อาจจะช้าไปหน่อย แต่ก็ควรกล่าวถึง กรณีนายใจ อึ๊งภากรณ์ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งหลบหนีคดีไปยังอังกฤษ ได้ไปโผล่ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในโอกาสที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและศิษย์เก่าออกซ์ฟอร์ด ไปกล่าวปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ตามคำเชิญของเจ้าภาพ ซึ่งเป้าหมายของนายใจก็คงหวังจะใช้เวทีนี้โจมตีประเทศไทยเรื่องกฎหมายหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ และคงหวังฉีกหน้านายอภิสิทธิ์
หลังกล่าวปาฐกถาเสร็จ เป็นช่วงเปิดให้ถาม (การกล่าวปาฐกถาและการถาม-ตอบ ใช้ภาษาอังกฤษ) ปรากฏว่านายใจ ซึ่งใส่เสื้อแดงแปร๊ดพร้อมตีนตบอีก 1 อัน มานั่งฟังอยู่ด้วย ก็ได้ถามเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นายอภิสิทธิ์ตอบว่า "ก่อนอื่นคุณต้องเคลียร์ข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อนว่า การดำเนินคดีกับผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ได้เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้เท่านั้น แต่หลายคดีก็ถูกดำเนินการโดยรัฐบาลก่อนคือรัฐบาลทักษิณ เช่นกรณีของนายจักรภพ เพ็ญแข การดำเนินคดีก็เกิดขึ้นในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน ตอนที่คุณทักษิณอยู่ในอำนาจผมก็ถูกเขาฟ้องด้วยคดีหมิ่นประมาทเช่นกัน ถ้าคุณต้องการเป็นประชาธิปไตยคุณต้องเคารพกฎหมาย กรณีของคุณที่ถูกดำเนินคดีนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะคุณวิจารณ์การรัฐประหาร แต่คุณถูกดำเนินคดีเพราะข้อกล่าวหาแบบเฉพาะเจาะจงที่คุณกล่าวหาสถาบัน กษัตริย์ ดังนั้น คุณต้องเคลียร์ข้อมูลตรงนี้ให้ถูกต้อง อย่าพยายามก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"
คำตอบของนายอภิสิทธิ์มีต่อไปว่า "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่จำเป็นว่าจะแสดงถึงความไม่มีประชาธิปไตยเสมอไป เพราะในประเทศยุโรปบางแห่งที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) ก็มีกฎหมายลักษณะนี้เช่นกัน ถ้าคุณกล่าวหาคนอื่นในลักษณะเดียวกันนี้คุณก็ต้องถูกฟ้อง ผมเองก็ถูกนักการเมืองหลายคนในรัฐบาลที่แล้วฟ้องร้องเมื่อไปวิจารณ์เขา กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ลักษณะ เดียวกับที่กฎหมายหมิ่นประมาท (libel law) มีไว้เพื่อปกป้องบุคคลธรรมดา ความแตกต่างก็คือว่าสถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่เป็นกลาง อยู่เหนือการฝักใฝ่ทางการเมือง (above partisan) เป็นสถาบันที่คนไทยเคารพรักเทิดทูนและเป็นเสาหลักแห่งความมั่นคงของประเทศ"
อภิสิทธิ์ อธิบายต่อไปว่า "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ได้ต้องการให้สถาบันกษัตริย์เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องประชาชนด้วยตนเอง ดังนั้น เมื่อมีการหมิ่นประมาทเกิดขึ้น การดำเนินคดีจะต้องทำผ่านตำรวจ มีหลายคนที่ถูกดำเนินคดีลักษณะนี้แต่หลายคนเขาอยู่ต่อสู้คดีไม่ได้หนีหายไป ไหน ผมเองเมื่อถูกใครฟ้องก็ไม่หนีไปไหน (เมื่อพูดถึงตอนนี้นายใจได้ตะโกนสวนขึ้นมาว่า ผมก็ไม่ได้หนี นายอภิสิทธิ์ก็ตอบว่า ผมก็ไม่ได้พูดว่าคุณหนี ทำให้ผู้ฟังปรบมือเสียงดังพร้อมกับหัวเราะ เนื่องจากคงขำนายใจที่อ้างว่าไม่ได้หนีแล้วทำไมมานั่งอยู่ที่นี่)
นายก รัฐมนตรีเคลียร์ข้อข้องใจของนายใจต่อไปว่า "คุณไม่ควรมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น คุณต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทยและต่อสู้ภายใต้กฎหมายไทยเช่นเดียวกับคนไทยคน อื่นๆ ผมเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ดูแลเรื่องการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพอย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกใช้ไปในทางมิชอบและมีความยุติธรรม ผมกำลังหารือกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าหนทางใดจะดีที่สุดในการบังคับใช้ กฎหมายนี้"
นายอภิสิทธิ์ตบท้ายว่า "สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า กรุณาเลิกดึงสถาบันกษัตริย์ลงมาอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง ควรรักษาสถาบันนี้ที่คนไทยเคารพเทิดทูนให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง หากคุณมีปัญหากับผมให้มาถกเถียงกับผมโดยตรง แต่โปรดอย่าดึงสถาบันลงมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง" เมื่อกล่าวจบผู้ฟังในห้องประชุมปรบมือเสียงดังอย่างยาวนานให้กับนาย อภิสิทธิ์ และมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนอย่างถูกใจว่า yes
หากจะสรุป ผลการชกครั้งนี้ คงต้องบอกว่า คนอายุ 54 ปี (แต่ใจเด็ก) อย่างนายใจ แพ้ (น็อค) เหตุผลของคนอายุย่าง 45 ปีอย่างนายอภิสิทธิ์
ที่มา http://www.facebook.com/note.php?note_id=384382112226&id=878480051&ref=mf
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น