สภาสูงเปิดอภิปรายวิกฤตการเมือง “เลิศรัตน์” แนะแดงเลี่ยงยั่วยุ ยังเชื่อก่อการร้ายมือที่ 3 จี้ นึกถึงชาติ หนุนแผนปรองดอง นายกฯ ชมใจกว้าง “คำนูณ” เผยรัฐเดิมพันอนาคตชาติ ยันแดงเหมือนเชื้อโรคร้ายปลุกประชาชนปฏิวัติสร้างรัฐไทยใหม่ ชี้ “จิ๋ว” รู้ดี จี้เป็นผู้นำกล้าปฏิรูปประเทศ “มาร์ค” ยันพยายามใช้เวทีสภาแก้ เผย ต่างชาติห่วงไทยใช้กฎหมายไม่จริงจัง ปัดเจ้าหน้าที่ปะทะแดงก่อน ยันโรดแมปต้องมาจากเสียงส่วนรวม เมินต่างชาติเสนอตัวกลางคุย ย้ำ พวกก่อการร้าย ล้มเจ้า มีจริง จ่อแฉเร็วๆ นี้
วันนี้ (3 พ.ค.) ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประชุมวุฒิสภา ในวาระอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตาม มาตรา 161 ของรัฐธรรมตามที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา เป็นผู้เสนอ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงหาทางออกกรณีวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงกับสมาชิกด้วย
ทั้งนี้ ก่อนเริ่มการเปิดอภิปรายใน พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา อภิปรายข้อข้องใจว่า จริงหรือไม่ที่รัฐบาลจะไม่อนุญาตให้ ส.ว.ที่มีความเห็นต่างกับรัฐบาลแสดงความเห็นในที่ประชุม แต่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า นายกฯได้ขอให้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย แต่ถ้ามีรายการสำคัญ คือ สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือรายการข่าว รวมทั้งถ้ามีการอภิปรายแล้วกระทบ แล้วเกิดการเข้าใจผิด ก็จะเป็นเรื่องที่เอ็นบีทีจะดำเนินการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็จะงดการถ่ายทอด กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องถูกใจหรือไม่ถูกใจรัฐบาล หากเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ยังไม่มีการพิสูจน์ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้วางแนวไว้แล้วว่า อยากให้พูดเรื่องทางออก
นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ส.ว.นครศรีธรรมราช อภิปรายว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของ นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ ว่า รัฐบาลต้องเปิดการเจรจา ถ้ายังเจรจาไม่ได้ก็ควรยุบสภาเสีย และหากพรรคเพื่อไทยชนะกลับมาจัดตั้งรัฐบาล และมีม็อบพันธมิตรฯมาเรียกร้องอีก ก็สามารถยุบสภาอีกได้ จะยุบอีก 10 ครั้ง ก็ไม่เสียหายและไม่เปลืองงบประมาณ เพราะครั้งละ 2 พันล้าน บาท 10 ครั้ง ก็ 2 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับความเสียหายที่พันธมิตรฯ และ นปช.ทำไว้ขณะนี้ถือว่ายังเทียบไม่ได้ แต่ถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไร แล้วยังปล่อยให้ทีวีเสนอข่าวสารด้านเดียว โจมตีผู้ชุมนุม ว่า เป็นผู้ก่อการร้าย และล้มเจ้า ก็จะสร้างความเกลียดชังเหมือนในประเทศรวันดา ดังนั้น นายกฯ ต้องรีบตัดเงื่อนไขเหล่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ขอเรียกร้องผ่านฝ่ายต่างๆ ดังนี้ 1.