วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

“เนวิน” COME BACK อำนาจใหม่ปล้นกลางแดด โหนกระแสป้องสถาบัน / โดย ASTV ผู้จัดการรายวัน 1 พฤษภาคม 2553

การออกมาให้สัมภาษณ์ของ “นายเนวิน ชิดชอบ” ผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงแห่งพรรคภูมิใจไทยด้วยการประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า พร้อมจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิตนั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญยิ่งต่อสถานการณ์การชุมนุมของม็อบเสื้อแดง

เพราะนับตั้งแต่ม็อบเสื้อแดงเริ่มชุมนุมมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ข่าวคราวของยี้ห้อยแห่งเมืองบุรีรัมย์ก็เงียบหายไปในกลีบเมฆ และไม่ได้เข้ามามีบทบาทเหมือนเมื่อครั้งที่ “อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง” นำม็อบเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทที่พัทยา หรือเมื่อครั้งสงกรานต์เลือดปีที่ผ่านมา

เขาเนรเทศตัวเองให้พ้นไปจากปัญหาด้วยการเดินทางไปที่ประเทศอังกฤษ เสมือนหนึ่งจะรู้ว่า รัฐบาลเสียเปรียบในการทำศึกครั้งนี้

แต่แล้วอยู่ๆ วันดีคืนดี เขาก็ปรากฏตัวอย่างเหนือความคาดหมายอีกครั้ง ดังนั้น

การกลับมาครั้งนี้ของ “คนชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมร” จึงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นการกลับมาพร้อมกับการเคลื่อนไหวเชิงรุกของ “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่กำลังหาช่องช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง

**ถอดรหัสการกลับมาของหมอผีเขมร

ก่อนที่นายเนวินจะออกมา....

ถ้าหากพินิจพิเคราะห์การชุมนุมของม็อบเสื้อแดงก็จะพบความจริงประการหนึ่งว่า ต้นเหตุแห่งความล้มเหลวของรัฐบาลนั้น เหนือจากความไม่เด็ดขาดของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีและ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ผู้บัญชาการทหารบกแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การแก้ปัญหากลุ่มคนเสื้อแดงไร้เดียงสาดังเช่นทุกวันนี้ก็คือ “กลุ่มอำนาจใหม่” หรือ “กลุ่มอำมาตย์ใหม่” ที่เข้า “เกียร์ว่าง” และลอยตัวเหนืออยู่ปัญหา

ทั้งๆ ที่พวกเขายึดครองเก้าอี้สำคัญๆ ในหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทหาร” และ “ตำรวจ” รวมกระทั่งถึงกระทรวงมหาดไทยที่มีอำนาจสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ขณะที่นายอภิสิทธิ์เองก็เกรงใจจนไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยทำอะไรสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลย เพราะกลุ่มอำนาจใหม่มีส่วนสำคัญยิ่งในการผลักดันให้เขาก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

หัวขบวนของกลุ่มนี้ก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พี่ใหญ่ของทหารกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ที่มีอำนาจล้นฟ้า เพราะผู้บัญชาการทหารบกก็เป็นคนของตัวเอง ยังดีที่น้องชายสุดที่รัก “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” พ้นไปจากอำนาจเสียก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วทั้งทหารและตำรวจก็ตกอยู่ในมือ “บิ๊กป้อม” ทั้งหมด

ทว่า ถึงแม้น้องชายจะไม่ได้เป็นใหญ่ในวงการตำรวจ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการกระชับอำนาจ เพราะคนที่มีสิทธิและมีอำนาจควบคุมการโยกย้ายแต่งตั้งก็ยังเป็นคนของกลุ่มอำนาจใหม่ โดยกระทำการผ่าน “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของเขา

เช่นเดียวกับกระทรวงมหาดไทยที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการทำความเข้าใจกับประชาชน โดยกระทำการผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ก็ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของกลุ่มอำนาจใหม่ นั่นคือ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ “นายเนวิน ชิดชอบ” เป็นผู้มีอำนาจตัวจริงเสียงจริงคุมอยู่

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่าสามเหลี่ยมแห่งอำนาจของรัฐบาลคือ ทหาร ตำรวจและมหาดไทย ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในมือของนายเนวิน นายสุเทพและพล.อ.ประวิตรทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อคนที่ถืออำนาจเข้า “เกียร์ว่าง” การจัดการกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายเสื้อแดงจึงไม่ขยับอย่างที่ควรจะเป็น

