วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แอ๊บแดง...แสลงใจ / โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 29 เมษายน 2553


  • อยากแดงใจจะขาด แต่ยังไม่กล้าเปิดตัว

  • เผยความน่ากลัวของบรรดาอีแอบสาวกทักษิณ ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ ให้สังคมแบบไม่รู้ตัว

  • ต่างกันที่ภายนอก เหมือนกันที่เนื้อใน และเป้าหมาย แทบทั้งหมดใช้อารมณ์ยืนเหนือเหตุผล


ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคาร (27 เม.ย.) ที่ผ่านมา สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ขอให้ผู้บริหารกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อหาช่องทางกฎหมายยกเลิกสัญญาสัมปทานดาวเทียมกับบริษัทไทยคม

เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทไทยคม ไม่ยอมดำเนินการใดๆ ที่ลูกค้าของไทยคมมีการใช้สัญญาณแล้วกระทบกับความมั่นคง อ้างว่าทำแล้วแต่ปิดไม่ได้ เช่นเดียวกับกรณีของบริษัท กสท โทรคมนาคม ที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือไปหลายครั้ง ทั้งได้ไปพบ ไปขอร้องให้ปิดเว็บไซต์ที่กระทบกระเทือนสถาบันเบื้องสูงและเป็นปัญหาต่อความมั่นคง แต่ กสทฯ ไม่ให้ความร่วมมือ

"ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม กสทฯ กลัวม็อบมากกว่ากลัวกฎหมาย" รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงว่าอย่างนั้น

หรือว่าจริงๆ แล้ว กสทฯ ไม่ได้กลัวทั้งม็อบทั้งกฎหมาย แต่กลัวใจตนเองต่างหาก เพราะหากล้วงลงไปหาความจริงแล้วอาจพบว่า แท้จริงแล้วบรรดาหัวแถวใน กสทฯ เป็นพวก "แอ๊บแดง" กันแทบทั้งนั้น และบรรดาอีแอบเหล่านี้ไม่ได้ขีดวงอยู่เพียงแค่กระทรวงนี้กระทรวงเดียวเท่านั้น แต่แพร่กระจายราวกับโรคระบาดไปสู่ผู้คนหลายต่อหลายวงการ ทั้งสื่อมวลชน แวดวงวิชาการ นักธุรกิจ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ฯลฯ

ความน่ากลัวของบรรดาอีแอบเหล่านี้ก็คือ หากเป็นสื่อมวลชนผู้บริโภคข่าวจะไม่รู้เลยว่าได้รับข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียว และผู้รับสารจะเชื่อข้อมูลเหล่านั้นเพราะคิดว่าสื่อนั้นเป็นกลาง (อ่านข่าวประกอบ ผลประโยชน์ต่างตอบแทน สร้างสื่อแอ๊บแดงที่ช่อง 3) แต่ถ้าเป็นนักวิชาการแอบ ก็จะถ่ายทอดความรู้ผิดๆ หรือเอาความคิดผิดที่ตนศรัทธาไปเผยแพร่ยังนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ด้วยการปลูกฝังความคิด ความเชื่อที่ผิดเพี้ยนโดยผู้ฟังไม่รู้ตัว แต่ถ้าเป็นทหาร ตำรวจ ก็อย่างที่รู้ที่เห็นกันอยู่ว่าบ้านเมืองที่ไม่มีขื่อมีแปปล่อยให้แดงป่วนกรุงแบบปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร

บรรดาแอ๊บแดงเหล่านี้จึงเป็นที่แสลงใจของบรรดาประชาชนผู้รักความจริง และต้องการเห็นประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสงบ สันติ ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขยิ่งนัก

ขณะเดียวกัน จากกระแสการต่อต้านของประชาชนที่ต้องการความสงบสุข ทั้งของบรรดาเสื้อหลากสี และกลุ่มอื่นๆ อีกมากมายในสังคม ได้ออกมาตอบโต้บรรดาแดงตัวพ่อ ตัวแม่ ด้วยการบอยคอตไม่ซื้อสินค้าของพวกเขาเหล่านั้น ทำให้บรรดาแดงเหล่านี้จึงต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ไม่เปิดเผยธาตุแท้ และความคลั่งไคล้ในลัทธิแดงนิยมของตนออกมา กลายเป็นพวกแอ๊บแดงไปโดยปริยาย

นักวิชาการแอ๊บแดง
หวั่นการเมืองพลิกขั้ว

นักวิชาการใช้เรียกบุคคลที่มีตำแหน่งทางวิชาการเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับความนับหน้าถือตาในวงสังคมด้วยคุณวุฒิความรู้ที่สร้างความน่าเชื่อถือ หากกลุ่มคนดังกล่าวมีความเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาจะเป็นที่จับตาของสังคมทันที เพราะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือในเรื่องนั้นๆ ได้สูง

โดยเฉพาะบทบาททางการเมืองในสังคมไทย นักวิชาการจะมีบทบาททางการเมืองสูง แม้จะไม่ชัดเจนในตำแหน่งที่ประกาศต่อสาธารณชนมากนัก แต่ตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ก็ตามจะต้องมีนักวิชาการนั่งเป็นที่ปรึกษาด้วยความรู้ ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ นักวิชาการจึงค่อนข้างมีบทบาทควบคู่ไปกับการเมืองไทยในทุกยุคสมัย

และกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่ขณะนี้ พบว่ามีนักวิชาการเข้ามามีบทบาทในการเคลื่อนไหวมากกว่าทุกยุคสมัยที่ผ่านมา

หากแต่ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ แตกต่างจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านๆ มา ที่พบว่าในทุกวงการยังมีกลุ่มที่แอบแฝงหรือไม่แสดงตัวตนออกมา หรือแสดงความชัดเจนว่าจะอยู่ข้างใดหรือเห็นด้วยในแนวคิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แม้แต่การแสดงตัวเป็นกลางเพื่อเรียกร้องสันติและประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง พฤติกรรมดังกล่าวนี้ หากโฟกัสเฉพาะในแวดวงนักวิชาการพบว่ามีตัวเลขอยู่จำนวนหนึ่ง

"ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์" ได้ทำการค้นหาสาเหตุ ว่านักวิชาการกลุ่มดังกล่าวที่เรียกว่า "นักวิชาการแอ๊บแดง" นั้น มีพฤติกรรมเช่นใด และเป้าหมายของนักวิชาการแอ๊บแดงกลุ่มนี้ทำไปเพื่อสิ่งใด

แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการวิชาการ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันนักวิชาการที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองมีทั้งกลุ่มที่แสดงตัวชัดเจนว่าสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือให้การสนับสนุนฝ่ายคนเสื้อแดง กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่แสดงตัวชัดเจนแต่พอจะรู้บ้าง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่แอบแฝงหรือแอบให้การสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงนี้สามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มนักวิชาการที่สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยมีตำแหน่งบทบาททางการเมืองสมัยที่พรรคไทยรักไทยหรือพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันเรืองอำนาจ ที่ส่วนใหญ่นั่งตำแหน่งสำคัญๆ หรือตำแหน่งที่ปรึกษา 2.กลุ่มนักวิชาการที่อายุปานกลางหรือประมาณ 35 ปี ที่เพิ่งมีดีกรีดอกเตอร์หมาดๆ แต่ขาดความคิดความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ทางการเมืองที่ไม่มากพอแอบให้การสนับสนุนอยู่

กับแนวคิดของนักวิชาการแอ๊บแดงนี้ พบว่าเป็นแนวคิดหรือการแสดงออกทางความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวมานาน ไม่ใช่เพิ่งมาเปลี่ยนแนวคิดในยุคสมัยที่แกนนำเสื้อแดงจัดตั้งทัพพลังคนเสื้อแดงในช่วงที่ผ่านมา แต่เป็นแนวคิดที่ฝังรากลึกมาช่วงความสัมพันธ์ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยที่นักวิชาการเข้าไปมีบทบาทในขณะนั้น

แม้สมัยที่พรรคไทยรักไทยมีอำนาจทางการเมือง การสร้างฐานนักวิชาการนั้นไม่มากเมื่อเทียบกับกลุ่มข้าราชการ แต่จริงๆ มีแนวคิดที่จะทำแต่ไปไม่ถึงเพราะเน้นด้านอื่นไปก่อน แต่เห็นการสร้างเครือข่ายการเข้ามาเกี่ยวโยงกับมหาวิทยาลัยมากขึ้น การนั่งตำแหน่งที่ปรึกษาก็มาจากนักวิชาการเป็นเครือข่ายกัน

ขณะเดียวกันก็มีนักวิชาการแอ๊บแดงรวมถึงนักวิชาการที่แสดงตัวตนสนับสนุนจำนวนหนึ่งทยอยหรือถอยล่าออกมาก็มี และเงียบหายไปในการแสดงความคิดเห็นกับสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งกลุ่มนักวิชาการเหล่านี้มองเห็น "วิธีการ" ที่กลุ่มคนเสื้อแดงทำนั้นไม่เหมาะสม เพราะเริ่มต้นจะดูที่เจตนา ดูที่เป้าหมาย พอถึงขั้นตอนการปฏิบัติก็ต้องอยู่ในกรอบของความเหมาะสมด้วย ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรแล้วไม่คำนึงถึงวิธีการ

"กลุ่มนักวิชาการแอ๊บแดงนั้นจะมาบอกว่ามีจำนวนเท่าไหร่นั้น ไม่สามารถชี้ชัดได้ เพราะไม่มีการลงทะเบียนหรือตรวจสอบกัน แต่ถ้าจะให้คาดคะเนแล้วมีไม่มาก หรือถ้ามากก็ 50/50"

อารมณ์เหนือเหตุผล
ความเห็นส่วนบุคคล

หากมองกันถึงเป้าหมายของกลุ่มนักวิชาการที่ให้การสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ในความคิดเห็น คือแสดงออกทางด้านอารมณ์และใช้เหตุผลบนพื้นฐานของอารมณ์ คือ "ผมชอบแบบนี้" คือเหตุผลถูกครอบงำด้วยอารมณ์ หากใช้เหตุผลจริงต้องวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างครบถ้วน บนพื้นฐานเหตุปัจจัยที่เหมาะสม บางครั้งเป็นการมองเหตุผลเพียงด้านเดียวแต่ไม่รอบด้าน และปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้งมองไกลถึงผลประโยชน์ในอนาคตที่จะได้รับ แต่ก็รักษาตัวเองไม่แสดงตัวมากนักหากการเมืองไม่พลิกขั้ว

กระบวนการการแสดงการสนับสนุนของนักวิชาการ ถ้ามองในกระบวนการการศึกษานั้นมีข้อพึงระวังโดยเฉพาะเรื่องการเมืองที่จะแสดงความคิดเห็นหรือโน้มน้าว ปลุกปั่น ยุยง นิสิต นักศึกษาทำได้ยากมาก แม้แต่การแสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะโดยสภาพปัจจุบันเป็นเสรีภาพไม่เหมือนสมัยก่อนอย่าง 16 ตุลา หรือ 19 ตุลา ที่นักศึกษาสนใจการเมือง แตกต่างกับปัจจุบันที่นักศึกษาไม่สนใจการเมืองเพราะคนถูกหล่อหลอมมาด้วยทุนนิยมสมัยใหม่ที่จะมองหาความสนุก มองหาความบันเทิงแสดงถึงความอ่อนแอของพลังนักศึกษา

ดังนั้น วิธีการที่นักวิชาการเหล่านี้เคลื่อนไหว จะเป็นการทำส่วนบุคคลมากกว่า ไม่สามารถทำเป็นกลุ่มหรือเครือข่าย ดังนั้นกระบวนการคือพยายามเปิดตัวว่าอยู่ฝ่ายไหน หรือคุยกับกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกัน หรือลักษณะการเข้าไปช่วยเหลือของกลุ่มคนเสื้อแดง แม้ไม่ประกาศตัว และแสดงออกทางงานเขียนในกลุ่มดังกล่าว เพราะงานเขียนจะมาเขียนในภาคมหาวิทยาลัยไม่ได้

แต่อนาคตหากภาคการศึกษาโตขึ้นเช่นมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ทุนนิยมเข้ามาให้การสนับสนุน ให้ทุนนักศึกษาหรืองบประมาณรัฐเข้ามามากๆ แต่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยออกนอกระบบก็สามารถกันทุนจากการเมืองไปได้ส่วนหนึ่ง แตกต่างจากภาคธุรกิจยุคปัจจุบัน ภาคธุรกิจอิงกับการเมืองและแสดงออกชัดเจนมากขึ้น เพราะเป็นเรื่องของทุนนิยม มาจากประชาธิปไตยรวมกับเสรีนิยม แต่การศึกษายังไม่ถูกดึงเพราะเป็นภาควิชาการ เป็นการให้ความรู้ ความจริง ดังนั้นโดยโครงสร้างจึงไม่ถูกนำไปรวมกับการเมืองเช่นภาคธุรกิจ