การชุมนุมวันนี้ ผู้ชุมนุมต้องเห็นใจเพราะมีคนตกงานหมื่นคน ธุรกิจเสียหายกว่า 5 หมื่นล้านบาท กระทบต่อผู้ป่วย ถ้ายึดเยื้ออีก 1 เดือน จีดีพีก็จะลดลงร้อยละ 1 ขอเรียกร้องแกนนำปรับเปลี่ยนการชุมนุม หลีกเลี่ยงใช้ความรุนแรง หรือยั่วยุ แต่เห็นว่า ช่วงหลังการยั่วยุลดน้อยลง การดาวกระจายน้อยลง 2.กลุ่มมือที่สาม ซึ่งรัฐบาลบอกว่า เป็นก่อการร้าย ก็ขอให้คิดถึงผลประโยชน์ระเทศชาติ ระมัดระวังการใช้ความรุนแรง เห็นใจทหาร ตนเยี่ยม ทหารที่เป็นลูกน้องเก่า เขายืนยันไม่มีใครต้องการใช้อาวุธ ทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง แต่การสั่งการ การวางยุทธศาสตร์โดยศอฉ. ต้องไม่ใช้เหตุการณ์ในอดีตมาเป็นมาตรฐานในการดำเนินการ 3.ขอให้รัฐบาลและทุกฝ่ายยุติการใช้สื่อที่ สร้างความแตกแยก ไม่สร้างสรรค์ 4.อยากเรียกร้องต่อนายกฯ รัฐบาลและผู้ชุมนุมต้องสร้าง บรรยากาศที่ช่วยลดความตึงเครียด
“อย่างวันนี้ก็จะมีประชุมดีเอสไอ วางข้อหาก่อการร้าย และค้นบ้านคนนั้นคนนี้ วันนี้เราต้องยุติด้วยการเจรจา โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไม่ใช่ตกลง เรื่องยุบสภาอย่างเดียว เพราะมันมีเงื่อนไขมากมาย ผมเห็นด้วยที่นายกฯจะประกาศโรดแมปในเร็ววันนี้เพราะถือว่าใจกว้าง รัฐบาลต้องบอกว่า จะทำอะไรถ้าจะอยู่อีก 1 ปี 9 เดือน” พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภา ว่า ตนพยายามรับฟังความเห็นทุกฝ่าย และพยายามใช้รัฐสภาเพื่อหาทางออก ซึ่งเรื่องที่เป็นรูปธรรม คือ การชุมนุมเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ได้มีการตั้งคณะกรรมการสองคณะของรัฐสภา และเมื่อถึงช่วงปลายปี มีข้อเสนอให้แก้ไขรธน. และมีการพบปะที่ทำเนียบรัฐบาล ทั้งฝ่ายค้าน ส.ว.และรัฐบาลเห็นพ้องให้นำประเด็นแก้ไขรธน.ไปขอประชามติและแก้ไข รธน.แต่ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ดังนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาล เราเปิดโอกาส ไม่ใช่เพราะรัฐบาลปฏิเสธ แต่เกิดการปฏิเสธจากฝ่ายอื่น นอกจากนี้ ในช่วงมีการชุมนุมครั้งนี้ ตนได้เจรจาเปิดเผยกับแกนนำผู้ชุมนุม การเจรจาสองวันยุติลง โดยแกนนำผู้ชุมนุมปฏิเสธกระบวนการเจรจา ตนและรัฐบาลตั้งใจหาแนวทางที่ปรองดองสมานฉันท์มาตลอด และที่ ส.ว.เห็นว่า ให้ดำเนินการเจรจาต่อ ขอยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ลดละกระบวนการสร้างความปรองดอง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีบางเรื่องที่ ส.ว.บอกว่า การปฏิบัติการของรัฐบาล เช่น การคืนพื้นที่ ต่างประเทศไม่ยอมรับ ขอชี้แจงว่า ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ยอมรับว่า แน่นอนอาจมีความเห็นของต่างประเทศที่มีความหลากหลาย แต่หลายประเทศแสดงความวิตกว่า รัฐบาลไทยยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างจริงจัง ส่วนทำ แล้วจะเสียหายหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องอีกเรื่องที่พูดคุยกันได้ นอกจากนี้ที่ระบุว่า ผู้นำเหล่าทัพ โดยเฉพาะผบ.ทบ.