คำว่า “กรุงแตกก่อนเสียกรุง” ที่จั่วหัวขึ้นนี้ประมวลผลมาจางานเรื่องการเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ของศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์, อันที่จริงมีผู้วิจารณ์อาจารย์นิธิเรื่องต่าง ๆ มีผู้ตั้งคำถามเรื่องจุดยืนและฯลฯ แต่ในฐานะความเป็นนักประวัติศาสตร์ตำราเล่มนี้ควรค่าแก่การศึกษาอ้างอิงเสมอ
ประวัติศาสตร์การเสียกรุงฯ บ่งบอกเราว่ากรุงศรีอยุธยาหาได้แตกเพราะกษัตริย์อ่อนแอ สนมกำนัลหนวกหูตกใจกลัวปืนใหญ่ และพม่ายกมาแบบทัพโจรหาใช้ทัพกษัตริย์ตามท้องเรื่องพื้นผิว ต้องวิเคราะห์ลึกลงไปถึงโครงสร้างการเมืองการปกครองของกรุงศรีอยุธยาที่ล่มสลาย อ่อนแอ สะสมโรคภัยรุมเร้าในตัวเองมาก่อน
อ.นิธิ เขียนถึงสภาพปัญหาดังกล่าวในบทที่ 1 การสลายตัวของราชอาณาจักรอยุธยายาว 43หน้าสรุปความได้ว่าเหตุกรุงแตกนั้นเป็นปลายเหตุของสภาพปัญหารุมเร้าที่เรียกว่ากระบวนการสลายตัวของราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ที่สะสมความอ่อนแอมาก่อนหน้า หัวข้อหนึ่งของบทที่จั่วว่า “ระบบที่ไม่ทำงาน” ที่แจกแจงพรรณนาความไร้ประสิทธิภาพของกลไกรัฐอยุธยาเพื่อคลี่คลายปัญหา
ประโยคสำคัญที่อ่านแล้วถึงสะอึก…
“การพังสลายของราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยานั้นได้เกิดขึ้นก่อนที่พระนครศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่าแล้ว การสลายตัวนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกองทัพพม่าบุกเข้าทำลายศูนย์กลางของราชอาณาจักร หากเป็นเพราะกองทัพพม่าทิ่มแทงมายังจุดอ่อนที่สุดของราชอาณาจักร คือการคุมไพร่พลและการคุมหัวเมือง”
แค่ประโยคสำคัญประโยคนี้ทำให้เกิดจินตนาการยืดยาวถึงสภาพปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เราท่านประสบอยู่
ร่างกายที่อมโรค สะสมปัญหารุมเร้าในองคาพยพ ครั้นพอเจอเชื้อโรคแทรกเข้ามาก็ลุกลามบานปลาย สิ่งที่ไม่ควรเป็นปัญหาก็เป็น
4 ปีของความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้เราได้เห็น “รูปธรรมตัวเป็นๆ” ของความอ่อนแอไร้ประสิทธิภาพของระบบบ้านเมืองในทุกด้านทั้งโครงสร้างการเมือง การบริหาร เศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม
โครงสร้างการบริหารซึ่งต้องอาศัยกลไกราชการ ทหาร ตำรวจ เราเคยได้ยินมาก่อนเรื่องทหารนักกอล์ฟ-ทหารพ่อค้า มาถึงวันนี้เราท่านก็ได้สัมผัสกับทหารแตงโมตัวจริงเสียงจริง ตำรวจที่เป็นกลไกสำคัญรักษาความสงบบ้านเมืองก็เหมือนกัน การซื้อขายตำแหน่ง วิ่งหาการเมืองเล่นพวกพ้องเละเทะเหลวแหลกยาวนาน พอเกิดวิกฤตบ้านเมืองจึงตำรวจกลายเป็นองค์กรที่เป็นตัวถ่วงที่สุดแทนที่จะเป็นกลไกหลักแก้ปัญหา
ไม่ต้องพูดถึงกระทรวงทบวงกรมทั่วไปที่ธุระไม่ใช่ซุกหีบท่าเดียว ที่ยกตัวอย่างผู้บริหารรัฐวิสาหกิจไม่ให้เปิดฉายหนังโฮเต็ล รวันดานั่นก็ใช่ กลไกรัฐแทบไม่ได้ช่วยคลี่คลายเลย (อาจยกเว้นไม่กี่คนและไม่กี่หน่วย)
หันมาดูโครงสร้างทางการเมืองยิ่งไปกันใหญ่ จำลองภาพกรุงแตกก่อนเสียกรุงได้ชัดขึ้นอีก!
นักการเมืองและระบบรัฐสภาเป็นแกนขับเคลื่อนระบบและระบอบการปกครองที่เรายึดถือ สำหรับอารยะประเทศแล้วหากมีเหตุเช่นที่เกิดขึ้นในไทยสังคมเขาจะพุ่งสายตามองไปยังรัฐสภาทันทีว่าจะเป็นแกนในการแก้ปัญหาสังคมอย่างไร ใครมีท่าทีใด ใครเสนอทางออกเช่นไร ...