แหล่งข่าวรายเดิมมองว่า ความคิดเห็นทางการเมืองที่สุดโต่งของกลุ่มคนนักวิชาการที่แอ๊บแดงนั้นจะสร้างความน่าเชื่อถือกับประชาชนทั่วไปหรือไม่นั้น เขามองว่าไม่ว่าใครแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งน่ากลัวทั้งนั้น เช่นนักธุรกิจบางคน หรือศิลปินดารา ที่เข้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ทำให้ประชาชนเฮโลกันเพราะชื่นชอบ ศรัทธา ในตัวบุคคลได้และจะชักจูงได้ง่าย ฉะนั้น ความน่ากลัวในการแสดงออกทางความคิดไม่ใช่อยู่เฉพาะกลุ่มนักวิชาการแต่เป็นสภาพของบุคคลมากกว่า

เช่นเดียวกับการที่จะมาบอกว่ามหาวิทยาลัยใดหรือคณะใดฝักใฝ่หรือแอบให้การสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นไม่ชัด เพราะไม่เหมือน 14 ตุลา 19 ตุลา ที่เห็นว่าธรรมศาสตร์ชัดเจน แต่ปัจจุบันไม่มีที่ใดโดดเด่น แต่ต้องไปดูที่ตัวบุคคล ฐานะ ตำแหน่ง ที่น่าเชื่อถือ หรือบุคคลระดับสูงก็ดูไปถึงองค์กร เช่นการที่ไม่สามารถบอกได้ว่าอาจารย์ที่ไปช่วยรัฐบาลเขาชื่นชอบรัฐบาล เพราะโดยปรกติวิชาการโดยการศึกษาไม่ได้เข้าข้างใครโดยหลักการ เนื้อหา แต่ตัวบุคคลคุมยากที่จะแสดงออกหรือหยิบอะไรไปใช้ประโยชน์

ขณะที่ประชาชนบางคนก็ไม่ได้เชื่อนักวิชาการทั้งหมดเพราะคุยไม่รู้เรื่อง เหตุผลที่ใช้ประกอบ ไม่ได้ใช้รอบด้านเป็นการใช้เหตุผลด้านเดียวทำให้ครอบงำความรู้สึก เพราะนักวิชาการนั้นๆ ใช้อารมณ์ครอบงำเหตุผลและนำเหตุผลมาแสดงออก ปัญหานั้นก็คุยไม่รู้เรื่อง เพราะรายละเอียดปัญหาไม่ครบ คนไปตีความเอาเอง อารมณ์ก็เข้ามาเกี่ยว คนพูดไม่ใช้เหตุใช้ผลชัดเจน คนฟังยิ่งไปกันใหญ่

นักธุรกิจใหญ่แอบหนุนแดงอุดร

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจังหวัดอุดรธานีกลายเป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดงไปเสียแล้ว เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดการชุมนุมใหญ่แต่ละครั้งของกลุ่ม นปช. ก็มักจะเรียกใช้บริการพลพรรคคนเสื้อแดงจากจังหวัดอุดรฯ เสมอมา

ว่ากันว่าประมาณกว่า 70% ของคนในอุดรที่อยู่รอบนอกกลายเป็นคนเสื้อแดงไปแล้ว ขณะที่ทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการ (ตำรวจ) พ่อค้า ประชาชน ที่อยู่ในตัวเมืองประมาณกว่า 50% ก็เป็นคนเสื้อแดงอย่างเปิดเผย

สอดคล้องกับแหล่งข่าวระดับสูงในจังหวัดอุดรธานีออกมายอมรับว่าปัจจุบันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงขยายวงกว้างไปทั้งจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาจะสวมใส่เสื้อแดงเฉพาะเมื่อมีการชุมนุมในแต่ละครั้งเท่านั้น แต่ปัจจุบันอิทธิพลของ "ความเชื่อ" ส่งผลทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาแสดงสัญลักษณ์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสวมเสื้อสีแดง โพกผ้าสีแดงไว้บนหัวบ้าง พันคอบ้าง ขณะเดียวกันหน้าบ้านก็จะประดับธงสีแดงรวมไปถึงรถยนต์ก็ติดสติกเกอร์สีแดง หรือแม้แต่ตามตลาดสดก็มักจะเห็นแม่ค้าพ่อค้าเปิดวิทยุชุมชนคนสีแดงเสียงดังไปทั่วตลาด

"ความเชื่อ 3 ประการ" คือสิ่งที่ทำให้คนกลุ่มเสื้อแดงในอุดรขยายตัวในวงกว้าง ความเชื่อแรก คือ เชื่อว่าทักษิณจะกลับมา ความเชื่อที่สอง เชื่อว่าการต่อสู้ของกลุ่ม นปช.จะชนะ และความเชื่อที่สาม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญคือมีความนิยมชมชอบ เชื่อมั่นในตัวทักษิณเป็นทุนอยู่แล้ว โดยมีแกนนำอย่าง "ขวัญชัย ไพรพนา" ประธานชมรมคนรักอุดรฯ เป็นตัวเชื่อมโยงเครือข่ายให้สัมพันธ์กัน และมีกลุ่มทุนที่คอยสนับสนุนพลพรรคคนเสื้อแดงทั้งเปิดตัวและแบบลับๆ อยู่เบื้องหลัง

เส้นทางการเงินในการระดมทุน ว่ากันว่าถูกส่งผ่านมาจากชมรมคนรักอุดรเป็นหลัก โดยใช้กลยุทธ์นำแบรนด์ของทักษิณมาเป็นตัวช่วยเพื่อให้กลุ่มคนที่มีความเชื่ออยู่แล้วให้การสนับสนุนด้านการเงิน ขณะเดียวกันก็ใช้ความสัมพันธ์ของตัวแกนนำเองที่เคยให้ผลประโยชน์กับกลุ่มทุนมาแล้ว โดยมีหลากหลายรูปแบบของการระดมทุน ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานบ่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดผ้าป่าเพื่อซื้อที่ให้ทักษิณสร้างบ้านในจังหวัดอุดรซึ่งได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในอุดรฯ จึงมีออกมาอย่างต่อเนื่องและเริ่มมีความชัดเจนเปิดตัวกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ความรุนแรงและความก้าวร้าวของคนเสื้อแดงในอุดรฯ กลายเป็นปมปัญหาที่รัฐบาลยากเกินจะเยียวยา เพราะมีกลุ่มทุนที่คอยให้การสนับสนุนด้านการเงินนั้นอยู่เกือบทั้งจังหวัด ขณะเดียวกันคนที่ไม่ใช่เป็นคนเสื้อแดงจะไม่แสดงตัวตนออกมาเป็นปรปักษ์กับคนเสื้อแดงเลย เนื่องจากไม่ต้องการมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและความปลอดภัย

"ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับคนเสื้อแดง เพราะนั่นหมายถึงชีวิตและทรัพย์สินอาจจะไม่ปลอดภัย การหลีกเลี่ยงไม่สนทนาเรื่องการเมืองจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด" แหล่งข่าวระดับสูงในจังหวัดอุดร กล่าว พร้อมกับเสริมอีกว่า ณ วันนี้คนเสื้อแดงในอุดรฯ กล้าประกาศเปิดเผยตัวตนมากขึ้น การเป็นอีแอบอยู่เบื้องหลังให้การสนับสนุนด้านการเงินจึงมีเพียงแค่นักธุรกิจระดับใหญ่ๆ เท่านั้น