สนับสนุนให้ยุบสภา ซึ่งตนทำงานด้วยกัน ก็ไม่เคยปฏิเสธเรื่องทางออกยุบสภา แต่ไม่ได้หมายความว่า จะยุบวันนี้หรือ ภายใน 15 วัน หรือ ตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม ส่วนที่ระบุว่าเหตุการณ์วันที่ 10 เมษาเป็นปัญหาโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ ทหาร เพราะมีอาวุธจริง ขอชี้แจงว่าข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ไม่ขอพูดละเอียด เพราะเรากำลังตั้งคณะกรรมการอิสระ ดังนั้น ต้องรอให้คณะกรรมการชุดนี้ทำงานก่อน แต่ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ไม่ใช่ผู้ก่อความรุนแรงก่อน ไม่ว่า 10 เม ษา หรือ กรณีมีความสูญเสียอื่น หรือ ที่จะเกิดขึ้นในอนาต ดังนั้น ขอให้ความมั่นว่า ถ้าไม่มีผู้ใช้อาวุธอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม หรือ แฝงตัว ตนยืนยันได้ว่า ปฏิบัติการใดๆ จะไม่ก่อให้ความเกิดสูญเสียแน่นอน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า การนำเสนอโรดแม็ปของตน เพื่อหาคำตอบทางการเมืองนั้นจะต้องมาจากรับฟังความเห็นทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาล นักการเมือง ผู้ชุมนุม หรือ ผู้ต่อต้านผู้ชุมนุม แต่ต้องเป็นคำตอบส่วนรวม ตนรับฟังครบถ้วน แต่ไม่ได้เจาะจงว่าต้องผ่านการเจรจา หรือ มอบหมาย ให้ใครเจรจา วันนี้มีหลายองค์กรกระทั่งเพื่อนๆ เราในต่างประเทศที่อยากทำหน้าที่ตรงนี้ เราขอบคุณแต่ไม่จำเป็น เพราะมีบุคคลากรจำนวนมากในประเทศอยู่แล้ว ดังนั้น ตนตอบรับ เรื่องการหาคำตอบทางการเมือง ส่วนกระบวนการแต่เป็นเรื่องของดุลพินิจว่าจะดำเนินการอย่างไร ขณะนี้รัฐบาลอยู่กับข้อเท็จจริงว่า คำตอบทางการเมืองไม่ใช่การแก้ปัญหา ของประเทศเพียงอย่างเดียวในขณะนี้ เราไม่อยากสร้างความรุนแรง แต่เราต้องอยู่บนความเป็นจริง ข้อหาก่อการร้าย หรือ เรื่องสถาบัน มันมีข้อเท็จจริง แต่ไม่ได้แปลว่า ทุกคนในการชุมนุมเกี่ยวข้อง ไม่ใช่ อยู่แล้ว มันมีข้อเท็จจริง มีการกระทำที่เปิดเผย และกำลังถูกสอบและและเตรียมเปิดเผยเร็วๆนี้ ทั้งการก่อการร้าย การวินาศกรรม การใช้อาวุธสงคราม
“เมื่อมีการทำผิดกฎหมาย เกี่ยวข้องกับสถาบัน แล้วไม่ให้ไปแตะต้องก็คงไม่ได้ แต่รัฐบาลจะไม่หยิบยกสองเรื่องนี้มาเอาชนะ คะคานทาง การเมือง ผมบอกว่า ต้องไม่เป็นเช่นนี้ แต่ต้องจัดการตามกฎหมาย วันนี้มีประชาชนบอกว่า รัฐบาลไม่จัดการกับภัยคุกคาม ความมั่นคงของประเทศ ทั้งสอง ด้านนี้ไม่ว่า เรื่องสถาบัน หรือ การก่อการร้าย ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการก็จะเป็นการละเว้น หรือลืมปฏิบัติหน้าที่ ผมยืนยันอีกครั้ง จะเดินหน้าผลักดันให้เกิดการปรองดอง แต่ปัญหาด้านความมั่นคง ปัญหาการเมือง ผมก็ต้องตอบและดำเนินการทั้งสองเรื่อง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้าน นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา อภิปรายในฐานะเจ้าของญัตติ ว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ตนได้ยินนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พูดคำว่า คาดถึงประเมินต่ำไป ต่ำกว่าสองครั้งถือเป็นความผิดพลาดที่มนุษย์มีได้ก็ควรให้อภัย แต่รัฐบาลยังประเมินต่ำต่อไปเพราะไม่ชัดเจนต่อสภาพปัญหา ตนเห็นว่า เดิมพันช่วงนี้ไม่ได้อยู่ที่อนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ หรือมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองยุบสภา แต่เดิมพันที่ยิ่งใหญ่กว่าคือความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยการมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และอนาคตของรัฐชาติที่ถูกละเลย รวมถึงปัญหาโครงสร้างสะสมเรื้อรังที่อยากต่อการแก้ไข
