คงเป็นที่ยอมรับของสากลโลก ทั้งโลกในอดีต โลกปัจจุบัน โลกอนาคตว่าทุกสังคมย่อมต้องการ “สันติ” (Peace) ถ้ามองในเชิงกระบวนการและขั้นตอนการดำเนินการแล้ว “สันติ” ที่ว่านี้มีสถานะเป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการ
ในกระบวนการรักษาของแพทย์นั้น แพทย์รักษาผู้ป่วยก็ต้องเริ่มจากวิธีที่ง่าย ต้นทุนการรักษาต่ำ เป็นอันตรายน้อย เช่น การจัดให้กินยาหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ถ้าวิธีการดังกล่าวไม่ได้ผล แพทย์ผู้ทำการรักษาก็จะปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาไปยังวิธีที่ซับซ้อนขึ้น ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นหรืออาจเสี่ยงต่ออาการข้างเคียง จนไปสู่การผ่าตัดที่แม้จะเป็นวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อน แม้จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการผ่าตัด ความเสี่ยงต่อการดมยาสลบ แต่ก็มีความจำเป็นเพื่อไปสู่การหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ เพื่อกลับสู่สุขภาวะปกติของผู้ป่วย ซึ่งเป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ทุกคนต้องการ
เช่นเดียวกัน วิธีการเพื่อไปสู่สังคม “สันติ” ได้นั้นก็มีหลากหลายวิธี นับแต่การตักเตือนของเจ้าหน้าที่ในกรณีจอดรถในที่ห้ามจอด การเจรจาเพื่อตกลงในการปัญหาชายแดน การปรับสถานบริการในกรณีที่สถานบริการเปิดทำการเกินเวลา การร้องขอให้เลิกชุมนุมเพราะไปละเมิดตสิทธิผู้อื่น วิธีการเหล่านี้ล้วนเรียกว่า “สันติวิธี (Peaceful Means or Peaceful Ways)”
“สันติวิธี” เป็นกระบวนการ (Process) มิใช่ผลลัพธ์สุดท้าย (Ultimate Outcome) ต่างกับ “สันติ” ที่เป็นผลลัพธ์สุดท้าย
ถ้าวิธีการเหล่านี้ไม่ได้ผล เจ้าหน้าที่หรือรัฐก็ต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินการโดยการยกระดับมาตรการ เช่น การออกใบสั่งหรือการล็อกล้อในกรณียังคงจอดในที่ห้ามจอดทั้งที่เตือนแล้ว การปิดสถานบริการเพราะยังคงขัดขืนเปิดเกินเวลา การใช้กำลังทหารเข้ากดดันบริเวณชายแดนเพื่อให้อีกฝ่ายถอยไป การตัดไฟเพื่อมิให้ทำการชุมนุมต่อ แต่ก็ยังคงเป็น “สันติวิธี”
ท้ายที่สุด ถ้าผู้กระทำผิดกฎหมายยังคงขัดขืนเจ้าหน้าที่หรือฝ่ายตรงข้ามใช้กำลังรวมทั้ง อาวุธซึ่งผู้กระทำผิดดังกล่าวอาจมีศักยภาพเพียงพอที่จะมีอาวุธสงคราม รัฐและเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและทหารก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดตที่จะต้องใช้ กำลังรวมทั้งอาจต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ รวมทั้งอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการสลายการชุมนุมโดยการใช้แก๊สน้ำตาหรือกระบอง การใช้กำลังทหารและอาวุธต่อทหารต่างชาติ การรื้อสถานบริการอย่างถาวรตามคำสั่งศาลหรืออำนาจที่มีอยู่ การวิสามัญฆาตกรรมโจรเพราะมีการยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ เหล่านี้มิใช่ “สันติวิธี” เหล่านี้เป็นการใช้ “กำลัง” แต่เป็นการใช้ “กำลัง”เพื่อให้สังคมไปสู่ “สันติ” เพื่อให้สังคมดำรงได้โดยมีความเสมอภาค นั่นคือ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย เป็นนิติสังคมหรือนิติรัฐ เป็นสังคมที่มีการบังคับใช้กฎหมายเพราะสังคมจะดำรงได้อย่าง “สันติ” ก็ต่อเมื่อสังคมนั้นมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างถ้วนทั่ว