ว่ากันว่านักธุรกิจระดับกลางและระดับล่างมีการประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นคนเสื้อแดง ขณะที่ข้าราชการอย่างตำรวจในพื้นที่ต่างก็สวมใส่เสื้อแดง แม้แต่ข้าราชการครูโรงเรียนประถมและมัธยมส่วนใหญ่ต่างก็เป็นคนเสื้อแดงแทบทั้งสิ้น เรียกได้ว่าพื้นที่ในอุดรฯ หันซ้ายแลขวาก็เจอแต่คนเสื้อแดง

แม้ว่าส่วนใหญ่คนในพื้นที่จังหวัดอุดรจะมีการประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นคนเสื้อแดงก็ตาม แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาว่าเป็นแดงจ๋า ดังนั้น หลักการสังเกตง่ายๆ ของคนกลุ่มนี้คือ เมื่อมีการสนทนากันคนกลุ่มนี้จะแสดงความมั่นใจของตัวตนออกมาแบบไม่มีเหตุมีผล และที่สำคัญคือกิริยาความก้าวร้าวที่รุนแรงมักจะพบได้ในคนกลุ่มนี้

นอกจากนี้สื่อต่างๆ ทั้งวิทยุชุมชน สื่อสิ่งพิมพ์ท้องถิ่นที่ไม่ใช่คนเสื้อแดงต่างพยายามหลีกเลี่ยงกระแสข่าวการเมืองเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อธุรกิจและความปลอดภัยของตัวเอง ดังนั้น การนำเสนอข่าวสารจึงเป็นไปแบบหวานอมขมกลืนหรือเพียงแค่ไม่ให้ไปชนกับคนเสื้อแดงก็พอแล้ว

ย้อนกลับมาดูยุทธศาสตร์ของการขับเคลื่อนกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่เปิดเผยตัวเอง ว่ากันว่ามีอยู่หลายกลุ่มโดยเฉพาะนักธุรกิจใหญ่ในอุดรฯ ที่หากเอ่ยชื่อบริษัทห้างร้านก็จะเป็นที่รู้จักแทบทั้งสิ้น กลุ่มคนเหล่านี้จะคอยให้การสนับสนุนด้านการเงินโดยมีเส้นทางการเงินในรูปแบบการบริจาคเมื่อมีการจัดงานต่างๆ ของชมรมคนรักอุดรฯ ขึ้นมาแต่ละครั้ง โดยเงินสนับสนุนดังกล่าวถูกนำไปใช้ขับเคลื่อนการชุมนุมเพื่อระดมฝูงชนให้ได้จำนวนมากที่สุด ทั้งนี้มีการใช้วิทยุชุมชนเป็นสื่อนำเสนอพร้อมทั้งขอรับบริจาคเงินเข้าไปสนับสนุน เรียกได้ว่ามีเงินไหลเวียนเข้าสู่ชมรมคนรักอุดรฯ อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ข้าราชการที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกลับทำหน้าที่ปล่อยเกียร์ว่างโดยไม่สนใจว่าคนเสื้อแดงจะมีกิจกรรมความรุนแรงก้าวร้าวอย่างไรก็จะให้การสนับสนุนและไม่ขัดขวาง ส่วนครูอาจารย์ทั้งโรงเรียนประถมและมัธยมส่วนใหญ่ต่างก็เป็นกระบอกเสียงให้กับคนเสื้อแดง โดยให้ข้อมูลปลูกฝังเด็กนักเรียนของตัวเองให้มีความเชื่อมั่นการต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดง

การคืบคลานขยายตัวของขบวนการอีแอบคนเสื้อแดงนับวันจะทวีรุนแรงและฝังรากลึกไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไปไม่เว้นแม้แต่โรงเรียน ซึ่งโมเดลของจังหวัดอุดรธานีคือกรณีที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดและเป็นพื้นที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน ขณะเดียวกัน หากภาครัฐยังขืนปล่อยให้อีแอบแดงขับเคลื่อนกระบวนการต่อไปและไม่จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งเสียแต่วันนี้ เชื่อได้ว่ารัฐบาลต้องเจอกับปัญหาภัยความมั่นคงแบบไม่มีที่สิ้นสุดอย่างแน่นอน

*************

ผลประโยชน์ต่างตอบแทน
สร้างสื่อแอ๊บแดงที่ช่อง 3

การล่มสลายของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เมื่อเดือนมีนาคม 2550 อาจทำให้หลายคนคิดว่า นั่นคือจุดจบของสื่อโทรทัศน์ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของทักษิณ ชินวัตร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เลย สื่อโทรทัศน์ที่ฝักใฝ่ ผูกพัน และโยงใยกับเครือข่ายทักษิณ ยังไม่ตาย แต่กลับยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเก่า ภายใต้ชายคา สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3

ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างทีวีสีช่อง 3 กับระบอบทักษิณ เป็นการสานกันแน่นแฟ้นระหว่างทักษิณ ชินวัตร กับอดีตผู้บริหารช่อง 3 ประชา มาลีนนท์

ประชา มาลีนนท์ รู้จักมักคุ้นกับทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างดี ก่อนที่ทักษิณจะเข้ามาเล่นการเมือง ข้อมูลจากผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ เล่าว่า นอกจากประชาจะมีบทบาทโดยตรงในการบริหารไทยทีวีสีช่อง 3 ให้พ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2527 ดึงช่อง 3 ออกมาจากเจ้าของเดิม กลุ่มเอเชียทรัสต์ ที่ล้มละลายไปได้เท่านั้น ในธุรกิจบันเทิงอื่นๆ ประชาก็ได้สร้างความสำเร็จไว้เช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การร่วมทุนกับค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ไทยยักษ์ใหญ่ไฟว์สตาร์ ของ เกียรติ เอี่ยมพึ่งพร จัดสร้างภาพยนตร์เรื่อง "บ้านทรายทอง" โดยมี รุจน์ รณภพ เป็นผู้กำกับการแสดง และจารุณี สุขสวัสดิ์ นำแสดง ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จมากทางการตลาด ทำรายได้สูงถึง 20 ล้านบาท ในช่วงปี 2524 และมีการจัดจำหน่ายบ้านทรายทองออกไปทั่วประเทศเหมือนภาพยนตร์ทุกเรื่องของไฟว์สตาร์