นายคำนูณ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่ปี 2551 เป็นช่วงที่รัฐบาลนี้เข้ามา แต่รัฐบาลก็ยังทำตัวเหมือนเป็นรัฐบาลสภาพปกติ ตน และ ส.ว.อีกหลายคนเคยพยายามพูดกับนายกรัฐมนตรี ว่า สถานการณ์ร้ายแรงวิกฤตใหญ่ไม่แพ้ช่วงสงครามเย็น ดังนั้น รัฐบาลควรทำตัวเป็นรัฐบาลเฉพาะปฏิบัติภารกิจบางประการที่จำเป็นต้องยุติปัญหา ที่เป็นเงาทะมึนรออยู่ข้างหน้า คือ วิกฤตการเมือง โดยมีกระบวนการพยายามเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งที่ทับซ้อนอยู่ เบื้องหลังการต่อสู้ คืนอำนาจของอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง จากคำพูดของกลุ่มคนเสื้อแดงเห็นได้ชัดว่ามีเจตนาอย่างไร โดยประธาน นปช.เคยกล่าว ในงานเปิดตัวสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาเนล ซึ่งยอมรับว่า คิดสร้างรัฐไทยใหม่ขึ้นมา และแน่นอนรัฐนี้จะต้องไม่ใช่นายอภิสิทธิ์ เป็น นายกฯ ต้องมีการสร้างประเทศใหม่ ที่ผ่านมาพันธมิตรฯ ต่อสู้ เพื่อระบบที่กำลังจะตาย แต่เสื้อแดงต่อสู้เพื่อระบอบใหม่ รวมทั้งเคยระบุว่า รับไม่ได้กับระบบศักดินาไทย และอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคม ต้องการเห็นสงครามประชาชนที่ไม่มีการจัดตั้งให้สงครามลากไป 1-2 ปี แล้วให้ประชาชนปฏิวัติ ซึ่งคำพูดนี้ในอดีตหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นคำพูดที่เพ้อเจ้อ แต่ในเวลานี้เริ่มเห็นชัดแล้วว่าเป็นอย่างไร
“ขบวนการสร้างรัฐไทยใหม่มีอยู่จริง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมดของแกนนำหรือคนเสื้อแดง ซึ่งบุคคลที่รู้ดีคนหนึ่งคือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เพราะเคยระบุในหนังสือ “ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” ว่า มีกลุ่มบุคคลที่นิยมคอมมิวนิสต์ พยายามเข้ามาใช้มวลชน พยายามใช้วิธีการชุบตัวในสถาบัน วิชาการ เข้าอำนาจรัฐ ยุยงให้ฝ่ายรัฐและฝ่ายทุนขัดแย้ง กัน เพื่อก่อสงครามการเมือง และ เปลี่ยนแปลงรูปแบบประเทศ ดังนั้น ตนขอเสนอให้รัฐบาลไปขอความร่วมมือจากพลเอกชวลิต ขอข้อมูล ถึงกระบวนการดังกล่าว และบุคคลเหล่านี้เป็นใคร” นายคำนูณ กล่าว
ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า มี 2 เหตุการณ์ซ้อนทับกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง คือ 1.มีผู้ใช้อาวุธสงครามจริง 2.มีกระบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจริง แม้รัฐบาลจะเคยประกาศแล้ว แต่ก็ยังไม่ดำเนินการ และถูกวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้น ตราบใดที่นายกฯ ยังไม่ประกาศโรดแมปที่แน่ชัด รัฐบาลคงยังไม่พ้นภาวะการประเมินต่ำ คาดไม่ถึงสักที ดังนั้น ทางออกคือรัฐบาลจะต้องแสดงตนเป็นผู้นำในการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ สร้างกลไกความร่วมมือจากภาคประชาชน ภาคสังคม ซึ่งหลายฝ่ายก็เคยเสนอ แล้ว เพราะฉะนั้นคำตอบว่าประเทศไทยจะต้องมีรัฐไทยใหม่หรือไม่ คำตอบคงอยู่ที่นายกฯ คนเดียว