สังคมและคนในสังคมควรที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนและแยกแยะให้ ออกระหว่าง “สันติ” และ “สันติวิธี”
ในกรณีผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์นั้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเป็นขบวนการก่อการร้ายตามนิยามสากล ไม่ว่าในเรื่องของ (ก) การหวังโค่นล้มอำนาจรัฐ โดย (ข) การดำเนินการอย่างเป็นขบวนการ ร่วมกับ (ค) การใช้อาวุธ (ไฟแนนเชียล ไทมส์ ของอังกฤษ รายงานว่า การชุมนุมประท้วงของกลุ่ม นปช. พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ติดอาวุธปะปนในกลุ่มผู้ชุมนุมจริง) และมีการละเมิดสิทธิของผู้อื่นจนถึง (ง) การทำร้ายประชาชนทั้งที่เป็นผู้ชุมนุมในกลุ่มตนประชาชนทั่วไปจนถึงชีวิต (ซึ่งมีข้อมูลมากมายตามโลกอินเทอร์เน็ตและสื่อมวลชนรวมทั้งศูนย์อำนวยการ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ ศอฉ.) โดย (จ) มุ่งหวังประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตน
การก่อการร้ายดังกล่าวมิได้เป็นเพียงการหวังประโยชน์ในการยึดครอง อำนาจรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความพยายามอย่างเด่นชัดในการที่จะโค่นล้มทำลายสถาบันอันเป็นที่ รักยิ่งของปวงชนชาวไทยอย่างเป็นขบวนการตามการเปิดเผยของศูนย์อำนวยการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.
รัฐบาลได้ดำเนินการตามขั้นตอนทุกขั้นตอนเพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมเลิก การชุมนุมในบริเวณดังกล่าว รัฐบาลได้ใช้วิธีการตั้งแต่เบาไปหาหนักไม่ว่าในการออกประกาศเตือน การให้เวลาอย่างเหลือเฟือแก่ผู้ชุมนุม (จนประชาชนทั่วไปได้รับผลกระทบและทนไม่ได้) การเชื้อชวนให้ผู้ชุมนุมกลับภูมิลำเนา การแจ้งเตือนถึงความผิดตามกฎหมาย จนนำมาสู่การปิดล้อม การอธิบายขั้นตอนและอาวุธที่ประจำกายคือปืนไรเฟิลซึ่งจะใช้เพียงเพื่อ ป้องกันตัวและยิงต่ำ เพื่อสกัดกั้นมิให้ผู้ชุมนุมเข้าถึงตัวเจ้าหน้าที่ซึ่งจะนำความสูญเสียมาก ยิ่งขึ้นดังเหตุการณ์ความรุนแรงในวันที่ 10 เมษายน 2553
ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม ได้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงไปแล้ว 35 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกกระทำโดยกองกำลังที่เป็นที่รับรู้ของสังคมโดยทั่วไปว่า มีผลประโยชน์และความเกี่ยวพันกับกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง และเชื่อว่าทั้งสองกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการซึ่งได้มีการวางแผนและจัด ตั้งแต่ต้น (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ยอมรับว่าสามารถสั่งการกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่ใน ช่วง 5 วันที่ผ่านมาให้หยุดดำเนินการได้ถ้ารัฐบาลจะเจรจา) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำสังคมไทยไปสู่ความรุนแรง