ในสายเหนือ วิศิษฐ์ มิ่งวัฒนบุญ เจ้าของพูนทรัพย์ฟิล์ม เป็นบุ๊กเกอร์สายเหนือ หนังไฟว์สตาร์ทุกเรื่องเฉพาะสายเหนือต้องขายให้กับพูนทรัพย์ฟิล์มเท่านั้น ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีอาชีพทำธุรกิจโรงภาพยนตร์ในเชียงใหม่ เดินทางมาขอซื้อบ้านทรายทองกับเกียรติ เอี่ยมพึ่งพร ถึงกรุงเทพฯ เพื่อนำไปฉายในโรงภาพยนตร์สายเหนือ จึงต้องประสานไปกับพูนทรัพย์ฟิล์มอีกต่อหนึ่ง ซึ่งการจัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้เอง ส่งผลให้ ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเงินล้านก้อนแรกในชีวิต ที่จะว่ามีส่วนมาจาก ประชา มาลีนนท์ ก็คงไม่ผิด

ช่วงเวลาต่อมาเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ออกจากธุรกิจภาพยนตร์ หันไปทำบริษัทตลาดซื้อขายผลผลิตทางการเกษตรล่วงหน้า จัดตั้งบริษัท ชื่อ อัพไทม์ โดยมี คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ดามาพงศ์) บริหารคู่กับสุวิมล ภรรยาของวิศิษฐ์ มิ่งวัฒนบุญ แต่สุดท้ายบริษัท อัพไทม์ ก็ไปไม่รอด และผู้ที่เข้ามาเทกโอเวอร์โอบอุ้มกิจการต่อ ก็ไม่ใช่ใคร ประชา มาลีนนท์ นั่นเอง

ประชา มาลีนนท์ ยังให้ความช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร ต่อมาเมื่อทักษิณ ลงเล่นการเมืองและก่อตั้งพรรคการเมือง ประชา มาลีนนท์ ถือเป็นกลุ่มทุนใหญ่ที่ให้การสนับสนุนแก่ทั้งพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ได้รับมอบหมายให้จัดหาทุนเพื่อดูแลการเลือกตั้งของภาคกลางและภาคเหนือตอนบน โดยเริ่มจากจังหวัดพิษณุโลกไปถึงพะเยา

บทบาทผู้ให้ของประชา เปลี่ยนไปเป็นผู้รับบ้าง เมื่อทักษิณสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ ประชา มาลีนนท์ ที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจมาเป็นอย่างดี ก็ได้รับการตอบแทนจากทักษิณในเวทีการเมืองบ้าง เริ่มจากการเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อปี 2544, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี 2545, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อปี 2548 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในปีเดียวกัน กลายเป็นผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกันที่หวานชื่นของคนทั้งสอง

แม้วันนี้ ประชา จะไม่มีตำแหน่งใดๆ ในไทยทีวีสีช่อง 3 แล้ว แต่ มาลีนนท์ ก็ยังคงครอบครองอาณาจักรช่อง 3 อยู่ ประชา ผูกพันกับระบอบทักษิณอย่างไร มาลีนนท์ ก็คงมีไม่ต่างกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่ สถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะกลายพันธุ์เป็นสื่อแอ๊บแดง ถูกสังคมเคลือบแคลงสงสัย โดยเฉพาะขุมกำลังสำคัญที่ทำหน้าที่ตอบสนองระบอบทักษิณอย่างออกหน้าออกตา ในชื่อ ครอบครัวข่าว 3

ครอบครัวข่าว 3
จุดรวมขุนพลข่าวแอ๊บแดง

ภาพสื่อแอบแดงของช่อง 3 ไม่ได้ติดอยู่เพียงแค่ระดับผู้บริหารเท่านั้น แต่ในระดับปฏิบัติการ โดยเฉพาะทีมข่าวที่ถูกเรียกขานกันว่า "ครอบครัวข่าว" ก็มีความแดงแฝงตัวอยู่ในเกือบทุกส่วนของครอบครัวนี้

ค่ำคืนของวันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน ณ ถนนสีลม ฐปนีย์ เอียดสีไชย ผู้สื่อข่าวรายการ ข่าว 3 มิติ รายงานเหตุการณ์ความวุ่นวายระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดง กับคนสีลมว่า มีชายฉกรรจ์ราว 20 คน ที่ปาระเบิดขวด วิ่งหนีเข้าไปหลังแนวที่ตั้งของทหาร ตำรวจที่วิ่งติดตามชายฉกรรจ์เหล่านี้มาถูกทหารเอาปืนจี้หัว ไม่ให้ติดตามคนกลุ่มนี้ต่อ ผ่านทวิตเตอร์ของตน แต่จากภาพเหตุการณ์ที่มีผู้บันทึกไว้ เผยแพร่ผ่าน YouTube กลับกลายเป็นว่า ตำรวจวิ่งไล่ผู้ชุมนุมชาวลีลม ที่หนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่หลังแนวทหาร มีนายทหารคนหนึ่งยกมือห้ามตำรวจ แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ตำรวจวิ่งตามผู้ชุมนุมต่อไป จนไปจนมุมติดรั้วลวดหนาม และถูกตำรวจทุบตีอยู่ตรงบริเวณนั้น

ย้อนกลับไปในช่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อปี 2549 ปลายสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ฐปนีย์ ในบทบาทของนักข่าวสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ถูกส่งเข้าไปรายงานข่าวจากที่ชุมนุม ผลที่ออกมาคือ การถูกกลุ่มผู้ชุมนุมรุมล้อม และขับไล่ออกมา เนื่องจากมีการรายงานข่าวที่คลาดเคลื่อนเพื่อเป็นประโยชน์กับรัฐบาลตลอดเวลา

อีกหนึ่งครั้งที่ฐปนีย์ใช้บทบาทสื่อมวลชนของตนบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณ คือการเดินทางขึ้นไปทำข่าวความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ในพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ช่วงที่อยู่ในภาวะตึงเครียด มีการปะทะกันระหว่างทหารทั้ง 2 ฝ่าย ฐปนีย์สร้างความสนใจให้กับสกู๊ปข่าวชิ้นนี้ของตนด้วยการรายงานว่า ฝ่ายไทยวางกำลังทหารไว้จุดไหนบ้าง และมีการใช้อาวุธชนิดใด

เหตุการณ์ทั้งหมด สะท้อนบทบาทของการทำหน้าที่สื่อมวลชนที่พยายามเบี่ยงเบนข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์กับฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล ซึ่งก็หมายถึงกลุ่มเครือข่ายทักษิณ และม็อบแดง ของฐปนีย์อย่างชัดเจน

