที่จะเอาชนะความเท็จได้ด้วยความเงียบ และประเทศไทยไม่สามารถที่จะเอาชนะความเท็จด้วยการลดโทนเช่นกัน
แต่ความเท็จที่ปลุกระดมอยู่จะต้องเอาชนะด้วยความจริงเท่านั้น!!!
อย่าฝันหวานว่าจะลดโทนหรือหยุดยั้งสื่อใต้ดินของคนเสื้อแดงได้ เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะประมาทและมัวแต่คาดไม่ถึงตลอดเวลา สถานการณ์จึงได้บานปลายมาจนถึงทุกวันนี้
และควรเลิกพูดแบบตีกินบอกว่าอย่าไปปรักปรำทั้งสองฝ่ายแล้วขอให้รอกระ บวนการยุติธรรม เพราะมันง่ายและไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะไปหยุดยั้งวิกฤตสงครามข่าวสารเท็จ ของขบวนการรัฐไทยใหม่ได้ ขืนรอกระบวนการยุติธรรมนับ 10 ปี โดยห้ามพูดความจริงเพื่อหักล้างความเท็จ ประเทศไทยคงลุกเป็นไฟ ล่มสลายมลายวอดหรือเปลี่ยนแปลงการปกครองก่อนคำพิพากษาไปแล้ว
ส่วน การจะได้ขวัญกลับคืนมา ก็คือการช่วยกันรณรงค์และกดดันให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายให้ได้ เร่งปฏิวัติสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ได้โดยเร็วที่สุด กล้าหาญโยกย้ายเรียกตัวข้าราชการตำรวจชั่วมิให้มีอำนาจในบ้านเมือง ก่อนบ้านเมืองจะล่มสลายไปมากกว่านี้
และการได้สติและขวัญกลับคืนมาก็ต่อเมื่อประเทศไทยได้มีการเปลี่ยน แปลงแบบฉับพลันในระดับปฏิรูปประเทศไทยรอบด้านเพื่อลดปัญหาความไม่เป็นธรรม ที่เกิดขึ้นและมีอยู่จริงในประเทศไทย
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรียกว่า “การปรองดอง” ที่ให้คนผิดกับคนถูกมาจับมือกัน อันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ และนิติธรรม โดยอยู่บนความเสียหายทั้งทรัพย์สิน ร่างกาย และชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนและทหารหาญ
แต่ในเวลานี้ประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อที่จะทำให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง ป้องกันมิให้คนไม่ดีมีอำนาจในทุกวิถีทาง
ข้อสำคัญ นักสันติวิธี นักสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ และนักวิชาการ ควรจะต้องปฏิรูปตัวเองเพื่อไม่ให้พวก “ลัทธิตีกินนิยม” หรือ “ลัทธิแดงแอ๊บขาว” มาสร้างปัญหาให้กับบ้านเมือง หรือทำลายประเทศชาติต่อไป
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000071961
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น