“วันนี้หากไม่แก้ไข จากแนวคิดสองนคราประชาธิปไตย ประเทศไทย จะถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นระบอบรัฐบาลสาธารณรัฐ เพราะเวลานี้ต่อให้ไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ หรือมีเทวดาลงมาจากฟากฟ้าดลบัลดาลให้คนเสื้อแดงเลิกชุมนุมกลับบ้าน ปัญหาก็คงไม่จบ เพราะเวลานี้เดิมพันคือความมั่นคงของประเทศ การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และหาก เปรียบแล้วประเทศไทยกำลังอยู่ในสถาวะกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 เพราะเป็นการแตกแยกจากภายใน กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นเหมือนเชื้อโรคร้ายที่กำลังทำลายให้ประเทศอ่อนแอ และประเทศจะสะสมโรคร้ายต่อไป หรือไม่ก็จะต้องไปเจอกับเชื้อโรคชนิดใหม่ และอาจต้องจบชีวิตลง” นายคำนูณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้นายกรัฐมนตรี จะระบุว่า แผนปฏิรูปประเทศจะสำเร็จในไม่ช้า แต่ทุกวันนี้ตนก็ยังไม่เห็นอะไรที่ เป็นรูปธรรม จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีเร่งดำเนินการ ทั้งนี้ อยากเสนอให้นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมข้าราชการครั้งใหญ่ เพื่อเปิดใจและชี้แจงว่าประเทศกำลังเผชิญกับโรคร้ายอะไร รวมทั้ง ต้องเร่งกำจัดการเมืองที่ล้มเหลว โดยใช้ประชาชน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้จัดม็อบขึ้นมาอีกสี แต่จะต้องช่วยกันหาทางทำให้เกิดการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่
“นายกรัฐมนตรีจะต้องเริ่มด้วยการเดินเข้าไปหาแต่ละภาคส่วนเองว่าต้องการอะไร ซึ่งจะ เป็นกุญแจใหญ่ไขไปสู่ประตูทางออกทางการเมืองที่ล้มเหลว ต้องกล้า ที่จะแหกออกไปจากกรอบเดิมๆ จากกฎเกณฑ์เก่าๆ ที่ล้มเหลว เช่นการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ เชื่อว่าท่านมีเสน่ห์สาธารณะที่ประชาชนพร้อมจะฟังอยู่แล้ว แต่ต้องมีความคิดใหม่ๆ มากกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือยุบสภาเท่านั้น ท่านต้องกล้าเดินไปหาองค์กรประชาชน เชิญพวกเขามาคุยมาถามว่ามีข้อเสนออะไร ซึ่งจะเป็นกุญแจวิเศษเปิดไปสู่การสร้างสรรค์ใหม่ ส่วนการแก้ไขปัญหาการชุมนุมก็ทำไป แต่ถ้าทำแล้วมันเสียหายมากเกินไป ก็ยังไม่ต้องทำมัน”
ด้าน นายอภิสิทธิ์ ได้ชี้แจงว่า การปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ สิ่งสำคัญคือ ประชาชนต้องให้ความร่วมมือ ซึ่งขณะนี้มีตัวแทนจากภาคประชาชนต่างๆ มาพบตน แล้ว โดยมีการเสนอให้มีการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนผ่านทางการประชุม การจัดสมัชชา จากนั้นก็จะนำความคิดเห็นทั้งหมดกลับมาสู่รัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแนวทางดังกล่าวตนเห็นด้วยและกำลังจัดให้มีการดำเนินการอยู่
ที่มา http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000060868
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น