ฐปนีย์ ก้าวจากบทบาทนักข่าววิทยุ สถานีข่าวไอเอ็นเอ็น มาสร้างชื่อเสียงที่ไอทีวี ในยุคที่กลุ่มชินวัตรเทกโอเวอร์สถานีโทรทัศน์แห่งนี้มาจากเจ้าของสัมปทานเดิม กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ บทบาทการทำข่าวแบบเจาะลึกตามสไตล์ไอทีวีของฐปนีย์เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ชม และยิ่งโดดเด่นมากขึ้น เมื่อไอทีวีถูกตัดสินให้ต้องปิดสถานีตามมติคณะรัฐมนตรีของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ช่วงเวลาก่อนการปิดสถานี ฐปนีย์คนนี้ขึ้นเวทีร้องห่มร้องไห้ เรียกร้องให้สังคมเข้ามาช่วยกดดันการตัดสินใจของรัฐบาล ถ่ายทอดสดออกอากาศไปทั่วประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจที่ในใจของนักข่าวสาวคนนี้ยังคงยึดติดอยู่กับทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และหากใครได้มีโอกาสเข้าไปในสังคมออนไลน์จะพบว่า ฐปนีย์ ได้รับการยกย่อง เชิดชูอย่างยิ่งใหญ่ในหมู่สาวกคนเสื้อแดง

นอกจาก ฐปนีย์ แล้ว ยังมีเครือข่ายไอทีวีเดิมอย่าง จตุรงค์ สุขเอียด, ศุภโชค โอภาสะคุณ, สุมนา แจวเจริญวงศ์ หรืออลงกรณ์ เหมือนดาว สายสวรรค์ ขยันยิ่ง วราภรณ์ สมพงษ์ รวมไปถึง กิตติ สิงหาปัด ที่ร่วมอยู่ในครอบครัวข่าว 3 ในการทำหน้าที่รายงานข่าวที่ตอบสนองเครือข่ายทักษิณ โดยเฉพาะข่าวความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่แทบจะเจาะลึกต่อเนื่อง รายงานทุกคำพูดของแกนนำแม้ข้อมูลในหลายๆ ครั้งจะเป็นข้อความเท็จ หรือมีการเชิญชวนให้ประชาชนออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง จนดูเสมือนเป็นช่องพีทีวีจำลองมา ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มอื่นๆ ตั้งแต่สีเหลืองในวันก่อน หรือกลุ่มเสื้อหลากสีในวันนี้ กลับแทบหาไม่เจอในช่องนี้

แต่ ฐปนีย์ ก็เป็นเพียงนักข่าวที่เหมือนอยู่แถวหลังของพฤติกรรมแอบแดงในครอบครัวข่าว 3 แต่ยังมีคนที่แสดงตัวอยู่แถวหน้า มีอิทธิพลในการชักจูง สร้างความน่าเชื่อถือต่อผู้ชมสูง พยายามแสดงภาพความเป็นกลางของการทำหน้าที่สื่อมวลชน แต่ผลงานที่ออกมาล้วนแฝงความนิยมในตัวระบอบทักษิณสอดแทรกอยู่ตลอดเวลา อยู่อีกหลายคน

กิตติ สิงหาปัด อดีตแกนนำนักข่าวไอทีวี ที่ออกมาร้องหาความเป็นธรรมในวันอวสานของสถานีซึ่งถูกทุนการเมืองเข้าครอบงำ จนเปลี่ยนเจตนารมณ์ของสถานีไปจนหมดสิ้น ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ความโดดเด่นของข่าวไอทีวีในวันก่อน ต้องยอมรับกันว่า กิตติ สิงหาปัด มีส่วนสำคัญ นักข่าวซึ่งเป็นผลผลิตจาก ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ในแปซิฟิกอินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น ซึ่งเป็นเสมือนองค์กรสร้างนักข่าววิทยุ และโทรทัศน์คุณภาพให้กับวงการสื่อสารมวลชน งานส่วนใหญ่ที่กิตติทำให้กับแปซิฟิกเป็นงานสารคดี ผ่านไป 8 ปี จึงเดินออกมาหาช่องทางที่จะสร้างชื่อของตนให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยการโยกตัวเองมาดูแลงานข่าวที่ไอทีวี ที่นี่ รายการข่าวถือเป็นรายการไฮไลต์ของสถานี กิตติ ที่ทำหน้าที่ทั้งผู้ประกาศข่าว และลงพื้นที่ไปทำข่าวด้วยตนเอง จึงมีชื่อเสียงโดดเด่นขึ้น จนถูกนำไปเปรียบเทียบกับนักข่าวจากค่ายเนชั่นที่กำลังโดดเด่นขึ้นมาในวงการข่าวโทรทัศน์ ด้วยสไตล์การเล่าข่าว สรยุทธ สุทัศนะจินดา ซึ่งกิตติก็มีการให้สัมภาษณ์โจมตีการทำงานแบบชุบมือเปิด หยิบข่าวจากหนังสือพิมพ์มานั่งอ่านออกอากาศของสรยุทธอย่างเผ็ดร้อนมาโดยตลอด

ทั้งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในงานข่าว วิเคราะห์เจาะลึกหาต้นสายปลายเหตุของข่าวมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ช่วงปลายของไอทีวี กิตติ กลับตั้งตนเป็นแกนนำในการเรียกร้องความเป็นธรรม ที่สถานีโทรทัศน์ที่ตนเองทำงานอยู่กำลังจะถูกปิดตาย ทั้งที่สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ถูกรัฐบาลทักษิณเบี่ยงเบน แก้ไขกฎระเบียบ จากเจตนารมณ์สถานีโทรทัศน์ที่ตั้งขึ้นเพื่อเสรีภาพด้านข่าวสารของสังคม ให้กลายเป็นสถานีโทรทัศน์เชิงพาณิชย์ เป็นเรื่องที่กิตติไม่เคยพูดถึง กลับเลือกเชิดชูทุนจากกลุ่มชินวัตรที่แม้ทำให้ไอทีวีบิดเบี้ยว แต่ก็สร้างชื่อเสียง และฐานะของตนให้ดีขึ้นได้

กิตติ ประกาศขอยืนหยัดอยู่ที่ไอทีวีเป็นคนสุดท้าย แต่เมื่อโมเดิร์นไนน์ยื่นข้อเสนอให้มาร่วมงาน ก็สามารถง้างขาของเขาให้ก้าวออกมาได้ไม่ยาก ที่โมเดิร์นไนน์ กิตติถูกวางบทบาทให้โดดเด่นในฐานะผู้ประกาศข่าวหลัก แต่ก็ถูกกระแสต่อต้านจากกลุ่มทีมข่าวในโมเดิร์นไนน์เดิม เพียงแค่ 1 ปี กิตติ ก็ย้ายตัวเองไปอยู่ในที่ที่ถูกที่ถูกทาง ช่อง 3 ที่นอกจากจะเป็นที่รวมตัวของผู้ประกาศ และนักข่าวจากไอทีวี กิตติ ยังได้จับมือกับอริตัวเบ้งที่เขาเคยก่นด่ามาตลอดอย่าง สรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้สนิทใจ เพียงเพราะมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ รับใช้ระบอบทักษิณ