แต่สำหรับเมืองไทยไม่มีใครเชื่อถือศรัทธานักการเมือง และนักการเมืองก็ไม่ได้แสดงตนว่าจะสามารถเป็นแกนในการคลี่คลายปัญหาอย่างไรซ้ำร้ายเป็นตัวปัญหาเอง ระบบการเมืองที่เป็นอยู่เหลวไหลเลอะเทอะหาความเชื่อมั่นไม่ได้ว่าจะไปทำหน้าที่เป็น “ตัวแทนของปวงชน” หรือไปเป็นตัวแทนของเจ้าของพรรค-นายทุนพรรคกันแน่ “ประชาธิปไตย 4 วินาที”ที่เขายกมาว่า ๆ กันเป็นบทสรุปรวบยอดของการเมืองที่ล้มเหลวแบบเดิม ๆ
วิกฤตการณ์การเมืองรอบนี้หลายอย่างมาจากนักการเมืองวัฒนธรรมทางการเมืองไทยย่ำแย่มากเมื่อเทียบกับประเทศอารยะ ส.ส.โกหกเป็นไฟกลายเป็นเรื่องปกติทั้ง ๆ ที่หากเป็นประเทศอื่นคนจะถูกสังคมขับไล่เป็นหมูเป็นหมาไปแล้ว
ความล้มเหลวอ่อนแอในส่วนสำคัญที่สุดคือโครงสร้างทางเศรษฐกิจ-สังคม ที่เป็นหัวใจรากฐานของปัญหาประเทศที่สะสมมายาวนานนับทศวรรษ
ต้องยอมรับว่าการที่มวลชนเสื้อแดงชาวบ้านออกมาร่วมกับขบวนแดงที่เป็นผลมาจากเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก จริงอยู่หากจำแนกให้ดีมีทั้งแบบส.ส.ชวนมาบ้าง ศรัทธาพ่อแม้วบ้าง และพวกที่เกิดสำนึกว่านี่เป็นขบวนของคนจน เป็นพวกเดียวกัน แต่ไป ๆ มา ๆ เมื่อผสมปนเปกันไปขยำไป ขยำมาที่สุดกลายเป็นก้อนแดงที่หลอมปัญหาแม้วและปัญหาตัวเองเข้าไว้ด้วยกันจนแยกไม่ออก
การพัฒนาผิดทิศทาง, ปัญหาจัดสรรกระจายทรัพยากร,ปัญหาความเป็นธรรมและสิทธิการเข้าถึง, ปัญหารวยกระจุกจนกระจาย ฯลฯ ที่เราท่านได้ยินได้ฟังมาตลอดหลายสิบปี ก็คือรากเหง้าปัญหาด้านนี้ที่สะสมพอกพูนเรื่อย ๆ จนใกล้จะเป็นระบบที่ล่มสลาย...มวลชนผู้รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมลุกฮือจนใกล้จะเป็นกรุงแตกก่อนเสียกรุงอยู่มะรอมมะร่อ
รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ จะว่าโชคร้ายก็คงใช่ เพราะบังเอิญที่มารับตำแหน่งเอาตอนที่ประเทศสุมความวุ่นวายมาหลายปีก่อนหน้า คิดจะหยิบฉวยพูดทำอะไรยากไปหมด แต่ก็นั่นแหละคิดแบบเป็นธรรมพรรคประชาธิปัตย์ในยุคก่อนหน้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการสั่งสมความอ่อนแอให้กับระบบการเมืองเช่นเดียวกัน
ปัญหาของคนไทยตอนนี้ มีส่วนที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าคือผลกระทบจากขบวนแดงหลุดโลกที่อาละวาดไม่เสร็จ และปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นคือสภาพความอ่อนแอของรัฐไทยทั้งระบบ
ต่อให้แม้ว ตู่ วีระ เหวง ถูกพระอินทร์จับโยนลงทะเลหายไปในพริบตา สิ่งที่เราท่านเผชิญอยู่ก็คือรูปธรรมตัวเป็น ๆ ของความอ่อนแอของรัฐไทย ทั้งในระบบการเมือง การบริหารปกครอง ตำรวจ ทหาร และที่สำคัญที่สุดคือปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจสังคม จนกระจุกรวยกระจาย-สองนคราประชาธิปไตยที่ดำรงอยู่
ต่อให้ไม่มีแม้ว เหวง ตู่ แต่ในอนาคตอันใกล้..หากมีคนเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมืองในแบบใดก็ตามต่อไปอีก โครงสร้างกลไกรัฐไทยปัจจุบันก็คงเป็นเมือเทศมะเขือเผาเหมือนเดิม
สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง !!
นี่คือโจทย์ใหญ่ของชาวไทยทั้งมวลที่ต้องตื่นรู้แล้วว่ารูปธรรมของกรุงแตกก่อนเสียกรุงที่ส่งสัญญาณให้เราจับต้องได้ทั้งแตงโม มะเขือเทศ มะเขือเผา เป็นอันตรายต่อประเทศนี้ชัดเจนแน่แล้ว
จะเรียกว่าปฏิรูปหรืออะไรก็แล้วแต่ผมชอบคำว่า “ยกเครื่องประเทศ” มากกว่าคำอื่น
อย่าให้เรื่องนี้เป็นภาระของหน่วยงานหรือบุคคลอื่นใดเลย...นี่เป็นวาระของคนไทยทุกคนก่อนที่จะถึงคราเสียกรุงจริง ๆ !!
ที่มา บัณรส บัวคลี่ 3 พฤษภาคม 2553
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น