รุนแรงในระดับที่รัฐบาลยอมเจรจาและผลการเจรจานั้นย่อมเป็นไปตามที่กลุ่มผู้ ชุมนุมร้องขอ โดยเฉพาะประเด็นการให้ประกันตัวแกนนำ และเชื่อแน่ว่าจะรวมถึงการนิรโทษกรรมผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงคือ ทักษิณ ชินวัตร และการยุบสภาสู่การเลือกตั้งซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงต้องการ ให้เกิดโดยเร็ววัน
ถ้ารัฐบาลยอม “เจรจา” หรือที่เหล่านักวิชาการเสื้อแดงรวมทั้งสื่อมวลชน 2-3 ฉบับเช่น “หนังสือพิมพ์มติชน” เรียกร้องและเรียกขานสิ่งนั้นว่า “สันติวิธี” กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย และผู้ก่อการร้ายได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา มั่นใจหรือว่าวิธีการดังกล่าวจะนำไปสู่ “สันติ” สังคมจะ “สันติ” ได้อย่างไรในเมื่อกฎหมายได้เกิดการละเมิดเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของคน บางกลุ่มและมีการใช้กำลัง มีการก่อการร้าย และรัฐบาลในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายละเลยหรือไม่บังคับใช้กฎหมายโดยอาศัย เกราะแห่งความ “กลัว” เพื่ออรรถาธิบายพฤติกรรมแห่งการละเว้นการปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมายของตน จนไปถึงการยอมให้ประกันตัวแกนนำหรือนิรโทษกรรมผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ทั้งหมด รวมทั้งการประกาศยุบสภาตามคำขู่ขอซึ่งก็คือการประกาศ “นับถอยหลัง” การทำงาน
และเป็นการประกาศให้ข้าราชการเริ่มต้น “หยุดทำงาน” นับแต่วินาทีที่รัฐบาลประกาศการยุบสภา สังคมนั้นจะเป็น “นิติรัฐ” ได้อย่างไร หรือว่าสังคมที่ป่าเถื่อนโดยมีสมาชิกในสังคมหรือกลุ่มสมาชิกของสังคมนั้นที่ จะดำเนินการอย่างไรก็ได้ตามใจปรารถนาแม้ว่าการกระทำนั้นจะละเมิดสิทธิผู้ อื่นทั้งทรัพย์สินและร่างกายจนถึงชีวิต สังคมนั้นสามารถมีสถานะเป็นสังคม “สันติ” ได้
ถ้ารัฐบาลยอมที่จะเจรจาและยอมตามคำเรียกร้องของผู้ก่อการร้าย รัฐบาลคงมีคำถามที่ต้องตอบอยู่ 2-3 ประเด็น
ประการแรก รัฐบาลมีกำลังทหารและตำรวจมากมายเพื่ออะไร รวมทั้งงบประมาณมหาศาลที่ใช้จ่ายไปกับทหารตำรวจนั้น ใช้จ่ายไปเพื่ออะไร
ประการที่สอง ถ้าจะสันติวิธีในทุกเรื่อง ทำไมรัฐไม่ปล่อยคนในคุกที่ถูกจองจำด้วยข้อหาต่างๆ หรือทำไมตำรวจต้องใช้อาวุธปืนกับโจรที่ยิงใส่ตำรวจ ทำไมเหล่านักวิชาการ หนังสือพิมพ์คุณภาพ เช่น “มติชน” จึงไม่เรียกร้องให้รัฐปล่อยนักโทษในคุก หรือเรียกร้องให้ตำรวจไม่ต้องมีอาวุธปืน เพื่อจะได้เป็นไปตามแนวทาง “สันติวิธี” หรือเพราะว่านักโทษและโจรเหล่านี้ไม่มีพวกพ้อง ไม่มีเครือข่าย ไม่มีเงินทุนเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน จึงไม่ต้องไปไยดี
ประการสุดท้าย มีรัฐบาลไปทำไม
สุดท้ายเป็นประเด็นที่สังคมต้องตอบตนเองว่า ในท้ายที่สุดแล้ว
สังคมและคนในสังคมต้องการ “สันติวิธี” หรือต้องการการบังคับใช้กฎหมายเพื่อนำพาสังคมไปสู่ “สันติ”
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000069369
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น