ชื่อของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา คงไม่มีผู้ชมโทรทัศน์คนใดไม่รู้จัก ไม่ว่าเด็กเล็ก วัยรุ่น คนทำงาน จนถึงผู้สูงอายุ คนส่วนใหญ่ต่างชื่นชมในสไตล์การจัดรายการเล่าข่าวอย่างถึงลูกถึงคน โดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับ กนก รัตน์วงศ์สกุล จัดรายการทางเนชั่นแชนแนล และขยายออกมาสู่ฟรีทีวีทางโมเดิร์นไนน์ ตามคำชวนของมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการ อสมท ในเวลานั้น

การเติบโตด้านชื่อเสียง และรายได้ของสรยุทธ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาลาออกจากเครือเนชั่น ออกมาตั้งบริษัทเอง โดยมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด เพื่อผลิตรายการโทรทัศน์ และบริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด รับจัดงานและจัดกิจกรรม ความนิยมของรายการที่เขาเป็นผู้ดำเนินรายการ ทั้ง คุย คุ้ย ข่าว และถึงลูกถึงคน นำมาซึ่งโฆษณาที่หลั่งไหลเข้ามา ท้ายที่สุดความโลภก็เข้าปกคลุม สรยุทธ เริ่มทุจริตขายโฆษณาแฝงในรายการ คุย คุ้ย ข่าว โดยมุบมิบไม่แบ่งประโยชน์กับโมเดิร์นไนน์ ตามเงื่อนไขในสัญญา

การสืบสวนในชั้นต้น มีหลักฐานการกระทำความผิดของบุคลากรต่างๆ ชัดเจนในฐานฉ้อโกง เกิดเป็นคดีความ สรยุทธ ตัดสินใจเดินออกจากโมเดิร์นไนน์ โดยมี ประวิทย์ มาลีนนท์ ปูพรมแดงเดินเข้าสู่ชายคา ช่อง 3

บทบาทหน้าที่ของสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ต้องติดต่อกับนักการเมืองอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขามีความสนิทใกล้ชิดกับนักการเมืองจำนวนมาก ยิ่งเมื่อสรยุทธมีฐานผู้ชมที่กว้างขวาง แทบจะถือเป็นบุคลากรข่าวที่มีแฟนคลับมากที่สุดในเมืองไทย ทำให้นักการเมืองเองก็อยากทำความรู้จักกับเขาเช่นกัน รวมถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่แม้ครั้งหนึ่งเคยถูกสรยุทธวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนในรายการ เล่าข่าว จนทักษิณถึงกับตั้งฉายาให้กับสรยุทธว่าเป็น "จอมเสี้ยม" แต่ท้ายที่สุด เหมือนกับคนโกงเท่านั้นที่จะตกลงกับคนโกงด้วยกันได้ สรยุทธ เลยทิ้งจิตวิญญาณของสื่อมวลชนที่ยืนอยู่บนความเป็นกลาง กลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญของระบอบทักษิณ

การนำเสนอข่าวที่สร้างภาพให้กับการชุมนุมของคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์แกนนำเสื้อแดงออกรายการ โดยอ้างว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น การชุมนุมของอีกฝ่าย สรยุทธมักแสดงความคิดเห็นว่ากำลังสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง แต่กับกลุ่มคนเสื้อแดง สรยุทธไม่เคยแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น หรือบ่อยครั้งที่เกิดเหตุการณ์เป็นภาพลบของคนเสื้อแดง สรยุทธจะเบี่ยงเบนประเด็นหันไปพูดเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองแทน

นอกจากทีมนักข่าว และผู้ประกาศข่าวที่เป็นศูนย์รวมของสื่อมวลชนคนรักเสื้อแดงแล้ว ในส่วนของผู้ดำเนินรายการ ผู้มีชื่อเสียงที่เคยแสดงบทบาทในการปกปักพิทักษ์ระบอบทักษิณในหลากหลายวาระ ไม่ว่าจะเป็น ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล, สุขุม นวลสกุล หรือวสันต์ โพธิพิมพานนท์ เจ้าของ เบนซ์ ทองหล่อ ก็ล้วนอยู่ในกลุ่มคนรักทักษิณ ที่สุมหัวรวมกันอยู่ในช่อง 3

**************

ชินวัตร-วิไลลักษณ์
สัมพันธ์เหนียวแน่น

กลุ่มธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับตระกูลชินวัตร มักจะถูกมองว่าตระกูลที่ครอบครองธุรกิจนั้นมีสายสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มธุรกิจสื่อสารด้วยแล้วยิ่งตอกย้ำให้ภาพความใกล้ชิดของตระกูลชินวัตรกับตระกูลธุรกิจสื่อสารนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น และอาจจะถูกนำมาโยงใยถึงได้ตลอดเวลา

วันนี้ชื่อของ วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ไม่อยู่ในรายชื่อที่ถูก ศอฉ.ออกคำสั่งเรียกให้มารายงานตัว ทั้งที่ตระกูลวิไลลักษณ์ของกลุ่มสามารถ คอร์ปอเรชั่น คือหนึ่งตระกูลที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตรอย่างมาก ขนาดมีคนเคยกล่าวว่า "ทักษิณรักวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ เหมือนน้องชาย"

ความผูกพันกันของวิไลลักษณ์และชินวัตร มีการเกื้อหนุนทางธุรกิจเสมอมา เห็นได้ชัดจากการที่ตระกูลชินวัตรช่วยซื้อกิจการของเฮลโล 1800 ของกลุ่มสามารถ มาอยู่ภายใต้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส

ยิ่งเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี คนในแวดวงสื่อสารระบุว่ากลุ่มสามารถได้รับประโยชน์จากการทำธุรกิจที่ได้จากการประมูลงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถพลิกฟื้นธุรกิจจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้กลับมาเป็นบริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย มีรายได้มากกว่าหมื่นล้านบาท

และเหตุการณ์ที่ทำให้หลายคนคิดว่ากรณีของ "ศิวรักษ์ ชุติพงษ์" วิศวกรคนไทย ซึ่งทำงานอยู่ในบริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือ CATS บริษัทในเครือบริษัทสามารถ เทเลคอม ที่ถูกทางการกัมพูชาจับในข้อหาจารกรรมข้อมูลตารางการบินของทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลและที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ตระกูลวิไลลักษณ์มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่