แต่แล้วเมื่อสถานการณ์ดูเหมือนจะเป็นใจกับรัฐบาลมากยิ่งขึ้นจากการลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเองของ “ประชาชนเสื้อหลากสี” แพร่กระจายไปทั่วประเทศ กลุ่มอำนาจใหม่ก็รับรู้ถึงแรงหนุนที่เข้ามาได้เป็นอย่างดี และตัดสินใจพลิกเกมด้วยการออกมา“โหนกระแส” เพื่อช่วงชิงคะแนนเสียงจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่เอาม็อบเสื้อแดงทันที

ดังจะเห็นได้จากการที่นายสุเทพเริ่มเปิดฉากด้วยการปล่อยแผนผังเครือข่ายขบวนการล้มเจ้าออกมา ตามต่อด้วยการที่นายเชน เทือกสุบรรณ น้องชายของนายสุเทพลุกขึ้นมาดิสเครดิตนายอภิสิทธิ์กลางที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ว่า “หากนายกฯทำไม่ได้ก็ให้ลาออกเพื่อให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน” จากนั้นนายเนวินก็เด้งรับด้วยการออกมารับบท “พระเอก” ดับบารมีของนายอภิสิทธิ์ที่กำลังเพลี่ยงพล้ำพร้อมประกาศโพล่งออกมาว่า “หากผู้ที่มีหน้าที่ไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะทำให้เกิดความชัดเจนในสังคม ถ้ามีความจำเป็น ในฐานะที่ผมเป็นคนไทยที่มีพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่เคารพสูงสุด ถ้ากฎหมายบ้านเมืองทำอะไรไม่ได้ และปรากฏความชัดเจนว่า มีกลุ่มคนที่มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสถาบัน ผมก็พร้อมที่จะไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องประชาชนที่มีความจงรักภักดีเพื่อปกป้องสถาบันด้วยชีวิต”

การเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายเนวิน แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พวกเขากลัวที่จะตกขบวนประวัติศาสตร์และกำลังโหนกระแสความจงรักภักดีของคนไทยเพื่อความได้เปรียบทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังคมต้องไม่ลืมก็คือ นายเนวินนั้นเป็นผู้สร้าง “ม็อบเสื้อแดง” ให้เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการจัดทำสื่อทางเลือก เช่น TTV MV1 และเว็บไซต์ รีพอตเตอร์ ออกมาตอบโต้กลุ่มผู้ขับไล่ นช.ทักษิณ

ดังนั้น จึงเป็นการสมควรแล้วที่นายเนวินจะต้องรับผิดชอบประดิษฐกรรมที่เขาก่อขึ้นมาให้เป็นมลภาวะของสังคม

กระนั้นก็ดี สังคมก็ยังมิอาจวางใจในการการปรากฏตัวของหมอผีเขมร เพราะอาจมีความเป็นไปได้ว่า น่าจะมีอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น กลุ่มเสื้อสีน้ำเงินอาจกำลังเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติงานอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง และอาจเป็นปฏิบัติการที่พร้อมทำให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์และม็อบเสื้อแดงของ นช.ทักษิณพินาศย่อยยับลงไปพร้อมๆ กัน ขณะที่กลุ่มเสื้อน้ำเงินของเขาสามารถช่วงชิงคะแนนนิยมไปเต็มๆ

**จับทัพมท.-ตั้ง “บิ๊กจุ๋ม”

กระชับอำนาจรับบท “ตาอยู่”

อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า การกลับมาของนายเนวินไม่ได้กลับมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เป็นการกลับมาหลังจากการกระชับอำนาจที่มีอยู่ในมือให้มีความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากขึ้น เพราะในวันเดียวกับที่เขาให้สัมภาษณ์เรื่องการปกป้องสถาบันด้วยชีวิตนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นใน “กระทรวงมหาดไทย” ที่พรรคภูมิใจไทยของเขายึดครองอยู่
นั่นก็คือการที่กระทรวงมหาดไทยเสนอขอโยกย้ายข้าราชการระดับสูงจำนวน 6รายคือ 1.นายพินิจ เจริญพานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองอธิบดีกรมการปกครอง 2.นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย 3. นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนเป็นอธิบดีกรมการปกครอง 4.นายวิเชียร ชวลิต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์เป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน 5.นายระผี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และนายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงษ์ รองอธิบดีกรมการปกครอง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ

แต่ตำแหน่งที่ต้องจับตามองที่สุดก็คือ การเด้งนายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ พ้นจากอธิบดีกรมการปกครอง และแต่งตั้ง “นายมงคล สุระสัจจะ” ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน

จริงอยู่การเด้งนายวงศ์ศักดิ์นั้น เหตุผลสำคัญคือ เขาไม่ตอบสนองฝ่ายการเมืองในโครงการประมูลเช่าคอมพิวเตอร์ระบบทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง มูลค่า 3,490.84 ล้านบาท รวมถึงเรื่องการทุจริตในการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ แต่ขณะเดียวกันการแต่งตั้งให้นายมงคลขึ้นมาอธิบดีกรมการปกครองแทนก็มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่น่าสนใจไม่น้อย

เพราะต้องไม่ลืมว่า เส้นทางชีวิตของนายมงคลนั้นไม่ธรรมดาและมีเสียงเล่าลือว่าเป็นสายตรงของหมอผีเขมร เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เขาเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์มาก่อน แถมยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนในตระกูลชิดชอบทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านอย่างแนบแน่น

มีการวิเคราะห์กันว่า การตั้งนายมงคลขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมการปกครองเป็น “การกระชับอำนาจ” ของนายเนวินในการที่จะต่อกรกับกลุ่มคนเสื้อแดงตามที่เขาประกาศออกมา รวมทั้งรับมือกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะต้องไม่ลืมว่า อธิบดีกรมการปกครองคือผู้มีอำนาจโดยตรงในการสั่งการไปถึง “นายอำเภอ” ทั่วประเทศให้ซ้ายหันขวาหันได้ตามความต้องการ

และนายอำเภอก็คือแขนขาที่มีน้ำหนักและพลังสูสีที่จะต่อกรกับบรรดานักการเมืองท้องถิ่น อบต. อบจ.ที่ผีเสื้อแดงเข้าสิงสู่อยู่เต็มบ้านเต็มเมืองในเวลานี้
นอกจากนี้ การผลักดันให้ “พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย” ขึ้นมาชิมลางการทำงานที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจใหม่ที่ผลักดันมาอย่างยาวนานและเพิ่งจะประสบความสำเร็จสมดังใจต้องการ

ทั้งนี้ เนื่องจากย้อนหลังกลับไปดูสถานการณ์การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหลังพ้นยุค “ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” จะเห็นได้ว่า มีการหักกันอย่างรุนแรงระหว่างนายอภิสิทธิ์และกลุ่มอำนาจใหม่ที่ทั้ง พล.อ.ประวิตร นายชวรัตน์ซึ่งก็คือร่างทรงขอนายเนวินและนายสุเทพที่ให้การหนุนหลัง พล.ต.อ.จุมพลอย่างเต็มที่ ขณะที่นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะใช้บริการของ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” ซึ่งในที่สุดนายอภิสิทธิ์ก็ไม่สามารถทัดทานอำนาจของกลุ่มอำนาจใหม่ได้ จึงแก้เกมด้วยการตั้ง พล.ต.อ.ปทีปเข้ามาเป็นรักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทน

กระทั่ง พล.ต.อ.ปทีปไม่สามารถสั่งการตำรวจให้จัดการม็อบเสื้อแดงได้ โอกาสในการผลักดันให้ พล.ต.อ.จุมพลเข้ามาทดลองงานก่อนเสนอขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตัวจริงจึงเกิดขึ้น
แน่นอน งานนี้ นายอภิสิทธิ์ไม่สามารถทัดทานอำนาจของกลุ่มอำนาจใหม่ได้ เพราะกาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า พล.ต.อ.ปทีปไม่ใช่ของจริง ยิ่งเมื่อมีแรงสนับสนุนอย่างพร้อมเพรียงกันของกลุ่มอำนาจใหม่ ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.ประวิตร นายสุเทพ รวมกระทั่งถึง พล.อ.อนุพงษ์ที่เป็นเพื่อนเตรียมทหาร 10 ด้วยกัน

ดังนั้น ณ เวลานี้นายอภิสิทธิ์จึงกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มีอำนาจสั่งการอะไรอยู่ในมือของตนเอง เนื่องเพราะในเวลานี้คนของกลุ่มอำนาจใหม่ได้ยึดครองเก้าอี้สำคัญๆ เอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเรียบร้อยแล้ว

นี่คือการยึดอำนาจหรือการรัฐประหารเงียบที่นายอภิสิทธิ์จำเป็นต้องจำยอมอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000059944

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น