กรณีของ "ศิวรักษ์ ชุติพงษ์" นี้ถูกมองว่าเป็นกรณีการจัดฉากไว้ล่วงหน้า เพื่อดิสเครดิตรัฐบาลไทยที่ไม่มีความสามารถในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นจบลงด้วยการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ออกหน้าขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์นโรดม สีหมุนี แห่งกัมพูชา แทนที่จะเป็นรัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ยิ่งเมื่อมีการเชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์สมัยรุ่นพ่อของศิวรักษ์ สุวิทย์ ชุติพงษ์ ที่รู้จักคุ้นเคยกับทักษิณ ชินวัตร มาอย่างยาวนาน และเคยช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร ยามยาก ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นด้วยความจงใจให้เกิดมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น กลุ่มสามารถ คอร์ปอเรชั่น ได้มีแนวคิดลดสัดส่วนการถือหุ้นในกิจการที่กัมพูชาลง โดยการขายธุรกิจพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อังกอร์ ให้กับรัฐบาลกัมพูชาทั้งหมด และการหาพันธมิตรที่เป็นรัฐวิสาหกิจต่างชาติเข้ามาถือหุ้น 50% ในบริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิส จำกัด หรือ CATS

นักวิเคราะห์มองถึงการที่กลุ่มสามารถคอร์ปตัดสินใจขายธุรกิจที่ลงทุนในประเทศกัมพูชานั้น ปัจจัยหนึ่งน่าจะมาจากกรณีของ ศิวรักษ์ ชุติพงษ์

แน่นอนว่าวันนี้แม้ตระกูลวิไลลักษณ์จะออกมาชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และยืนยันเสมอว่าวันนี้การติดต่อระหว่างคนในตระกูลวิไลลักษณ์และชินวัตรเป็นการติดต่อเพียงแค่คนรู้จักเท่านั้น แต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าความใกล้ชิดที่เหนียวแน่นระหว่างสองตระกูลจะมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากกว่าที่เราเห็นๆ อยู่ เพียงแต่อาจไม่เปิดเผยให้บุคคลอื่นรับรู้มากนัก เพื่อให้กลุ่มสามารถยังคงดำรงอยู่ และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มิเช่นนั้นคงไม่มีชื่อบริษัทสามารถฯ เข้าไปเอี่ยวในหลายโครงการใหญ่ อาทิ โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ของกระทรวงคมนาคม หรือโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการที่กำลังจะคลอดออกมาในอีกไม่ช้า

การเปิดเผยตัวตนว่าเป็นสีไหนอย่างเต็มตัว คงไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจของบริษัทสามารถฯ ในวันข้างหน้า

*************

"แดง" ไม่แอ๊บ เครือข่ายหนุนเพียบ

พลันที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. นำเอกสารขนาดเอ 4 ที่แสดงให้เห็นถึง "โครงข่ายจาบจ้วงสถาบัน" มาแจกให้แก่สื่อมวลชน ถือเป็นการฉายภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของบรรดาเครือข่าย "แดง" ที่ล้วนเปิดเผยตัวตน ซึ่งมีบุคคลจำนวนมากที่มารวมเป็นเครือข่าย ไล่ตั้งแต่หัวขบวน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลุ่ม นปช.พรรคเพื่อไทย รวมไปถึงนักการเมือง นักธุรกิจ นักเคลื่อนไหวการเมือง รวมถึงดีเจวิทยุชุมชน

ในแผนผังโครงข่ายจาบจ้วงสถาบันนั้น ชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยอย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือสองอดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทย สุธรรม แสงประทุม สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ

ศอฉ.ได้ชี้ให้เห็นว่านอกจากกลุ่มคนเสื้อแดงปิดถนน กลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงที่พยายามบอกว่าจะยกระดับการชุมนุม ซึ่งผิดกฎหมาย มีความพยายามซ่องสุมอาวุธก่อการร้าย และผูกโยงข้อมูลเป็นเท็จ มุ่งโจมตีสถาบันระดับสูง มีการทำกันอย่างเป็นขบวนการ มีระบบผ่านทางแกนนำหลัก

นอกจากนี้ยังมีแกนนำรองที่คุ้นชื่อที่มีคดีติดตัว เช่น ดา ตอร์ปิโด สุชาติ นาคบางไทร จักรภพ เพ็ญแข ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ไม่ว่าจะผ่านเว็บไซต์ต่างๆ สื่อสิ่งพิมพ์ความจริงวันนี้ ไทยเรดนิวส์ วอยซ์ออฟทักษิณ และวิทยุชุมชนของชินวัตน์ หาบุญพาด ทั้งหมดถูกมองว่าเป็นขบวนของเสื้อแดงที่มุ่งปลุกปั่นให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐมาโดยตลอด

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทาง ศอฉ.ได้มีการออกคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัวรอบแรกประมาณ 51 คน โดยในรายชื่อนั้นก็ปรากฏบุคคลทั้งจากกลุ่มนักการเมือง อดีตนักการเมือง นักธุรกิจ โดยมีชื่ออย่าง พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก อดีต ผบ.สอบสวนกลาง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเจ้าของอาคารอิมพีเรียล ลาดพร้าว

เหตุผลของการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดงนั้น รัฐบาลต้องการจะดูว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์อย่างไรหรือไม่ และการเรียกมารายงานตัวนั้นเป็นไปตามข้อกำหนด เพราะเป็นคำสั่งเรียกบุคคลภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ต้องการจะดูว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไร

หลังจากมีการออกหมายเรียกของ ศอฉ. มีกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้างและเจ้าของวิทยุชุมนุมจำนวน 21 คนเข้าไปรายงาน รวมถึง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ก็หอบหิ้วเอกสารไปชี้แจง ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังไม่มีการไปปรากฏตัวกับ ศอฉ.

นอกจากนี้ ศอฉ.ยังมีหมายเรียกชุดที่ 2 จะเรียกมาอีก 54 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวิทยุชุมชน แท็กซี่ จักรยานยนต์ และการ์ด นปช. ทำให้การเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดงรวมสองชุดทั้งหมด 106 คน ล่าสุดมีข่าวว่าทาง ศอฉ.อาจจะเรียก พล.อ.ชวลิต เข้าไปรายงานตัวเพิ่มอีกหนึ่งราย

การที่รัฐบาลและ ศอฉ.ออกมาเปิดเผยถึงกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งกลุ่มบุคคลเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกลุ่มคนที่คอยสนับสนุน รวมถึงท่อน้ำเลี้ยงให้กับการชุมนุมที่เกิดขึ้น

แม้แต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อมันมีโครงข่ายเชื่อมโยงก็ต้องค้นหาให้ครบถ้วน เพื่อที่จะทำให้การทำงานในการดำเนินการตามกฎหมายสามารถดำเนินต่อไป

ที่มา http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9530000058781

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น